ReadyPlanet.com


ขอแสดงทัศนะต่อไม่มีหญิงสาวในบทกวี


ไม่มีหญิงสาวในบทกวี  เป็นบทกวีก็อบปี้มาจากต่างประเทศถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว   ทีกรรมการบอกว่าเป็นปรัชญาลุ่มลึกอะไรนั่น  เป็นเพราะว่ากรรมการไม่เคยอ่านกวีของต่างประเทศเหล่านั้น  เช่น   นกไม่ต้องมีปีก  ดอกไม้ไม่ต้องมีกลิ่นหอม  นี่ลอกมาทั้งดุ้นเลย  ของกวีฝรั่งเศส   ดั้งนั้น  การที่กวีก็อบปี้  หรือลอกเลียนแบบ  จึงแสดงให้เห็นความไม่มีตัวตนและความเป็นปัจเจกของกวี   จึงเป็นได้เพียงแค่กวีสร้างภาพและแสวงหาชื่อเสียง   เป็นลักษณะที่เรียกว่า   fake   ต่อสังคมส่วนรวม   ไม่มีหญิงสาวในบทกวี  ส่วนหนึ่งก็อบมาจาก  กวีของ   มามูด  ดาววิด   กวีชาวอาหรับท่านหนึ่ง   ดังนั้นถ้าใครชอบอ่านงานของต่างประเทศและอาหรับแถบปาเลสไตร์   จะรู้ว่าผลงานเล่มนี้ก็อบมาทั้งนั้นและจะรู้สึกผิดหวังมาก  การที่กรรมการชื่นชอบและชื่นชมเข้าใจว่ากรรมการคงไม่มีเวลาอ่านกวีต่างประเทศหรือเคยอ่านกวีต่างประเทศเหล่านั้น  จึงเป้นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับกรรมการ     ดังนั้น  กวีสยามที่ชอบอ่านกวีต่างประเทศอย่าง   มูฮัมหมัด  ฮาริส  กาเหย็ม   หรือ   อโลชา  เวียงพงศ์    จะรู้ดีเป็นที่สุด



ผู้ตั้งกระทู้ แหลมพรหมเทพ :: วันที่ลงประกาศ 2010-09-10 00:09:34


[1] 2 ถัดไป >>

ความคิดเห็นที่ 1 (2106075)

แรว็งส์ส์ส์ส์.......ส์

ผู้แสดงความคิดเห็น เด็กแว้นซ์อ่านกวีนิพนธ์ วันที่ตอบ 2010-09-10 02:36:28


ความคิดเห็นที่ 2 (2106110)

คุณแหลมพรหมเทพ  กล้าพูดความจริงน่าสรรเสริฐยิ่งนัก    อยากให้นายสกุล บุญทัต  ออกมาแก้ต่างให้หน่อยซิ  วิจารณ์เก่งดีนัก หน้าแตกล่ะสิ เมื่อเจอความจริงเผยออกมา  มันจะเข้าข้างกันไปถึงไหนวะ

ผู้แสดงความคิดเห็น แหลมงอบ วันที่ตอบ 2010-09-10 09:07:54


ความคิดเห็นที่ 3 (2106269)

เรื่องนี้ถ้าเป็นจริง

ก็น่าตกใจ

ลองเอาวรรคนั้น

จากหนังสือเล่มนั้นมาดูคำต่อคำ

ว่ากอปหรือแค่เป็นแรงบันดาลใจ

 

เรื่องใหญ่นะเพื่อน อย่าทำเล่นไป

ผู้แสดงความคิดเห็น แสงแรก ประดับดิน (dawn-dot-2550-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-10 14:43:41


ความคิดเห็นที่ 4 (2106323)

ลองอ่านให้จบเล่มนะครับว่า  บางฉากใน  ไม่มีหญิงสาวในบทกวี   จะมีฉากของกับระเบิด  สงคราม   เรียกร้องสันติภาพ   เป็นฉากแถมอาหรับทั้งนั้น   เด็กหญิงสะดุดยอดหญ้าตรงพรมแดน  ธงรบถูกชักขึ้น    สนามเด็กเล่นจะมีกับระเบิดไหมหนอ     แล้วจะรู้ว่าไม่ได้คิดเอง  มันเป็นลักษณะ  ก็อบแบบมีเทคนิค  บางสำนวนก็อบเพลินหลุดมาเป็นยวงเลย   เป็นลักษณะ  fake   แบบ  อีเว้น  ไม่อยากโทษกรรมการนะครับ  เพราะว่าเป็นกรรมการจากมหาวิทยาลัย  วันๆๆๆ   หมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับการเรียนการสอน และ รายงานของนักศึกษา    ชีวิตประจำวันถูกตีกรอบโดยงานประจำ  วิสัยทัศน์แบบกว้างๆๆ   ไม่มี    ผมอยากเสนอแนะครับว่า  งานใหญ่แบบนี้เห็นควร  เชิญกวีตัดสินกวีนะ  เช่น   อาจารย์เนาว์    จีรนันท์   ไพวรินทร์   อาจารย์ประยอม      พนม   นันทพฤกษ์   รอบนี้  มีท่านดุลย์เพียงคนเดียว   และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  รอบคัดเลือกควรมีกรรมการที่เป็นกวี  เข้าคัดสรรด้วย   แต่นี่เอานักข่าวนักวิจารณ์ที่ไม่เคยมีผลงานเป็นที่ยอมรับมาคัดเลือก  แล้วจะเข้าใจความเป็นกวียังไง  และถามหน่อยว่า นักข่าวนักวิจารณ์ไม่เคยมีผลงานเป็นที่ยอมรับ  ทำไมถึงอยากเป็นกรรมการ  ไม่อายตัวเองบ้างเหรอ  หรือว่ามีคนเชิญ  อย่างผมนี่ถ้าไม่มีผลงานผมไม่กล้าไปตัดสินใครเขาหรอก  อายตัวเอง  แล้วพวกนักข่าวนักวิจารณ์ที่เข้าไปเสนอหน้าตัดสินนี่  ชอบทำตัว   act   art    ผลลัพย์จึงป็นจึงเป็นอย่างที่เห็นนี่ละครับ   ผมถามหน่อยว่าถ้าถูกรับเชิญไปบรรยายในสถาบันการศึกษา  ปุถุชนผันเสียงวรรณยุกต์ให้เด็กได้ความรู้ได้ไหม  วรรครับวรรคส่ง  คิดว่ากวีท่านนี้คงไม่รู้  เท่าที่อ่านของปุถุชนมา  ไม่เคยเห็นแต่งโคลงหรือกลอนแปดเลย   เข้าไปดูในเวป    poet  society  .com  ก็เห็นแต่ก็อบงานอาหรับมาทั้งนั้น   เชิญผู้รู้เข้าไปทัศนาได้เลย

