ReadyPlanet.com


O น้ำผึ้งเดือนเจ็ด .. O


O แว่วยินไหม .. รำพันดวงขวัญเอ๋ย
ฝากให้ .. ลมรำเพยรำพึงผ่าน
ว่า .. ค่ำนี้แสงดาวคงร้าวราน
จาก .. ความหวานโชนช่วงในดวงตา

O จันทร์เอย .. เลื่อนขึ้นฟ้า .. ช้าช้าก่อน
ให้ความวอนเว้าปวง, แรงห่วงหา-
ได้ทอดเสียงกระซิบความ .. ส่งข้ามมา-
กล่อมหัวใจปรารถนา .. ผ่านราตรี

O ชะลอการเลื่อนดวงขึ้นสรวงฟ้า
เพื่อรอแสงในตารูปราศี-
ทอดทอแววสวาทสู่ .. ให้รู้ที-
รู้ท่า .. ความใยดี - ผู้มีใจ

O เห็นไหม .. แสงอ่อนโยนแต่โพ้นภพ
ทอดฝ่าพลบ .. ฝ่าฝัน .. ถึงกันได้
ฝัน .. ที่รอคาบช่วงแห่งดวงไฟ-
เชื่อมอาลัยผูกพัน .. ลงสัญญา

O หนึ่งหัวใจทะยานสู่ความรู้สึก
ดำดิ่งลึกลอดบ่วงความห่วงหา
เชื่อมอาวรณ์ช่วงฉายผ่านสายตา
ล่มทุกแสงจันทราจนล้าเลือน

O จันทร์เอย .. จันทร์เจ้า .. ช่วยเว้าวอน-
ความออดอ้อนรำบายลงป่ายเปื้อน-
ดวงใจผู้ห่วงละห้อย .. เพื่อคอยเตือน-
ให้ .. ถวิลทุกเขยื้อนขยับใจ

O ดู .. ธารดาวทอ-ดวงบนสรวงสวรรค์
แทนดวงตาทอฝัน .. ที่สั่นไหว-
ด้วยรูปรอยเจ้านั้น .. เช่นจันทร์ไกล-
แต้มรูปต่ายลงไว้ .. ที่ในดวง

O ช่างเนิ่นนานหนักหนา .. แต่ครานั้น
ก่อนรูปฉันทาชาติจะขาดช่วง
นับภาพซึ่งสุมใส่อยู่ในทรวง
ล้วน – รูปพวงดวงพักตร์จำหลักพร้อม

O ค่อยเบือนเหลียวสบลักษณ์ .. รูปพักตร์ล้ำ
มือกุมกำเรียวก้อย .. เอ่ยถ้อยกล่อม
หยาดน้ำตาร่วงตก .. ห้วงอกตรอม-
ก็แวดล้อมกาลลาด้วยอาลัย

O ฝ่าลานทุ่งรุ้งทองลอยล่องถึง
ธารดาวซึ่งทอส่องความผ่องใส
รอบวงกัปหมุนกาล .. ตราบนานไกล-
จนบรรจบรูปใจ .. เช่นในจันทร์

O ยังเป็นจันทร์ดวงเดิมที่เริ่มฉาย-
แสงลงป่ายเปื้อนโลก .. เมื่อโศกศัลย์, -
เสียงคร่ำครวญ-ล่มลาญแต่นานวัน
หลังรูปขวัญเผยกายต่อสายตา

O ยิ่งต่ายแต้มในจันทร์ .. เจ้าขวัญน้อย
เมื่อผ่านเผยรูปรอยมาคอยท่า
ก็สอดรับรูปฝันในสัญญา
เสน่หาในอก .. ฤๅยกพ้น ?

O ลมเยียบเย็นโรยฝ่าขอบฟ้ากว้าง
ในท่ามกลาง ดาวช่วงที่ร่วงหล่น
แรงอาวรณ์เวียนวก .. ในอกคน-
ก็เวียนจนอ่อนแรง .. แล้วแพงน้อย !

O ป่านฉะนี้ร่างนั้นในบรรจถรณ์
จะรุ่มร้อนเย็นเยียบหรือเงียบหงอย
หรือมองดาวไกลลิบตาปริบปรอย
หรือละห้อยห่วงหา .. ทั้งราตรี ?

