หน้าหลัก | ข้อมูลสมาคม | บทความ | บทร้อยกรอง | ข่าวสารประชาสัมพันธ์ | กิจกรรม | กระทู้ | หนังสือ | ร้อยกรองออนไลน์ |
ซาลาเปา | |
-๑-
เมื่อพี่ชายห่มผ้าให้น้องสาว คล้ายเรื่องราวบทกวีจึงเริ่มต้น โลกนี้ ไม่ได้มีแค่สองคน แต่สองคนทนหนาวในโลกใบนี้
น้องสาวนั่งพิงผนังกำแพงแตก ขยับแทรกมุดแขนซบอกพี่ พี่ค้นคว้าซาลาเปาเท่าเหลือมี ยื่นให้น้องคนดีที่หนาว-โซม
พี่เกร็งมือเอาไว้ไม่ให้สั่น ท่ามลมหมั่นพัดโกรกแรงโบกโหม ขณะข้าวของแพ้ลมล้มครืนโครม ไม่อาจโน้มพี่ชาย ..ไหว-สั่น-ร้าว
-๒-
"เมื่อไหร่จะหายหนาวจ๊ะพี่จ๋า" "เมื่อน้องนอนหลับตาก็หายหนาว" "เมื่อไหร่นางฟ้ามาหาเรา" "เมื่อน้องสาวของพี่เป็นเด็กดี"
"เมื่อไหร่จะได้กินซุบอร่อย" "เมื่อน้องกินซาลาเปาน้อยนี้อิ่มหมี" "เมื่อไหร่ใครจะรักเราสักที" "เมื่อน้องพี่ไม่ร้องไห้ไม่งอแง"
"เมื่อไหร่จะได้ใส่ชุดสวยสวย" "น้องพี่สวยใส่อะไรก็สวยแน่" "เมื่อไหร่พ่อแม่จะมาดูแล" "พ่อกับแม่เฝ้าดูอยู่บนฟ้า"
"เมื่อไหร่จะได้นอนหนุนหมอนนุ่ม" "ทุกส่วนมุมแขนตักพี่นุ่มดีกว่า" "เมื่อไหร่เราจะมีตุ๊กตา" "ตุ๊กตาวางไว้ในบ้านเรา"
"เมื่อไหร่เราจึงเดินถึงบ้าน?" ท่ามกลางรัตติกาลจันทร์สีเศร้า เนื้อตัวพี่เกินกลั้นเริ่มสั่นเทา ตาน้อยฉายประกายเหงา -เฝ้าสบตา
-๓-
"พี่ไม่เคยตอบตามคำถามนั้น และก็ฉันมักผล็อยหลับซุกกับผ้า ทุกครั้งที่พี่ไม่อยู่ตอนลืมตา พี่ก็มักกลับมา..พร้อมซาลาเปา"
รัตนโกสินทร์ศก | |
ผู้ตั้งกระทู้ รัตนโกสินทร์ศก :: วันที่ลงประกาศ 2012-07-01 12:19:17 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2283814) | |
เพิ่งดูหนังเรื่อง grave of fireflies จบเมื่อวานนี่เอง อ่านกวีบทนี้แล้วเข้ากับบรรยากาศมาก ๆ ครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ไวกูณฐ์ มาลาไทย วันที่ตอบ 2012-07-01 17:41:44 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2283819) | |
สะเทือนใจมากค่ะ ชอบๆๆ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทิพยฺสุคนธ์ วันที่ตอบ 2012-07-01 18:27:47 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2283820) | |
เยี่ยมครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ราชาวดี วันที่ตอบ 2012-07-01 18:34:54 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2283821) | |
. สุดยอด.... ผมสบายดีครับ คุณรัตนโกสินทร์ศก ตอนนี้กำลังสนุกกับงานที่วาดฝันไว้ ตัวคุณเป็นไงบ้าง กำลังทำอะไรอยู่ล่ะ อ้อ... ลืมไป คุณกำลังมีความสุขกับบทกลอนอย่างอย่างนึงแล้วไง... แล้วอย่างอื่นล่ะ