ผู้แสดงความคิดเห็น ปัตตานี วันที่ตอบ 2010-09-10 17:04:18


ความคิดเห็นที่ 5 (2106997)

เออนี่ แหลมพรหมเทพ, แหลมงอบ, ปัตตานี พึ่งตื่นหรือเปล่า? หากจะวิจารณ์ทำไมไม่วิจารณ์ตั้งแต่ประกาศผลในรอบแรก อ.สกุล  บุญทัต ท่านทำได้อย่างน่าชื่นชมแล้วครับ ท่านวิจารณ์ตั้งแต่แรกประกาศผลรอบคัดเลือก จะถูกจะผิดก็ยังเป็นลูกผู้ชายที่กล้าเปิดเผยตัวเอง และความคิดในการวิจารณ์ ไม่ใช่ซ่อนตัวใส่กระโปรงแอบมาลอบกัด แน่จริงทำไมไม่ไปที่เว็บนั้นเลยหล่ะครับท่าน


ไอ้ที่มาว่าเขานี่ตีขลุมโมเมเอาเองหรือเปล่า? ทำไมไม่ยกหลักฐานมาวางกันจะจะเลยหละครับ กรรมการจะได้หน้าแตกได้สมใจ ข้อกล่าวหาทั้งหมดหลวมมาก ๆ เลยครับ ท่านไม่มีข้อเท็จจริงมาพูดแม้แต่นิดเดียว


"ไม่มีหญิงสาวในบทกวี  เป็นบทกวีก็อบปี้มาจากต่างประเทศถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว " 

ไหนลองยกตัวอย่างให้ดูสักบทหน่อยสิครับ ว่า "บทกวีต่างประเทศ" ตัวบทเป็นอย่างไร จะได้เห็นว่าก็อปฯ มาถึงเก้าสิบเปอร์เซนต์จริงหรือเปล่า เอาหลักฐานมายันหน่อยสิครับ ไม่ใช่กล่าวหาคนอื่นอย่างเลื่อนลอย


"นกไม่ต้องมีปีก  ดอกไม้ไม่ต้องมีกลิ่นหอม  นี่ลอกมาทั้งดุ้นเลย  ของกวีฝรั่งเศส"

ไหน บทกวีฝรั่งเศสว่าอย่างไร? ยกมาให้เป็นขวัญตาหน่อยขอรับ


"ส่วนหนึ่งก็อบมาจาก  กวีของ   มามูด  ดาววิด   กวีชาวอาหรับท่านหนึ่ง "

นี่ก็เช่นกัน ลองยกมาให้ทัศนาหน่อยประไรท่าน


"กวีสยามที่ชอบอ่านกวีต่างประเทศอย่าง   มูฮัมหมัด  ฮาริส  กาเหย็ม   หรือ   อโลชา  เวียงพงศ์    จะรู้ดีเป็นที่สุด"

เออ แล้วท่านทั้งสองเขียนไว้ตรงไหน อย่างไรหรือครับ? ยกมาให้อ่านหน่อย  ท่านเอาหลักฐานอะไรมาระบุว่ากรรมการซีไรต์ไม่ชอบอ่านกวีต่างประเทศ? ทำเป็นสู่รู้ไปหมด


"เป็นลักษณะ  fake   แบบ  อีเว้น "

...มันเป็นอย่างไรครับ? ยกตัวบทมาให้ดูหน่อยประไร ไม่ใช่ตีขลุมเอาอย่างนี้นะท่าน

แบบนี้ผมก็พูดได้เช่นกันว่าคุน fake ข้อกล่าวหาทั้งหมดเลย หรือมิใช่?


"งานใหญ่แบบนี้เห็นควร  เชิญกวีตัดสินกวีนะ  เช่น   อาจารย์เนาว์    จีรนันท์   ไพวรินทร์   อาจารย์ประยอม  พนม   นันทพฤกษ์   รอบนี้  มีท่านดุลย์เพียงคนเดียว"


ข้อกล่าวหานี้แปลก ๆ นะครับ ท่านจะเลือกกรรมการตามใจท่านชอบหรือไร?... ดูข่าวจากกรุงเทพธุรกิจ เขาก็บอกว่า

... คณะกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี 2553 ประกอบด้วย อดุล จันทรศักดิ์ ประธานคณะกรรมการตัดสิน และกรรมการได้แก่ ประภัสสร เสวิกุล ชมัยภร แสงกระจ่าง รศ.ดร.สรณัฐ ไตลังคะ รศ.สุรภีพรรณ ฉัตราภรณ์ ผศ.ดร.เสาวณิต วิงวอน และโกศล อนุสิม มีมติเป็นเอกฉันท์ให้กวีนิพนธ์รวมเล่มเรื่อง “ไม่มีหญิงสาวในบทกวี” ของ ซะการีย์ยา อมตยา ได้รับรางวัลรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี 2553 ...

ดูรายชื่อกรรมการแล้ว ใครหละครับที่ท่านว่าไม่ใช่กวี? ท่านเอาอะไรมาวัดว่าใครควรเป็นกวี?


"รอบคัดเลือกควรมีกรรมการที่เป็นกวี  เข้าคัดสรรด้วย   แต่นี่เอานักข่าวนักวิจารณ์ที่ไม่เคยมีผลงานเป็นที่ยอมรับมาคัดเลือก  แล้วจะเข้าใจความเป็นกวียังไง "


ดูท่าข้อกล่าวหานี้จะไม่จริงกระมังครับ ดูรายชื่อกรรมการคัดเลือก

๑.อาจารย์ วรรณา  นาวิกมูล ภาควิชาวรรณคดี คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ๒.อาจารย์ พวงแก้ว  ลภิรัตนกุล นักวิชาการวรรณกรรม ๓.ผศ.ดร. ญาดา  อารัมภีร นักวิชาการวรรณกรรม กรรมการสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ๔.นาย โกศล  อนุสิม กวี นักเขียน ๕.นาย สุภาพ  พิมพ์ชน นักวิจารณ์ ๖.อาจารย์ ดร. อารียา หุตินทะ ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ๗.อาจารย์ ดร. ปรมินท์ จารุวร ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ...