O จน-นกค่ำส่งเสียงจำเรียงร้อง
แสงจันทร์ส่องฉาบฟ้า .. อวดราศี
ก็รับรู้อาลัยความใยดี-
ผ่านลมวีวาดสายรำบายความ

O แสงพรายประกายพรึกอันลึกลับ
ก็ค่อยพรับพรายดวง .. คล้ายหวงห้าม-
แรงอาวรณ์อาลัยพึงไหลลาม-
ล้อมรูปทรามสวาดิชู้แต่ผู้เดียว

O มวลเมฆดำมืดมนเคยหม่นเศร้า
และเวิ้งฟ้าเงียบเหงาเคยเปล่าเปลี่ยว
กลับเลื่อนรูปจนเห็นเป็นเส้นเกลียว-
ของสายใยพันเหนี่ยว .. รูปเรียวนั้น

O แล้วค่ำก็ถูกกลืนด้วยคลื่นดาว
จนห้วงหาวไกลลิบกระพริบสั่น
แล้วลมก็ร้องร่ำเสียงรำพัน-
เพื่อโอบขวัญอบร่ำ .. ด้วยคำชาย

O เบื้องไกลพู้นเวิ้งว้าง .. ที่กลางหาว
กลาดเกลื่อนดาวลอยดวงขึ้นช่วงฉาย
หลากสีสันท่ามกลางแสงพร่างพราย
ก็เพียงหมายแสงช่วง .. ของดวงเดียว !

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=06-2013&date=02&group=11&gblog=448



ผู้ตั้งกระทู้ สดายุ :: วันที่ลงประกาศ 2013-07-16 06:50:35


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2387322)

 

หวานใดไหวหัวใจสดายุ

จึงฉลุลายคำได้ฉ่ำหวาน

.....................................

.....................................

แต่งได้แค่นี้เอง....แต่ว่าทำไมต้องเป็นน้ำผึ้งเดือนเจ็ดละครับ อ่านแล้วหวานกว่านั้นตั้งเยอะ

.................................

คมใดกรีดว่าคมให้ตรมนาน  

ไม่อาจทานเทียบคมของลมคำ

.................................................

เอ้า......ได้อีกสองวรรค ให้กับบทสุดท้ายที่จบลงอย่างคมคาย

รู้สึกสำนานนี้ จะเคยเข้าไปอ่านในบล็อค วรรณประทีป นานแล้ว แต่พออ่านใหม่ก็ยังหวานใหม่

นี่ถ้ารวมเล่มขาย มดคงกินหมด ไม่ทันถึงมือผู้ซื้อแน่

ถ้อยคำนิรมิตในวิจิตรอารมณ์............ ท่านถะถั่งออกมาได้เช่นไร

ขอคำตอบ ด่วน

                                                                   คารวะ

                                                                   นายเงา

 

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น นายเงา วันที่ตอบ 2013-07-16 13:29:34


ความคิดเห็นที่ 2 (2387424)

สวัสดีครับนายเงา

งานเก่าครับ .. พักหลังไม่ค่อยได้เขียนใหม่ .. นารีปราโมช เขียนให้บรรดานารีได้ปราโมช และคนเขียนก็จะได้อานิสงส์ไปต่อจินตนาการในบทต่อๆไป ..

ผู้หญิงเป็นเพศที่มีอารมณ์ที่เข้าใจได้ยาก เป็นตัวร้ายกาจในความคิดของผม แต่โลกนี้ก็ขาดคุณเธอไม่ได้ .. เพราะหากขาดไปความสวยงามอ่อนหวานน่ารักบนโลกจะขาดหายไปหมด .. (หากเป็นอย่างนั้น .. ตายเสียดีกว่า)

ร้ายกาจ แต่ก็ ขาดไม่ได้ .. กลอนแนวนี้จึงไม่มีวันตาย สมัยก่อนเรียกเพลงยาว สังเกตได้ว่า สืบทอดมาได้ยาวนาน อย่างเพลงยาวเจ้าฟ้ากุ้ง พระยาตรัง สนทรภู่ และ ฯลฯ .. พวกนี้เกิน 200 ปี ..ที่บางท่านการเล่นสัมผัสอักษร ทำได้ฉกาจฉกรรจ์

ปางพี่มาดหมายสมานสุมาลย์สมร .. ม
ดังหมายดวงหมายเดือนดารากร .. ด
อันลอยพื้นอำพรโพยมพราย .. พ
แม้พี่เหิรเดินได้ในเวหาศ .. ห
ถึงจะมาดก็ไม่เสียซึ่งแรงหมาย .. ม
มิได้ชมก็พอได้ดำเนินชาย .. ช
เมียงหมายรัศมีพิมานมอง .. ม
นี่สุดหมายที่จะมาดสุมาลย์สมาน .. ม
สุดหาญที่เหิรเวหาศห้อง .. ห
.... (เพลงยาวเจ้าฟ้ากุ้ง)

ขณะที่แนวเพื่อชีวิต สะท้อนสังคม เพียงแค่ 16ตุลา มาจนบัดนี้เหลือติดหูไม่กี่บท ผ่านมาแค่ 40 ปีเอง ..

