ReadyPlanet.com


The happiness you can grow ?


เคยได้ยินประโยคที่ว่า

 ความสุขหาซื้อไม่ได้ เป็นสิ่งที่คุณต้องควานหาด้วยตัวคุณเอง (True happiness cannot be bought. It is something we have to cultivate ourselves.)


ฉันว่าไม่จริงนะ ฉันว่าคนที่พูดประโยคนี้ ต้องพูดตอน เมาเบียร์ แน่ๆ ฮา... ทำใมฉันจึงคิดเห็นขัดแย้งกับประโยคนี้ น่ะหรือ คุณอยากรู้มั้ย...ก็เพราะว่า....



เวลาฉันอยากบันทึกภาพธรรมชาติ สวยๆ ฉันอยากให้ภาพธรรมชาติสวยๆ อยู่คู่กับความทรงจำของฉันไปนานๆ ฉันเข้าใจเอาเองว่า ฉันต้องมีกล้องถ่ายรูป ฉันจึงเอาเงินไปซื้อกล้องถ่ายรูป  พอฉันมีกล้องถ่ายรูป ฉันก็เริ่มออกไปถ่ายรูป ฉันมีความสุข มากๆๆ

แต่พอฉันเบื่อกับ ความสุขจากการถ่ายรูป เพราะฉันคิดว่ามันง่ายเกินไป ก็เพียงแค่เราตื่นเช้าๆ หรือคอยเวลาเย็นๆ รอให้เกิดแสงเงินแสงทอง จะได้ภาพที่ดูดีมีศิลปะ อันเดอร์ นิดๆ อันเดอร์ ภาษานักถ่ายภาพ ก็คือภาพที่มันมืดๆ งัย พอวัดแสงได้พอดีแล้ว จากนั้นก็แค่กดชัดเตอร์ ฉันก็ได้ภาพแห่งความทรงจำที่สวยๆ แล้ว  ง่ายมั้ย

ง่ายน่ะสิ ง่ายเกินไป ฉันก็เลยอยากที่จะวาดรูปแทน ฉันจึงไปหาซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียน เอามาวาดรูป พอฉันเริ่มวาดรูปเป็น ฉันก็มีความสุข เห็นมั้ย
ความสุขของฉันหาซื้อได้ แค่ฉันมีเงิน ฮา.....

แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าความสุข ความทุกข์ คือของคู่กัน เป็นหนึ่งในโลกธรรม 8 อันได้แก่

ได้ลาภ                  คู่กับ   การเสื่อมลาภ
ได้ยศ                    คู่กับ   การเสื่อมยศ
ได้รับคำสรรเสริญ    คู่กับ   การได้รับคำนินทา
ได้รับความสุข         คู่กับ   การได้รับความทุกข์

เมื่อก่อนฉันรู้ไม่เท่าทัน โลกธรรม 8 ฉันจึงหลงติดยึด อยู่กับโลกธรรม 8 เหล่านี้ ฉันจึงต้องตกเป็นเหยื่อของกิเลส เวลาได้ลาภยศสรรเสริญ ก็ทำให้ฉันมีความสุข แต่เป็นสุขเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น พอถึงเวลาตอนที่ฉันต้องเสื่อมลาภเสื่อมยศถูกคนนินทาว่าร้าย ก็ทำให้จิตใจของฉันต้องเป็นทุกข์ (แต่ก็ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น) วนๆ เวียนๆ อยู่อย่างนี้


ฉันรู้ดังนี้ ฉันจึงทำให้ใจของฉันของเป็นกลางๆ เวลาสุขก็รับรู้ว่าสุข แต่ไม่ยึดติดลุ่มหลง เวลาฉันทุกข์ ฉันก็รับรู้ว่าทุกข์แต่ฉันก็จะไม่พิรี้พิไรคร่ำครวญ และไม่ยึดติดกับทุกข์ (พยามอยู่)

การที่ไม่สุขไม่ทุกข์นี่ล่ะคือ ความสุขที่แท้จริง ว่ามั้ย

วันนี้ฉันอยากมีความสุข ฉันเลยแต่งกลอน ฮา..พูดอยู่หยกๆ เรื่องไม่ให้ยึดติดในความสุข ความทุกข์ เถอะน่า ...ฉันแต่งกาพย์ห่อโคลงไว้ว่า  

รด น้ำซึมกกไม้            ทุกวัน
ออกดอกผลดกพลัน      ที่ต้น
รส รูปกลิ่นเสียง อัน       สัมผัส-
กระทบกาย กลับท้น       สุขเศร้าที่ทรวง

 
รดน้ำซึมกกไม้             เอาปุ๋ยใส่ให้ทุกวัน
ออกดอกผลดกพลัน      อยู่ที่ปลายกิ่งไม้หนา
รูปรสกลิ่นเสียงปน         สัมผัส คน จนชินชา
เกิดผลสุขทุกข์ สถา-     วรที่ใจ รู้ไว้หนอ