จะเห็นว่ามีทั้งอาจารย์ กวี นักเขียนและนักวิจารณ์ นะครับ


"ผมถามหน่อยว่าถ้าถูกรับเชิญไปบรรยายในสถาบันการศึกษา  ปุถุชนผันเสียงวรรณยุกต์ให้เด็กได้ความรู้ได้ไหม  วรรครับวรรคส่ง  คิดว่ากวีท่านนี้คงไม่รู้  เท่าที่อ่านของปุถุชนมา  ไม่เคยเห็นแต่งโคลงหรือกลอนแปดเลย "


ท่านรู้จัก "ปุถุชน" หรือ? โมเมหรือเปล่า? ทำไมกวีต้องรู้จักวรรครับวรรส่ง ทำไม "ปุถุชน" ต้องเคยแต่งโคลงหรือกลอนแปด? ระเบียบซีไรต์ระบุไว้ตรงไหนเหรอ?  แล้วคุณรู้จักบทกวีเหรอ อะไรเหรอที่เรียกว่าบทกวี?

หากเชิญ "ปุถุชน" ไปบรรยาย เขาก็ย่อมแสดงความสามารถในบทกวีของเขา เขาจะบ้าไปแสดงในสิ่งอื่นที่เขาไม่ถนัดได้อย่างไร ถามแบบหาเรื่องนี่นา งั้น ผมก็ถามคุณกลับหน่อยว่า หากเชิญคุณไปบรรยายให้นักศึกษาฟังคุณจะอธิบายอย่างไรว่ากวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์อิสระ แต่งให้ดีได้อย่างไร?


"เข้าไปดูในเวป    poet  society  .com  ก็เห็นแต่ก็อบงานอาหรับมาทั้งนั้น "


ไม่จริง!  บทกวีจีนก็มี ฝรั่งเศสก็มี เยอรมันก็มีนะ หุๆ ช่วยชี้แจงหน่วยว่าก็อปฯ มามันเสียหายอย่างไร?  ที่ก็อปมาเขาก็บอกว่าก็อป ที่เขาแต่งเขาก็บอกว่าเขาแต่ง เปิดเผยดีออก


ผมว่าคุณไปถามข้อสงสัยในเว็บนั้นเลยดีกว่า จะได้แจ่มแจ้งแดงแจ๋ไปเลย ไม่ใช่เป็นอีแอบอย่างนี้ เว็บนี้ไม่ค่อยมีคนเข้าเท่าไหร่ เดี๋ยวคุณจะไม่ดังนา 55+


 

ผู้แสดงความคิดเห็น สมุทร วันที่ตอบ 2010-09-10 21:42:21


ความคิดเห็นที่ 6 (2107070)

คุณสมุทรครับ

การที่ใครสักคนอ่านหนังสือ ๑ เล่ม แล้วเทใจรักให้เล่มนั้นอย่างสุดตัว

จนไม่สามารถรับฟังคำติติงได้ แลต้องใช้คำพูดกักขฬะ

มีอยู่ ๒ คนครับที่จะทำแบบนี้ได้

๑ คือคนที่ใจรักและเทิดทูนบูชาหนังสือเล่มนั้นอย่างหมดหัวใจ (เหมือนที่ผมรัก ตลิ่งสูง ซุงหนัก)

๒ คือตัวผู้เขียนเอง

ผู้แสดงความคิดเห็น อังกาบ วันที่ตอบ 2010-09-11 06:37:42


ความคิดเห็นที่ 7 (2107907)

อ้าว!

ผู้แสดงความคิดเห็น เฮ้อ วันที่ตอบ 2010-09-11 12:15:57


ความคิดเห็นที่ 8 (2107938)

สวัสดีครับคุณอังกาบ ... น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ
แต่สาวกตนนี้คงคลั่งน่าดูขนาดปลอมชื่อแซ่มากมายมาตีโพยตีพาย

เวทีนี้ใครจะได้รับรางวัล ไม่สำคัญหรอก
กวีอย่างไรก็ต้องสร้างสรรค์กวีนิพนธ์ด้วยใจรัก เชื่อมั่นในแนวทางของตนเอง
ผมก็อ่านทั้ง ๖ เล่ม และรวมทั้งเล่มที่ไม่เข้ารอบสุดท้ายด้วย เคยวิจารณ์ก่อนการประกาศรางวัล [คลิก]
แต่ละเล่มก็มีที่เด่นที่ด้อยต่างกัน

เล่มที่เราชื่นชอบไม่ได้รางวัล ก็ไม่น่าจะคลั่งขนาดนี้นะ


ใครอยากวิจารณ์ด้วยใจจริง ก็เชิญไปให้ถูกเวทีเลยครับ เจ้าของผลงานเขาเปิดโอกาสให้แล้วครับ

ชวนวิจารณ์ "ไม่มีหญิงสาวในบทกวี" หนังสือกวีนิพนธ์ซีไรต์ 2553
http://www.thaipoetsociety.com/index.php?topic=2652.msg16193#new

« เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 11:52:59 pm » โดย กต.