ผมเห็นว่าสตรีเพศ น่ารักดี ทั้งกริยา อาการ รูปกาย (หมายถึงวัย 18-28 ประมาณนี้นะครับ) วัยนี้ใครเห็นใครก็รัก .. กลอนนารีปราโมชถึงเขียนไว้มากที่สุด .. ยิ่งช่วงไหนมีสาวสวยมาอ่านกลอนจะยิ่งเขียนได้หวานเป็นพิเศษ .. 55

เหตุมาจากความอ่อนหวานช่างฉอเลาะของวัยสาว (ที่คนเขียนจะจินตนาการว่าสวยมาก ประมาณสะใภ้จุฑาเทพทั้ง 5 ) .. กลอนจึงพาลหวานตามไป .. เป็นผลจากเหตุดังว่า ขอรับ

ขอบคุณครับนายเงาที่แวะมาพูดคุยด้วย

สดายุ

ผู้แสดงความคิดเห็น สดายุ วันที่ตอบ 2013-07-16 14:49:47


ความคิดเห็นที่ 3 (2387425)

ลืมไปคำถามหนึ่ง .. ทำไมต้องน้ำผึ้งเดือนเจ็ด .... เพราะเอากลอนมาลงเดือนเจ็ด .. เขียนถึงความหวานและความหอม ในอารมณ์ จึงใช้คำนี้ น้ำผึ้งแทนหวานหอม ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น สดายุ วันที่ตอบ 2013-07-16 14:52:12


ความคิดเห็นที่ 4 (2387605)

รักเธอสุดหัวใจ



.. แม้นกุศลเราสองเคยร่วมสร้าง
ขอร่วมห้องอย่าได้ห่างเสน่หา
เสี่ยงผลที่ได้เพิ่มบำเพ็ญมา
ขอร่วมชีวาร่วมวางชีวาวาย ..

.. เกิดไหนขอให้ได้ถนอมพักตร์
ความรักอย่าได้ร้างอารมณ์สลาย
รักนุชอย่าได้สุดเสน่ห์คลาย
ขอสมหมายที่ข้ามาดสมาทาน ..


O เสนาะพากย์เพลงยาว .. กลอนเจ้าฟ้า
ดั่งแว่วมา .. ให้สดับเสียงขับขาน
กระซิบความสื่อล่วง .. สู่ดวงมาน-
ของนงคราญรูปพิไลผู้ใยดี

O รำพันพากย์เอื้อนอ้อนเสียงอ่อนหวาน
บอกรูปคราญจำหลักเป็นสักขี
เสน่หาอาลัย .. เยื่อใย-มี
มอบบัตรพลีในนามของความรัก

O ภาพอดีตเรื่องราวที่กล่าวขาน
ค่อยเผยผ่านความสู่ .. ให้รู้จัก
จนรับรู้ความนัย .. อยู่ในวรรค-
ว่าหัวใจถูกกัก .. เกินหักพ้น

O นั่น .. แววเนตรใครวาบ .. ล้อคาบยาม
ก่อนแสงวามวาบช่วง .. นั้นร่วงหล่น
หรือภพชาติเบื้องบรรพ์ .. ช่วยบันดล-
ให้งามล้นโดยชาติ .. มาพาดเงา

O ชายฟ้าเลื่อนเตือนตะวันกล่อมขวัญสรวง
ปลดเงื่อนบ่วงโศกสร้อยทุกรอยเหงา
หลังสายลมแผ่วลูบ, จึง-รูปเยาว์-
เหมือนอยู่เฝ้ารุมล้อมไม่ยอมคลาย

O หรือ-งามชาติรูปนั้น .. จากบรรพกาล
จักข้ามผ่านภพชาติ .. ด้วยมาดหมาย-
ร่วมจุนเจืออาลัย .. แห่งใจชาย-
พา .. วนว่ายเสน่หา .. ห้วงอาวรณ์

O หรือบุญสร้างบาปสม .. เกินข่มห้าม
สบรูปแล้วรูปนามก็ตามหลอน
อิริยาพากย์เล่า .. แสนเว้าวอน-
เหมือนออดอ้อนแฝงเร้น .. อยู่เช่นนั้น