ส.พิณแก้ว . | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ส.พิณแก้ว วันที่ตอบ 2012-07-01 18:37:20 |
ความคิดเห็นที่ 5 (2283830) | |
เป็นนิทานเศร้าๆที่คลาสสิคมากครับ
ปล.มีพวกบ้าที่ทลายกำแพงฉันทลักษณ์เกิดขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว เส้นทางที่คนทั่วไปไม่ค่อยเดินกัน มันก็มีจุดที่น่าสนใจอยู่เช่นกันครับ ขออนุญาตเดินเป็นเพื่อนนะครับ... ^^ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กระบี่ใบไม้ วันที่ตอบ 2012-07-01 19:56:19 |
ความคิดเห็นที่ 6 (2283856) | |
“น้องสาวหายหนาว” -๑- เมื่อพี่ชายห่มผ้าให้น้องสาว คลายความหนาวเหน็บที่เคยมี โลกนี้ - ยังมีเพื่อนมิตรอยู่ทุกที่ รวยเลวดีจนทนหนาวในโลกนี้ กำแพงแตกที่พักพิงของน้องสาว เริ่มเรื่องราวในอ้อมอกของพี่ ซาลาเปาที่พี่ชายให้รสชาติดี น้องนี้มีดีใจกินแล้วหายหนาว-โซม พี่หนาวจนมือเกร็งแต่อดทนไว้ ไม่อยากให้น้องสาวเห็นพี่หักโหม แม้ลมพัดทำลายล้างอย่างครืนโครม ปลอบประโลมน้องสาวอย่า-ไหว-สั่น-ร้าว -๒- “น้องหายหนาวแล้วจ๊ะพี่จ๋า” “เมื่อน้องซบอกพี่ยาก็หายหนาว” “เมื่อเจ้านอนฝันนางฟ้ามาหาเรา” “น้องจ๋าเจ้าช่างเป็นเด็กดีของพี่” “พี่ทำงานให้น้องกินซุบอร่อย” “พี่มีร้อยน้องกินซาลาเปาอิ่มหมี” “เมื่อเรารักเขาเขาก็รักเรานี้” “เมื่อคนดีพี่ไม่ร้องไห้งอแง” “จิตใจของน้องสาวพี่ช่างสดสวย” “ชุดที่สวยมิช่วยเพิ่มความสวยแน่” “พ่อแม่เราท่านยังคงคอยดูแล” “อาจเพียงแค่พ่อแม่เราอยู่บนฟ้า” “เมื่อพี่ชายอุ้มน้องสาวขึ้นเตียงนอน” “เจ้ากอดหมอนข้างก็คงนุ่มกายา” “เดี๋ยวเที่ยงคืนซานตาคลอสจะมา” “ฝากตุ๊กตาใส่ถุงเท้าน้องพี่” “อดทนเถิดนะน้องสาวของพี่” “เพียงไม่กี่สิบก้าวถึงบ้านเรานี้” “แค่หนาวเหน็บเจ็บผิวผ่องสี” “ดวงชีวีอย่าเศร้าสร้อยละห้อยตา” -๓- “พี่อยากเอ่ยตอบคำถามนั้น” “โอ้น้องฉันหลับเถิดใต้ผืนผ้า” “ทุกครั้งที่พี่หวนกลับคืนมา” “มือพี่ยา จะมาพร้อมซาลาเปา” -๔- “เพียงเพราะเรามีสองคนน้องจ๋า” “ด้วยเพียงค่าสายเลือดพี่กับเจ้า” “ทุกข์สุขโลภโกรธหลงยังมอมเมา” “อย่าหมองเศร้ายกจอกเหล้าเพียงเพื่อครู” ขอน้อมคารวะจากใจ “ทรชนบ้านนอก” | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทรชนบ้านนอก วันที่ตอบ 2012-07-01 23:15:19 |
ความคิดเห็นที่ 7 (2283895) | |
อ่านแล้วมองเห็นภาพของความอาทรระหว่างสองพี่น้องได้ชัดเจนมากครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปุณณมี วันที่ตอบ 2012-07-02 08:32:35 |
ความคิดเห็นที่ 8 (2283916) | |