หนังสือกวีนิพนธ์ "ไม่มีหญิงสาวในบทกวี" โดย ซะการีย์ยา อมตยา เพิ่งได้รับ รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (S.E.A. Write) ไปหมาดๆ

ร้านหนังสือบรรยากาศ จึงเชิญชวน

กฤช เหลือละมัย
กันต์ธร อักษรนำ
วันรัก สุวรรณวัฒนา (เฟย์)

วิจารณ์ หนังสือกวีนิพนธ์เล่มนี้ และร่วมสมทบการวิจารณ์ด้วยกวีและผู้ร่วมฟัง
กันแบบไม่มีลิมิต รวมถึงการอ่าน ตัวบทของหนังสือเล่มนี้ให้ฟังโดยกวีนิรนาม

ปิดท้ายบรรยากาศของงานวิจารณ์ครั้งนี้
ด้วย Jazz band - hello miner

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน นี้ 16:00 - 19:00 น.
ร้านหนังสือบรรยากาศ ( chez lodin + Toot Yung Gallery )
(ตีนสะพานวันชาติ)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สมุทร วันที่ตอบ 2010-09-11 13:49:10


ความคิดเห็นที่ 9 (2108007)

ชอบวิจารณ์กันดีนัก ถ้าแน่จริง กรุณาไปตามคำเชิญของคุณสมุทรสิคะ ไปวิจารณ์ต่อหน้านักเขียนและสาธารณชนเลย แล้วเอาหลักฐานหนังสือฝรั่งเศส อาหรับอไรที่พวกคุณเอ่ยอ้างไปยันด้วยนะคะ ไม่อยากเห็นคนเก่งแต่ในโลกไซเบอร์ วันที่12นี้ 16.00-19.00น. กรุณามานะคะถ้าแน่จริง ดิชั้นจะรอดู5555555555555

ผู้แสดงความคิดเห็น สิริมาพร วันที่ตอบ 2010-09-11 16:57:03


ความคิดเห็นที่ 10 (2108027)

มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจที่ยกขึ้นมาโดยเจ้าของกระทู้ครับ

ประเด็นเรื่องการก็อปปี้ หรือเลียนแบบ หรือยกมา หรือ โคว้ทมา

โดยส่วนตัวแล้วไม่มีความรู้เรื่องวรรณคดีอาหรับ แต่ก็เท่าที่ดูในกวีนิพนธ์ของท่านอื่นก็เห็นการเลียนแบบมากมาย อย่างนรินทร์อินท์เลียนกำสรวลโคลงดั้น เสฐียรโกเศศกับนาคะประทีปเลียนกรมพระปรมาฯ (กามนิต-ปฐมสมโพธิ ในบทพุทธปรินิพพาน) บทพรรณนาความโศกของพระเวสสันดรในร่ายยาวของเจ้าพระยาพระคลังหน กัณฑมัทรี ก็เหมือนกับในมหาชาติเมืองเพชรจนแทบจะถอดกันมา แล้วก็ไปคล้ายกับบทพากย์นางลอย ของรัชกาลที่ ๒

ที่ยกมามากมายนี้ไม่ได้จะอวดภูมินะครับ เพราะถ้าทุกท่านไปอ่านก็จะเห็นเช่นเดียวกันว่า งานร้อยกรองไทยแต่โบราณมันก็มีการเลียนก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่เขาไม่ได้เลียนกันอย่างทื่อ ๆ โบราณเขาเลียนอย่างมีศิลปะ วางให้เหมาะเจาะเข้ากับงานของตน

ในส่วนงานของซะการียา ผมมีโอกาสได้อ่านแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นตัววรรณคดีอาหรับที่กล่าวว่าเป็นต้นฉบับของการลอกเลียน จึงไม่อาจตัดสินได้ว่าซะการียาลอกมาอย่างมีศิลปะ อันเป็นธรรมชาติของกวีทั่วโลกอยู่แล้ว หรือลอกมาทื่อมะลื่ออย่างที่เจ้าของกระทู้กล่าวหา

อย่างในบท "ปีก" ผมก็เห็นเงาของแนวคิดที่มีใน the prophet ของคาลิล หรือ บท "เงียบงันวัจนะภาษามนุษย์" ก็มีกลิ่นของ Stray Birds ของรพินทรนาถ ในเชิงจินตภาพ แต่ก็ไม่กล้ากล่าวได้ว่า ซะการียา เพราะงานซะการียาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง มี "จังหวะ" ในแบบแผนการประพันธ์ของเขาเอง

นี่เป็นประเด็นแรก สรุปให้สั้นคือ จำเป็นไหมที่กวีต้องเป็นปัจเจก (ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจว่าเจ้าของกระทู้ให้คำจำกัดความของคำ ๆ นี้ว่ายังไง) มีเอกลักษณ์ เป็นตัวของตัวเอง เพราะเราก็เห็นว่ากวีไทยโบราณก็ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองมาแต่ไหน (แต่นี่กล่าวในบริบทของวรรณกรรมไทยนะครับ ไม่กินความถึงวรรณคดีอาหรับที่ผมไม่มีความรู้)

อีกประเด็นท้ายที่สุดแล้ว เมื่อกวีนิพนธ์ได้ถูกแปลงไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง จะเรียกได้ไหมว่าเราก๊อปปี้ เพราะถ้าอย่างนั้น ทำไมเราเรียกงานไตรภูมิที่เอาเนื้อความในมหาสุทัสสนะสูตรมาเขียนใหม่ว่าเป็นงานก๊อป ทำไมเราไม่เรียกรามเกียรติฉบับรัชกาลที่ ๑ ว่าเป็นงานก๊อป หรือกล่าวให้ใกล้เคียงว่านั้น ทำไม่เราไม่ตะโกนออกมาว่างาน "สงครามชีวิต" ของศรีบูรพา ก๊อปปี้นิยายเรื่องหนึ่งของรัสเซียมา (ผมจำชื่อไม่ได้ แต่กลวิธีและเนื้อเรื่องเป็นอย่างเดียวกันเลย)

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ เขียนมาด้วยความเคารพทุกท่านที่ให้ความเห็นก่อนหน้าครับ ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นแต่ประการใด เป็นแต่พอเปิดประเด็นให้เห็นช่องว่างของการสนทนาเท่านั้น

ผู้แสดงความคิดเห็น ทศพล วันที่ตอบ 2010-09-11 18:04:45


ความคิดเห็นที่ 11 (2108050)