เวลาเรา รดน้ำต้นไม้ที่โคนต้นแท้ๆ ดอกผลกลับไปงอกที่ปลายต้น เป็นงั้นไป (เอ แล้วถ้าฉันปลูกต้น หัวไชเท้าล่ะ ฮา..) จริงๆ แล้วฉันคิดว่า ขึ้นอยู่กับเราด้วยล่ะ ว่าเรากำลัง ปลูกต้นอะไร เพื่ออะไร และปลูกอย่างไร ถ้าปลูกแล้วหมั่นดูแลรดน้ำพรวนดินเป็นอย่างดี ในไม่ช้าเราก็คงจะได้เก็บเกี่ยว ดอก ผล (และ เหง้า หัวไชเท้า)


ต้นไม้ก็เหมือน กายของเรา กายของเราก็เหมือนดังต้นไม้  กายเราเมื่อได้เห็นภาพ เมื่อได้ยินเสียง เมื่อได้ลิ้มรส เมื่อได้สัมผัส (กอดรัด ร้อนหนาว) ก็บังเกิดกิเลส เป็นดอกผล (และหรือ เหง้า แบบหัวไชเท้า)

ชินเชา (ชินชิ่ว) แต่งโศลกไว้ว่า



"กาย คือต้นโพธิ์         ใจ คือกระจกเงาใส
จงหมั่นเช็ดถูเป็นนิตย์   อย่าปล่อยให้ฝุ่นละอองจับ"

 

ชินเชา เปรียบเทียบว่า ร่างกายของเราเหมือนต้นโพธิ์ ซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อน ไม่มีแก่น ผุง่าย สังขารเราก็เช่นกัน ประเดี๋ยวก็ล้มตาย ผุพัง ส่วนจิตใจของเราเหมือนกระจกเงา ที่คอยสะท้อนภาพความดีและความชั่ว เราจึงต้องคอยรักษาจิตใจให้ใสสะอาดเอาไว้ ไม่ให้ฝุ่นผงแห่งกิเลสมาครอบงำ

 

แต่ เว่ยหล่าง แต่งโศลก คัดค้านไว้ว่า

"เดิมที ไม่มีต้นโพธิ์                      ไม่มีแม้กระจกเงาใส
เมื่อทุกอย่างว่างเปล่าตั้งแต่ต้น      ฝุ่นละอองจะลงจับอะไร"



ซึ่งตรงกับบทสวดมนต์ทำวัดเช้า บท สังเวคะปะริกิตตะนะปาฐะ (ที่แปลแล้ว) วรรคที่ว่า

"รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตนดังนี้" (ภาวะนิพพาน เที่ยง แต่ไม่ใช่ตัวตน)



คนโบราณท่านสอนว่า เราปลูกสิ่งใดไว้ ย่อมได้ผลสิ่งนั้น ปลูกมะม่วง ย่อมได้ผลมะม่วง ปลูกมะม่วงจะให้ออกดอกผลเป็นทุเรียนนั้นอย่าหวัง (ยกเว้นมีคนอุตริ ทะลึ่งไปตัดแต่งแปลงพันธุกรรมของมะม่วงให้ออกดอกผลเป็นทุเรียน ก็ไม่แน่นะ ฮา...)

ถ้าเรา ปลูกชั่ว ก็ต้องได้รับผลชั่ว ถ้าเรา ปลูกดี ก็ต้องได้รับผลดี ถ้าฉันอยากได้ ผลดี ฉันก็ควรเลือกที่จะปลูกต้นไม้แห่งความดี  ปลูกดี ปลูกดีๆ แฮ่ๆ



ปล. ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย ถ้ามีลูก ฉันว่าจะตั้งชื่อลูกฉันว่า บุญปลูก จะดีมั้ย...ฮา...



ผู้ตั้งกระทู้ กวิน :: วันที่ลงประกาศ 2008-03-29 14:02:03


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1131895)
http://gotoknow.org/blog/kelvin/174008
ผู้แสดงความคิดเห็น กวิน วันที่ตอบ 2008-03-29 14:04:12


ความคิดเห็นที่ 2 (1132037)
ผู้แสดงความคิดเห็น ฟังเพลง วันที่ตอบ 2008-03-29 14:25:33


ความคิดเห็นที่ 3 (1236419)

ได้แรงบันดาลใจมาจากบทความของคุณ อัญชันขาว

http://www.thaipoet.net/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&Category=thaipoetnet&thispage=9&No=283027

ผู้แสดงความคิดเห็น กวิน วันที่ตอบ 2008-04-07 11:09:29



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.