เยี่ยมชมครับ ชื่นชมครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปรัชญ์ วลีพร (naimit-at-thaimail-dot-com)วันที่ตอบ 2012-07-02 09:24:18 |
ความคิดเห็นที่ 9 (2284140) | |
สวัสดีท่านผู้อ่าน/กวี/อาจารย์ทุกท่านครับ ผมขอขอบคุณที่ท่านแวะเข้ามาเยี่ยมอ่านผลงาน พร้อมแสดงความเห็นต่างๆและทักทายครับ -อ.ไวกูณฐ์ ก่อนผมจะตอบผมได้เข้ามาหาข้อมูลเรื่องที่อาจารย์พึ่งดูมา พบในวิกิพีเดีย น่าสนใจครับ ผมคงต้องลองหาดูบ้างแล้วครับ -คุณทิพยสุคนธ์ ขอบคุณที่ชอบนะครับ -อ.ราชาวดี ผมขอบคุณมากครับ -อ.ส.พิณแก้ว ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ และขอบคุณที่ยังไม่ลืมผม ผมสบายดีครับ ความสุขก็เขียนเรื่องเรื่อยเปื่อยตามที่อาจารย์ว่านั่นแหละครับ จะทุกข์เล็กๆก็ตรงที่อยากมีหนังสือเป็นของตัวเองสักเล่มเหมือนกัน แต่ยังไม่มีที่ไหนรับ งานผมคงอ่านฟรีพอเข้าท่า แต่ถ้าจะให้ใครมาซื้อคงยาก ก็เข้าใจครับ ส่วนเรื่องอื่นๆตอนนี้ผมก็ยังใช้ชีวิตไปเรื่อยตามวิถีประชาครับ -อ.กระบี่ใบไม้ ขอบคุณสำหรับคำชมและคำทักทาย ความจริงผมอยู่ในขบวนการพวกนี้มาคงสักเกือบปีได้แล้ว แต่ยังไม่หยิบไปเผยแพร่ เพราะยังไม่ค่อยมีใครยอมรับ ผมก็รู้สึกเสียกำลังใจเล็กๆ ..แต่ตอนนี้ก็ยึดคำว่า ทางใครทางมัน ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ตอนนี้บ้า(บิ่น)แล้ว -คุณทรชนฯ ขอบคุณที่มาร่วมสนุก -อ.ปุณณมี ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะครับ มันทำให้ผมมองเห็นงานตัวเองชัดขึ้นครับ -อ.ปรัชญ์ ขอบคุณสำหรับคำชื่นชมครับ
ขอบคุณทุกท่านครับ รัตนโกสินทร์ศก | |
ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนโกสินทร์ศก วันที่ตอบ 2012-07-02 22:56:54 |
ความคิดเห็นที่ 10 (2284159) | |
ขอร่วมแบ่งปันความหนาว..ด้วยนะคะ..แด่พี่ท่าน ด้วยซาลาเปาค่ะ..บทกวีเพราะมากมีนาฎการและจินตภาพที่ลุ่มลึกชอบมากค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น เงาเวลาแห่งรัตติกาล วันที่ตอบ 2012-07-03 00:36:48 |
ความคิดเห็นที่ 11 (2284333) | |
-อ.กระบี่ใบไม้ ขอบคุณสำหรับคำชมและคำทักทาย ความจริงผมอยู่ในขบวนการพวกนี้มาคงสักเกือบปีได้แล้ว แต่ยังไม่หยิบไปเผยแพร่ เพราะยังไม่ค่อยมีใครยอมรับ ผมก็รู้สึกเสียกำลังใจเล็กๆ ..แต่ตอนนี้ก็ยึดคำว่า ทางใครทางมัน ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ตอนนี้บ้า(บิ่น)แล้ว