เป็นปีที่รางวัลซีไรค์อัปยศที่สุด  สำหรับประเภทกวีนิพนธ์   ไม่ใช่ความผิดของชะการิยา   อมตยา     แต่เป็นความผิดของกรรมการทั้งหมด  ผมอ่านแล้วไม่เห็นจะลุ่มลึกตรงไหน  แต่เป็นแนวคิดเชิงเหน็บแนม   เสียดสี   การเมือง  เชิงศาสนา   ชิ้นหนึ่ง  ขอยิบยก    ประทับปืนบนบ่า   มองลอดรู  เห็นหน้าผากของเหยื่ออยู่ในรู  ก็แค่บรรยายภาพทางความคิดแค่นั้น   ในท่ามกลางกวี ฉันคือคนใบ้   นี่เป็น   fakeโดยสมบูรณ์แบบเลย     ในท่ามกลางกวี   ชะการิยาไม่เคยเงียบใบ้     ชะการิยาแสวงหาชื่อเสียง  สร้างภาพ  สร้างกิจกรรม  แสวงหาเวทีกิจกรรมเพื่อแสดงภาพ  ต้องอ่านกวีบนเวทีใส่เครื่องขยายเสียง  พร้อมทั้งออกลีลา  actart   ดัดจริตสีหน้าขรึมขลัง   ตีหน้าเป็น  แบบนี้จะไม่เรียกว่า  fake    เหรอครับ 

ผู้แสดงความคิดเห็น อันดามัน วันที่ตอบ 2010-09-11 19:11:25


ความคิดเห็นที่ 12 (2108055)

สิริมาพร  เข้าใจว่าเป็นเมีย  ของสมุทร   และภาวนาว่า   สมุทร  คงไม่ใช่   ชะการิยา     แต่ถ้าชาการิยากับสมุทรเป็นคนๆๆ   เดียวกันนี่จบเลย  วุฒิภาวะก็ไม่ได้แล้ว  เหมือนเด็กทางความคิด

ผู้แสดงความคิดเห็น ยะลา วันที่ตอบ 2010-09-11 19:29:46


ความคิดเห็นที่ 13 (2108062)

คุณสมุทรครับ  ผมไม่ได้คลั่งหรอกครับ   เพราะผมไม่มีผลประโยชน์ได้เสียกับรางวัลอะไรเลย   ในเมื่อ   ไม่มีหญิงสาวในบทกวี  ได้รับรางวัล  เป็นที่แน่นอนว่า  สาธารณชนส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือเล่มนี้กันเยอะ   ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบอ่านกวีและให้คุณค่ากับบทกวี  ที่คุณสมุทรบอกว่าก็อบแล้วเสียหายตรงไหน   เปิดเผยดีออก       ก็อบแล้วมันต้องเสียหายสิครับ  วัตถุประสงค์ของรางวัลคือสร้างสรรค์  คือคิดสิ่งใหม่ๆๆ   แต่นี่ลอกเลียนทางความคิด  หรือเอาสิ่งที่คนอื่นเขาคิดแล้ว   มาก็อบมันผิดวัตถุประสงค์ของรางวัล  ผมเองไม่โทษใครหรอกครับ  แต่ก็นับถือชะการิยา   ที่บางบทก็อบแล้วก็ยังใส่เครื่องหมายไว้  เป็นการแสดงความเคารพที่คนอื่นคิดมาก่อน  นับถือตรงนี้  แต่ที่ไม่ใส่เครื่องหมายโดยส่วนมากละ  จะอธิบายยังไง

ผู้แสดงความคิดเห็น แหลมพรมเทพ วันที่ตอบ 2010-09-11 19:40:39


ความคิดเห็นที่ 14 (2108148)

1.  เพียงความเคลื่อนไหว   (  เยี่ยม)

2.ใบไม้ที่หายไป  ( งามละไม)

3.นาฏกรรมบนลานกว้า  (  ถึง )

4. ปณิธานการกวี   (  อลังการ )

5. มาก้านกล้วย  (  ขยี้ความรู้สึก)

6. มือนั้นสีขาว   ( ลึกคมในมิติคิด)

7. ในเวลา   (งามด้วยความคิดและภาษา)

8.บ้านเก่า  ( มีอัตลักษณ์เข้าถึงยุคสมัย)

9. แม่น้ำรำลึก   ( นุ่มนวลในอารมณ์)

10. โลกในดวงตาของข้าพเจ้า  (  ชัดเจนมีตัวตน  )

11.  ไม่มีหญิงสาวในบทกวี  (  บดเบลอ  ไร้ตัวตน  และอัปยศที่สุด  )

ผู้แสดงความคิดเห็น นวลน้อย เวียงเหนือ วันที่ตอบ 2010-09-12 08:42:53


ความคิดเห็นที่ 15 (2108152)

คิดว่าสามปีข้างหน้าก็คงไม่ดีไปกว่านี้หรอก   ถ้ายังเป็นบุคคลกลุ่มเดิม      ท่านเนา    ท่านจีรนันท์    ท่านไพวรินทร์    ท่านพนม    ท่านประยอม    ท่านแรคำ       ท่านอดุลย์      ท่านศักดิ์ศิริ       เหล่านี้เหมาะสมที่จะเป็นกรรมการมากที่สุด  ไม่อยากให้ท่านเหล่านี้ทอดทิ้งวงการกวี   ไม่อยากให้ทอดทิ้งกวีรุ่นลูกรุ่นหลานเลย   เพราะท่านเหล่านี้มีผลงานเป็นที่ยอมรับ    แต่นี่เอาอาจารย์มหาวิทยาลัย  ป้าดโธ่   เข้าใจว่าท่านดุลย์คงจะถูกมัดมือชก   และรุ่นที่จะเป็นกรรมการต่อไปได้ดี      เรวัตร   มนตรี  โชคชัย  น่าจะดี  ขอบอกก่อนนะว่า   ผมไม่รู้จักบุคคลเหล่านี้เป็นการส่วนตัวเลยสักคน    ส่วนพวกนักกลอนอย่าเชิญมาโดยเด็ดขาด    ขอนะ

ผู้แสดงความคิดเห็น นักสังเกตกาล วันที่ตอบ 2010-09-12 08:58:19


ความคิดเห็นที่ 16 (2108153)

ชื่นชม  เหตุผลหลักการและแนวคิดที่เสนอของคุณ   ทศพล     ดีครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น มอไชรับจ้างหน้ารัฐสภา วันที่ตอบ 2010-09-12 09:04:26


ความคิดเห็นที่ 17 (2108173)

สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอชี้แจงก่อนว่าผมคือ "สมุทร" และยืนยันนอนยันได้ว่าไม่ใช่ "ซะการีย์ยา" และไม่เคยรู้จัก "ซะการีย์ยา" เป็นการส่วนตัว  แถมมิใช่สาวกกวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์อิสระ เพราะยังจมอยู่กับความงามของโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เหมือนกับคนทั่วไป  แต่ก็รับสัมผัสแห่งอรรถรสบทกวีฉันทลักษณ์อิสระ หากบทนั้นถึงจริง