O โอ รูปลักษณ์รมยา .. เดียงสาโลก
กรรมเมื่อโบกโบยนัย .. พาไหวหวั่น
ต้อง-เงื่อนนัยแห่งชู้ .. โจมจู่ พลัน-
ย่อมผูกพันมั่นอยู่ .. ไม่รู้คลาย

O ครั้งนั้นหวายโบยหลัง .. จนพังยับ
จวบชีพวิญญาณลับ .. ลมดับหาย
ถูกลบรูป-นามทิ้งทั้งหญิงชาย
พร้อมแรงสายสวาทชู้เคียงคู่กัน

O ครั้งนี้ แรงอาวรณ์เคยซ่อนอยู่
เคยรับรู้อาศัย แต่ในฝัน
กลับต้องเผยภพชาติ .. มาพาดพัน
จากบุญบาปเบื้องบรรพ์คอยบัญชา

O อธิษฐาน .. เพรงวาสน์ให้พาดช่วง
จนแหนหวง .. เฝ้าคอย .. ละห้อยหา-
เติบเต็มอยู่ในทรวงไม่ล่วงลา
จนแววตาอาวรณ์ .. นั้น-ร้อนรน

O กี่ห้วงเวียนวงวัฏฏ์ของสัตว์โลก
อาจฝ่าโศกสุมสั่ง .. สักครั้งหน
กี่ช่วงคาบปฏิพัทธ์ .. รำบัดตน
อาจฝ่าพ้นเสน่หา .. ที่ท้าทาย ?

O เมื่อเผยรูปเผยนาม .. มาตามผลาญ
เผยอ่อนหวานอ่อนโยน .. ออกโชนฉาย
รู้หรือไม่ .. ด้านในหัวใจชาย-
ไม่ต่างหวาย .. โบยหลังเมื่อครั้งนั้น !

O แม้นรูปกายแตกดับ .. เกินนับชาติ
ยังคงมาดหมายอยู่ -ไม่รู้หวั่น
เพียง-จักขุวิญญาณ .. แผ้วพานกัน-
ย่อมหยั่งสัญญาชู้ .. โถมสู่ใจ

O จึงเมื่อวางชาติภพ .. มาจบ-ต้อง
สัญญาพ้องรูปนาม .. ย่อม-หวามไหว
พร้อมอาการเต้นรัวที่หัวใจ
เมื่อภาพใครลอบเร้น .. บีบเค้นลง

O ครั้งนั้น .. หวายวาดลงที่ตรงหลัง
แม้นเลือดหลั่งโลมกาย .. อย่าหมายบ่ง-
ถอนเอาเสี้ยนรักฝัง .. ที่ยังคง-
วางจำนงข้ามภพ .. รอ-พบเจอ

O ครั้งนี้ .. รอยสวาท .. เหมือนพาดผ่าน-
แววอ่อนหวานเปล่งปลั่ง .. ทุกพลั้งเผลอ-
เนตรชำเลืองเหลือบนำ .. ย่อมบำเรอ-
บำรุงใจพร่ำเพ้อ .. ชะเง้อคอย

O โอ .. วับวาบแววหวาน .. เหมือนผ่านสู่-
ให้รับรู้จดจำแทนคำถ้อย
ว่าจิตใจพร่ำเพ้อ .. จนเหม่อลอย-
เหมือนร่วมร้อยเรื่องขาน .. เมื่อนานปี

O ครั้งนั้น .. โดยจารีตเป็นขีดคั่น
จึงต้องทัณฑ์โทษหนัก .. สมศักดิ์ศรี
สองภพชาติ .. หัวใจ .. ยังไหววี-
ตอบเสียงหวายโบยตี .. ในที่นั้น

O ครั้งนี้ .. โดยรูปคราญ .. เผยผ่านต้อง
เช่นบ่วงคล้องอกใจ .. จนไหวสั่น
ความอบอุ่นอ่อนหวานก็ปานทัณฑ์-
แต่เบื้องบรรพ์รัดล่าม .. เกินข้ามพ้น

O โอ แววเนตรใครหนอ .. ยั่วล้อยาม
ก่อนแสงวามสองดวง .. ค่อยร่วงหล่น-
กลางอาลัยอาวรณ์ .. อันร้อนรน
ใครหนอ .. วนรอบหวาน .. หมุนด้านรอ

O โอ แสงดาวสองดวง ไยช่วงนัก
หมายกุมกักหัวใจ หรือไรหนอ
รูปนามเอย .. แรงชู้ ฤๅรู้พอ-
เมื่อยั่วล้อ .. ทอดตัวกลางหัวใจ ?