หวัดดีครับ คุณ ร.ศ. ในความคิดของผมแล้ว การ "เลือก" ที่จะแต่งบทกวี ที่ถูกฉันทลักษณ์หรือไม่ถูกฉันทลักษณ์ ไม่ใช่เพื่อการพิสูจญ์หรือท้าทายอันใด แต่ผมมองว่าการแต่งบทกวีก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งถูกผู้ประพันธ์ในฐานะของศิลปินนำเสนอด้วยกลวีธีและแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ "สาร" ที่ส่งออกไปนั้น มี "พลัง" มี "ชีวิต" และ สามารถ "สั่นสะเทือนอารมณ์" ของผู้อ่านได้มากแค่ไหนเท่านั้นเอง เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่งครับที่ฉันทลักษณ์ซึ่งควรจะมีหน้าที่ในการร้อยรัดตัวอักษรให้งดงามขึ้นกลับถูกนำมาร้อยรัด ความคิด ความฝันและจินตนาการณ์ ของทั้งผู้ประพันธ์และผู้อ่านเอง จนหมุนวนและย่ำอยู่กับที่ในที่สุด มีความพยายามเป็นอย่างยิ่งจากนักกลอนอาวุโสหลายท่าน ในการพยายามสร้างแม่แบบที่ถูกต้องและงดงามที่สุดในวงการร้อยกรองไทย ไม่ว่าจะเป็น "ศรีปราชญ์" "เจ้าฟ้ากุ้ง" "สุนทรภู่" หรือท่านอื่นๆ แต่มีน้อยคนนักที่จะกล่าวถึงว่า ความงดงาม จากผลงานของท่านเหล่านั้น ไม่ได้เกิดจากรูปแบบและฉันทลักษณ์เพียงอย่างเดียว แต่รากฐานอันงดงามที่ปรากฏในงานเขียนของท่านเหล่านั้น มันเกิดจากความคิด ความฝัน และจินตนาการ ที่งดงามและแหลมคมจนสามารถสั่นสะเทือนอารมณ์ของผู้อ่านและยุคสมัยจนเป็นที่ชื่นชมและถูกกล่าวถึงได้ โดยรูปแบบและฉันทลักษณ์นั้นเป็นแค่หนึ่งในองค์ประกอบเล็กๆจากผลลัพท์ทั้งหมดเท่านั้นเอง ดังนั้นผมจึงไม่อยากให้ ท่าน ร.ศ. แยกตัวไปอยู่ใน "กลุ่ม" หรือ "ขบวนการ" ที่สนับสนุนหรือไม่สนับสนุนฉันทลักษณ์อันใดเลยครับ สำหรับผมแล้วความคิดตื้นๆแค่แยกทุกอย่างออกเป็นขาวกับดำ ถูกหรือผิด นั้นเป็นความคิดที่ไร้สาระ ในฐานะของศิลปินผู้สร้างงานศิลปะ(ไม่ว่าประเภทใดก็ตาม) การที่สามารถรวบรวมความคิด ความฝันและจินตนาการที่เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ให้สามารถมีเลือด มีเนื้อ มีชีวิต มีพลัง มีจิตวิญญาณและสามารถสั่นสะเทือนอารมณ์และสังคมภายนอกได้ต่างหาก คือความฝันสุดท้ายที่แท้จริงอันพึงมี ในฐานะของผู้สร้างบทกวีทุกคนครับ
ขออภัยที่เขียนความในใจจนยาวยืด เพียงหวังจะเป็นกำลังใจให้ท่าน ร.ศ. ในการสร้างสรร บทกวีดีๆต่อไปครับ
กระบี่ใบไม้
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น กระบี่ใบไม้ วันที่ตอบ 2012-07-03 19:22:03 |
ความคิดเห็นที่ 12 (2284336) | |
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความคิดเห็นของคุณกระบี่ใบไม้ครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปุณณมี วันที่ตอบ 2012-07-03 19:33:27 |
ความคิดเห็นที่ 13 (2284366) | |