ขอชื่นชมในความเห็นของคุณทศพล ที่งดงามด้วยปัญญา  มองด้วยสายตาเอ็นดูต่อเหล่ากวีสยามที่กำลังจะแห้งตาย และอธิบายด้วยข้อมูลอย่างเข้าใจความเป็นจริงแห่งโลก


คุณอันดามันครับ คำว่า "อัปยศ" คืออะไรครับ? เพราะเท่าที่คุณเขียนมา เป็นการติเรือทั้งโกลน โดยไม่ยกว่าสิ่งที่ดีควรเป็นอย่างไร และสิ่งที่ซีไรท์ปีนี้ทำมันผิดพลาดอย่างไร คุณจะอ้างแค่ความเห็นคุณคนเดียวว่าอ่านแล้วไม่เห็นความลุ่มลึก และการอ่านกวีผ่านเครื่องขยายเสียง ออกลีลา เป็นการแอ็คอาร์ต และ fake ดูจะไม่ยุติธรรมสักหน่อย  ที่เอาความเห็นของตัวเองตัดสินแทนคนในสังคม ส่วนการอ่านบทกวี ผมก็เคยเห็นกวีทุกท่านอ่านบทกวีผ่านเครื่องขยายเสียงมาแล้วทั้งนั้น   ผมเห็นว่าการจัดกิจกรรมอ่านบทกวี เป็นการพยายามดิ้นรนไม่ให้วงการกวีนิพนธ์ต้องตายไป คิดดูสิปีหนึ่ง ๆ หนังสือกวีนิพนธ์ขายได้กี่เล่ม คนปัจจุบันเริ่มไม่สนใจบทกวี ซึ่งก็เป็นกันทั่วโลก ในยุโรปก็มีการดิ้นรนโดยกวีรุ่นใหม่มักจัดกิจกรรมอ่านบทกวีตามร้านหนังสือต่าง ๆ สร้างสีสันและดึงดูดให้คนรู้จักบทกวี ว่าเขาอ่านกันอย่างไร เผื่อคนหันมาซื้อหนังสือกวีนิพนธ์มากขึ้นบ้าง ... น้ำเสียงของคุณผมว่ามันออกแนวอิจฉานะครับ


คุณยะลาเอ๋ย คนที่ไร้วุฒิภาวะ ก็คือคุณนั่นแหละ คุณไม่ให้เกียรติคู่สนทนา แล้วยังดูหมิ่นสตรีด้วย จะเขียนอะไรก็ขอให้มีจิตสำนึกบ้าง มันประจานตัวคุณเองนั่นแหละ ไม่น่าเชื่อว่าคนกักขฬะเช่นนี้จะเป็นผู้รู้รสแห่งกวีได้


ขอบคุณ คุณแหลมพรหมเทพ ที่แสดงทัศนะอย่างสุภาพ และมีประเด็นชัดเจน ซึ่งคำตอบในประเด็นการได้อิทธิพลทางความคิด ผมคิดแบบเดียวกับคุณทศพลซึ่งตอบไว้ดีแล้ว ส่วนประเด็นที่ว่าลอกผลงานคนอื่นมาแล้วไม่ใส่เครื่องหมายบอกไว้นี่ รบกวนยกหลักฐานมาด้วยครับ จะได้ความรู้ร่วมกัน ซึ่งจะเป็นผลดีมากกว่าการกล่าวลอย ๆ แล้วทำให้ผู้คนสงสัย และเกิดอคติโดยขาดข้อมูล เป็นการตีกินแบบนักการเมือง ไม่น่าจะประเทืองวงการกวีเลยนะครับ

 


ส่วนเรื่องการตั้งกรรมการนั้น ผมยังมองไม่เห็นหนทางว่าจะทำอย่างไรให้ถูกใจทุกคนได้ หรือต้องให้ตั้งสภากวีขึ้นมา ให้เหล่ากวีคัดเลือกกันเองว่าใครควรได้รับการยกย่องว่าเป็นกวี ใครควรเป็นกรรมการ ... สุดท้ายก็คงไม่พ้นการเมืองในวงการกวีอีก หรือใครคิดว่าไม่มี?

 

 


 

ผู้แสดงความคิดเห็น สมุทร วันที่ตอบ 2010-09-12 10:35:19


ความคิดเห็นที่ 18 (2108180)

ในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมส่งประกวด ไม่ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ

แต่มาอ่านเอาทัศนะ ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น "กอนกูย" วันที่ตอบ 2010-09-12 11:37:03


ความคิดเห็นที่ 19 (2108317)

ขอชื่นชมข้อมูลที่นำเสนอของ  ทศพล      คุณสมุทรไม่ใช่ชะการิยา  แล้ว    แต่ตอบคำถามเหมือนเข้าใจลึกซึ้งใน  ไม่มีหญิงสาวในบทกวี  เลย   เหมือนตอบแทนความรู้สึก  เหมือนเป็นเจ้าของบทกวีเลยนะครับ  แสดงว่าคุณสนใจและอ่านงานของ  ชะการียา  อย่างถ่องแท้  และเข้าใจลึกซึ้ง  ถึงกับโวยวายตีโพยตีพาย  เหมือนกับยอมรับไม่ได้ที่ใครมาวิพากวิจานหนังสือเล่มนี้ในเชิงลบหรือเชิงจับผิด  คุณบอกว่าคุณไม่รู้จักชะการียา  แต่คุณตอบเหมือนกับว่าคุณเขียน  ไม่มีหญิงสาวในบทกวี   มากับมืองั้นแหละ   น่าภูมิใจและปลื้มใจแทน  ชะการีย์ยา  จริงๆๆ  ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น แหลมพรมเทพ วันที่ตอบ 2010-09-12 19:35:39


ความคิดเห็นที่ 20 (2108360)

คุณยะลานี่ปากหมานะคะ ดิชั้นมีผัวแล้วค่ะ แล้วผัวก็ไม่ใช่คุณสมุทรด้วย ถ้าเข้าใจอะไรผิดไปก็เข้าใจเสียใหม่ด้วย กรุณาอย่ายัดเยียดความเป็นเมียของคนอื่นให้ดิชั้น อย่าเอานิสัยของภรรยาหรือมารดาของคุณมาใช้

ผู้แสดงความคิดเห็น สิริมาพร วันที่ตอบ 2010-09-12 21:36:50


ความคิดเห็นที่ 21 (2108465)

เรื่องที่คิดประดิษฐ์เอง บรรเลงให้ซีไรท์ฟัง


.