.....................


กลอนสองบทแรก .. นำมาจากเพลงยาวเจ้าฟ้ากุ้ง .. พระอุปราชในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกฐ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง .. ราชวงศ์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา.

 

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=12-2012&date=17&group=11&gblog=428

ผู้แสดงความคิดเห็น สดายุ วันที่ตอบ 2013-07-17 06:31:27


ความคิดเห็นที่ 5 (2389172)

O สิ้น..วาสนา..O

O และแล้วก็มองเห็นความเป็นจริง
ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง..เพียงร่างฝัน
ปรากฎขึ้นเป็นโจทก์..ชี้โทษทัณฑ์
เพื่อสุมใส่โศกศัลย์..เข้าพันธนา

O ถวิลถึงก็วิตกสะทกสะท้อน
ฑิฆัมพร..เฝ้าแต่เหลียวแลหา
ลอยเด่นกลางสรวงนั่น..คือจันทรา
จนเกินมือเอื้อมหา..เพื่อคว้าดึง !

O เคว้งคว้างอยู่กลางคลื่นที่ตื่น..คลั่ง
คลื่นเทวษที่ลึกดั่ง..เกินหยั่งถึง
รอวิญญาณไร้สิทธิ์..ลงติดตรึง-
อยู่ก้นบึ้งโศกศัลย์..ในบั้นปลาย

O อีกครั้ง..และอีกครา-ความอาวรณ์-
ต้องขาดตอนขาดช่วงจนล่วงหาย
อีกครั้งที่อาลัยจากใจชาย-
ต้องวอดวายล่มคา .. รูปปรารมภ์

O อีกครั้งที่ใจชาย..จะคล้ายว่า-
ต้องโทษทัณฑ์ทรมาจนสาสม
เมื่องามหนึ่งรูปละม่อมเคยจ่อมจม
ต้องมาล่มลับหายกับสายกาล

O รูปเอยรูปงามเยาว์..ดั่งเงาล้อม
จากเผยรูปเห่กล่อมด้วยหอมหวาน
ดลจริตส่งรับอยู่นับนาน
กลับต้องลาญลบสิ้น..จากถิ่นทรวง

O เสียเจ้า-เยาวรูป..ราวสูบสั่ง-
จากเทพทวงเปล่งปลั่ง-คืนฝั่งสรวง
มอบเปล่าเปลี่ยวสุมสั่ง..ใจทั้งดวง
เป็นภาพลวงรองรับ..การลับ..ลา

O จะมีหรือกาลหวนให้จวน-จบ
แต่นี้ตราบผืนภพ..ดินกลบหน้า
คงรอคอยเงียบเหงาให้เข้ามา-
ฉุดลากอาดูรถวิล..ให้สิ้นลง

O นี่หรือ-ปวดร้าว, เจ็บ..อันเหน็บหนาว
ในทุกก้าวย่างรุดเหมือนสุดบ่ง
นี่หรือ..ความขมขื่นที่ยืนยง
คล้ายสืบส่งสมสั่ง..จนคั่งคา

O จะเจ็บจำฝังไว้..เพื่อได้เห็น-
ใจที่เจ้าเหยียบเล่นเหมือนเส้นหญ้า
เพื่อปลดปล่อยโทษทัณฑ์ให้บรรดา-
ชายอื่นรอเยี่ยมหน้าด้วยสาใจ

O เทพผู้กอปรฤทธีทั้งสี่โลก
พึงอวยโศกครอบอก-จนหมกไหม้
เอื้อดวงจิตหลอมเหลวด้วยเปลวไฟ
เผาผลาญให้มอดสิ้นทั้งจินตนา

O จะเกิดดับกี่วัฏฏะวงรอบ
ขอนบนอบด้วยเล่ห์เสน่หา
ยอมให้เหยียบย่ำเล่นเหมือนเป็นมา
ในทุกกาละภพที่พบกัน

O อย่าได้คลายอาวรณ์ที่เคยมี
ในทุกที่ทางเที่ยวจะเหลียว-หัน
จะรอคอยย่ำเหยียบ..อย่างเงียบงัน
รอเท้าเรียวเจ้านั้น..เหยียบ-หยันเทอญ

ผู้แสดงความคิดเห็น สดายุ วันที่ตอบ 2013-07-19 20:06:00



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.