สวัสดีครับ อ.กระบี่ใบไม้ที่นับถือ ขอขอบคุณอ.กระบี่ฯที่มาให้กำลังใจ และแลกเปลี่ยนทัศนคติครับ ในการตอบครั้งแรกของผมนั้น ผมก็ตอบไปโดยติดนิสัยไร้สาระของผมไปบ้าง ปนความจริงเล็กน้อยครับ ที่จริงแล้วที่ผมเขียนงานของตัวเองโดยแหกกฎ แหกฉันทลักษณ์ไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรผมเองก็คิดว่าตัวเองไม่ได้ทำลาย คงไม่ถึงขั้นทำฉันทลักษณ์วิบัติ สาเหตุจริงๆที่ผมใช้ความยืดหยุ่นหรือแหกนั้น เพราะผมอยากให้"เป็นไปโดยธรรมชาติ" (แต่ไม่ใช่ว่าฉันทลักษณ์แบบแผนในปัจจุบันไม่ดีนะครับ) ผมว่าเราเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่ใช่เพราะจะต้องเอามาปฏิบัติตามกันทั้งหมด ซึ่งสุดท้ายมันก็จะกลายเป็นกฎไป แต่เราควรเรียนรู้เพื่อที่จะนำมาปรับใช้ให้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด .....สำหรับงานเขียน เวลาผมเขียน+รู้สึก+คิด บางทีผมอยากจะใช้คำๆนี้ แต่ด้วยกฎทำให้ผมใช้ไม่ได้ อาจเป็นเพราะต้องมาคำนึง ระวังเสียงสั้น-เสียงยาว สัมผัสซ้ำ คำเกิน คำไม่ครบ เสียงลงท้ายไม่ถูก ...ผมว่า นี่มันไม่ใช่ข้อสอบคณิตหรือฟิสิกส์สักหน่อย ผมเครียดนะครับเวลาอยากใช้คำอะไรแล้วใช้ไม่ได้ อยากทำอย่างนี้แต่กฎให้ผมทำได้แค่นี้ แล้วผมก็ต้องมานั่งแก้ นั่งคิด คิด คิด คราวนี้แทนที่จะเขียนจากความรู้สึกก็จะเป็นเขียนจากความคิดไปซะส่วนใหญ่ ผมเลยโบกมือลา..ไม่เอาล่ะ ผมอยากเขียนอะไร ยังไง ก็จะเขียน แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของคำว่าปรับใช้ คงไม่ถึงกับสร้างใหม่นะครับ อีกประการหนึ่งเวลาผมเขียนผมจะพยายามใช้คำที่ง่ายที่สุด พบในชีวิตประจำวันทั่วไป เวลาผมเขียนผมคิดแค่อย่างเดียว ถ้าพ่อกับแม่ผมมาอ่านต้องอ่านรู้เรื่อง เข้าใจ ผมจึงถือว่าใช้ได้ "สำเร็จ" อีกอย่างเมื่อผมเขียนเสร็จผมต้องรู้สึกว่า "โคตรชอบเลยหวะ คิดได้ไงวะ" และก็ภูมิใจ ดีใจ ไปสักหลายๆวันครับ (พ่อกับแม่ผมจบแค่ป.4ครับ อาชีพชาวนา/เกษตร) ทั้งหมดทั้งมวลที่เพ้อมานั้น ผมว่า บทกวีมันควรจะเป็นไปโดยธรรมชาติมากที่สุด ผ่านทัศนคติ มุมมอง ความรู้สึกและตัวตนของผู้เขียน ทั้งนี้ต้องใช้เวลาและการเรียนรู้ ...ผมว่านี่แหละ น่าจะใช่ หนังสือเล่มหนึ่งบอกว่า "ก่อนจะออกนอกกรอบน่ะ ทำในกรอบให้ดีซะก่อน" ผมว่าอันนี้สำคัญ และมันจุดประกายความคิดผมครับ ร.ศ. (มันไม่ใช่สิ่ง แปลก-ใหม่ ..แค่ไม่มีใครนิยม แปลก-เก่า จริงๆ) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น รัตนโกสินทร์ศก วันที่ตอบ 2012-07-03 22:47:18 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 866895 |