มุขที่หนึ่ง

.



เมื่อคุณต้มน้ำจนเดือดพล่าน

ไม่ต้องกังวลว่า

มันจะละลายกาแฟได้หรือเปล่า

.

เมื่อเขียนบทกวีด้วยใจ อ่านแล้วอิ่มเอมใจ

ไม่ต้องกังวลว่า

มันจะได้รางวัลซีไรท์หรือไม่

.



แต่ถึงกระนั้น

ผมก็ยังชอบดื่มกาแฟอยู่ดี

มันหอมแม้จะขม ปรับอารมณ์ให้หวาน

.

.

มุขที่สอง

.

ดอกไม้อะไรเอ่ย

รับแล้วต้องขึ้น วางแล้วต้องลง

ห้ามถือกลับบ้าน ไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่นิยม

.



.

มุขที่สาม


คนหนุ่มถาม

อยากมีลูกสักร้อยคน

ต้องทำอย่างไรบ้างครับ

.

คนแก่ตอบ

เอ็งจะมีร้อยคนทำไม

คำถามซื่อบื้อ ไม่เหมาะแก่การขยายพันธุ์หรอก

.
 

ผู้แสดงความคิดเห็น แสงแรก ประดับดิน (dawn-dot-2550-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-13 10:12:53


ความคิดเห็นที่ 22 (2108614)

ไม่มี สิริมาพร ในบทกวี

ผู้แสดงความคิดเห็น ซะกะริ อะมะตะบะ วันที่ตอบ 2010-09-13 17:13:57


ความคิดเห็นที่ 23 (2108911)

 เยี่ยมครับคุณสมุทร หนักแน่น ชัดเจน แจ่มแจ้ง ขอแสดงความชื่นชม!

ผู้แสดงความคิดเห็น someone ผ่านมาเจอ วันที่ตอบ 2010-09-14 15:16:03


ความคิดเห็นที่ 24 (2108912)

 ชื่นชม ทัศนะและความเห็นคุณทศพลอีกคนครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น someone ผ่านมาเจอ วันที่ตอบ 2010-09-14 15:17:37


ความคิดเห็นที่ 25 (2108967)

เดี๋ยวก็ถึงปีหน้าแล้วเพื่อน

ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

...

ไม่มีอะไรทั้งสิ้นอยู่ในรางวัล

ไม่มีทั้งหญิงสาว

ไม่มีทั้งบทกวี

ไม่มีอะไรใหม่

ไม่มีอะไรเก่า

มีแต่ความว่างเปล่า

เดี๋ยวนกไนติงเกลก็บินผ่านเราไปแล้วเพื่อนเอย...

ปล่อยมันไปเถอะ

อย่าไปยึดความว่างเปล่ามาครอบครองให้หนักห้องใจเลย

ยิ่งยึดก็ยิ่งแคบ

ยิ่งปล่อยวางก็ยิ่งกว้าง เพื่อนเอย

...:)

ผู้แสดงความคิดเห็น กุตจี่ วันที่ตอบ 2010-09-14 17:16:44


ความคิดเห็นที่ 26 (2109072)

 

เห็นด้วย

เห็นชอบ

เห็นดี

เห็นเหมือนกุดจี่

ผู้แสดงความคิดเห็น อีเห็น วันที่ตอบ 2010-09-14 22:31:14


ความคิดเห็นที่ 27 (2109385)

 

ก่อนสอบนึกว่าจะสบายแล้ว 

ทำให้กูต้องมานั่งเคียดทำรายงานเรื่องนี้ส่งครู

เพราะมึงคนเดียว

ก็ต้องเขียนว่าหนังสือนี้ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้         

กูอ่านแล้วไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรเลย

                                                                                                                                                                          

ผู้แสดงความคิดเห็น เด็กม.6 วันที่ตอบ 2010-09-15 17:18:27


ความคิดเห็นที่ 28 (2109564)

          แด่สังคมที่นิยมการเลือกข้าง มันทำให้ดูว่ามีกลุ่มมีก้อนดีนะ ปลาหลายตัวว่ายทวนน้ำ แต่ที่สุดก็ลอยตามน้ำ การตามกระแสสบายกว่า.... การทวนกระแสมุ่งมั่นกว่า... สำคัญว่าใครจะมีจุดหมายที่งดงามกว่า (ปลาที่ว่ายทวนน้ำ ไปขยายพันธุ์มั้ง)

          ท่านว่า "กาลเวลาไม่ได้มีอยู่จริง" คนแพ้บอกสิบปีไม่สาย จะล้างแค้น  คนชนะบอกชาติหน้าตอนบ่าย ๆ

           พระพุทธองค์ ตรัสว่า  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา แปลความว่า ไม่เที่ยง  เป็นทุกข์ และ ไม่มีอยู่จริง

 

            บทกวีนี้ผมก็อบมาจาก ....?

 

            เศร้านัก ที่โลกมักจะแบ่งเป็นสองซีก  "มืดด้านสว่างด้าน  เดียวเสมอ" พระก็มีสองนิกาย ของใหม่บอกว่าเคร่งครัดในพระวินัยมากกว่า (จากพจนานุกรม นะ)  โลกวรรณกรรมก็แบ่งเป็นสองซีกซะแล้ว กลายเป็นพวกบ้าน ๆ เรียกนักกลอน  พวกลุ่มลึก เรียกกวี เลยมีบางท่านบอกว่า อย่าเอานักกลอนมาเป็นกรรมการตัดสินบทกวี

 

             ลองย้อนกลับไปดู ถ้าไม่มีกลอน ก็น่าจะไม่มีนักกลอน ถ้าไม่มีนักกลอน คนที่เหนือกว่านักกลอน จะเรียกว่าอะไร กวีก็ต้องลดชั้นลงมาเป็นนักกลอนล่ะซี สามเณร  แปลว่าโคตรเหง้าของสมณะ  หมายความว่าพระย่อมเกิดมาจากเณร อย่าหมิ่นบันไดขั้นแรก เดี๋ยวเราจะไม่มีรากครับ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สมศักดิ์ ศรีเอี่ยมกูล นักกลอนครับ (somsak-poet-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-16 08:57:38


ความคิดเห็นที่ 29 (2110476)

ท่าทางจะเป็นพวกผิดหวังในรางวัลซีไรต์ปีนี้มาตั้งกระทู้วะ

ไปไล่รายชื่อเอาเองแล้วกัน ไอ้พวกตกรอบทั้งหลาย มันต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่ ๆ เลยมาตีโพยตีพายใหญ่เลย 5555555555

ผู้แสดงความคิดเห็น ไม่มี "ไอ้ขี้แพ้" ในบทกวี (noloser-at-inpoetry-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-18 22:29:00


ความคิดเห็นที่ 30 (2110687)

ไม่มีหญิงสาวในบทกวี   เป็นผลงานที่ประจาน  ความโง่เขลาของกรรมการที่สุดที่เคยมีมา   หลงไหลในกิริยาอันเสแสร้งและดัดจริต  ตีหน้าเป็น  ของกวีชีรอก   ลองบอกสิว่า   ชิ้นไหนลุ่มลึกและเป็นปรัชญา    เห็นมีแต่ฉากปาเรสไต   กรีกโบราณ   นกไนติงเกล กรรมการชุดนี้  เปลี่ยนเถอะครับ    ให้กวีเขาได้ตัดสินกวีเถอะ   อย่ามาสะเออะเลย  ไอ้พวกไร้ผลงาน  และมีผลงานไม่เป้นที่ยอมรับ   เอางี้ละกัน   ผมกับศิริวร  ไม่เคยรู้จักเลย  ไม่เคยคุย  ไม่เคยเห็นหน้า    แต่ด้วยผลงาน  และความสามารถ   ไม่มีหญิงสาวในบทกวี  ไม่ถึงขี้มูกของศิริวรเลย   ลองวัดกันวรรคต่อวรรค    เล่มต่อเล่มเลย     ถ้าให้ศิริวร   โชคชัย   วันเนาว์    โกสิน  นายทิวา    แรงต้านแรงสมเพช  ไม่มีขนาดนี้หรอก   นี่ไปเก็บเอาเด็กดัดจริต   เสแสร้ง   สร้างภาพ      มาให้รางวัล   อัปยศที่สุด   แค่วรรคที่ว่า   ในท่ามกลางกวี   ผมคือคนใบ้   แค่วรรคนี้วรรคเดียว   มันก้อโกหกคนทั้งประเทศแล้วกรรมการเอ๋ยยยยย  แล้วอาจารย์ที่ตัดสินให้มันชนะ  ก้อเชิญมันไปกระดิกหนวดโกหกนักศึกษาของท่านต่อไป   นักศึกษาของท่านจะได้รู้จักนกไนติงเกล   จะได้รู้จักไอ้ความเงียบ   จะได้รู้จักหนทางที่ว่างเปล่า  แล้วก็บรรจุความว่างเปล่าใส่สมองของนักศึกษาท่านเยอะๆๆๆๆๆๆๆๆ     ก้ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ      ขอหัวเราะหน่อยเถอะ    สมเพชวะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ไอ้รูปหล่อ วันที่ตอบ 2010-09-19 22:54:50


ความคิดเห็นที่ 31 (2110691)

นี่หรือคือจิตใต้สำนึก   ของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นกวี   ผู้มีความคิดสร้างสรรค์   กลั่นจิตวิญญาณ  อารมณ์  ผ่านถ้อยภาษา   เป็นประณีตศิลป์ชั้นสูงที่ผู้คนยอมรับ   แท้แล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากนักกลอนเมื่อพลาดหวังรางวัล   กวีเมื่อพลาดหวังรางวัลก็ตีโพยตีพาย  กวียุคสมัยนี้แท้แล้วเป็นทาสของการยอมรับ  ชื่อเสียง   กร่าง  โอ้อวด   หลงตัวเอง    ไม่แตกต่างอันธพาลข้างถนนเลยสงสารรางวัลชีไรค์จริงๆๆ   ไม่ควรมอบให้เหล่ากวีจอมปลอมเหล่านี้เลย   ท่านผู้ดูแลเวปช่วยลบกระทู้ของความคิดและจิตวิญญาณอันโสโครกเหล่านี้ด้วยเถอะ         

ผู้แสดงความคิดเห็น เอือมระอา วันที่ตอบ 2010-09-19 23:07:01


ความคิดเห็นที่ 32 (2112094)

ปาเลสไตน์ มรึงยังสะกดไม่ถูกเลยไ้อ้รูปหล่อ แล้วจะมาวิจารณ์บทกวีที่คำนึงถึงความถูกต้องของภาษา

 

น่าสมเพชฉิบหายเลยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ไม่มี "ไอ้ขี้แพ้" ในบทกวี วันที่ตอบ 2010-09-23 23:14:51


ความคิดเห็นที่ 33 (2112221)

กรูแกล้งเขียนผิดเพื่อให้เกิดความลุ่มลึกเป็นปรัชญา  โง่อย่างมรึงยากจะเข้าใจ ไอ้ กวีชีร็อก   ประจบสอพลอ  เลียไข่อย่างมรึงเข้าไม่ถึงปรัชญาของกรูหร็อก

ผู้แสดงความคิดเห็น ไอ้รูปหล่อ วันที่ตอบ 2010-09-24 12:39:00


ความคิดเห็นที่ 34 (2112394)

กร๊าาากกกกกกกก ไอ้รูปหล่อโมโหด้วยครับพอคนจับได้ว่ามันสะกดคำง่าย ๆ อย่างปาเลสไตน์ยังไม่ถูก ไอ้ขี้แพ้ ไอ้ขี้แพ้ 

ผู้แสดงความคิดเห็น ไม่มี "ไอ้ขี้แพ้" ในบทกวี วันที่ตอบ 2010-09-24 21:50:47


ความคิดเห็นที่ 35 (2118822)

 

ถ้าไม่มีหลักฐานแสดงก็ยากนะคะที่จะรู้ว่าจริงหรือไม่จริง เอาข้อมูลในอดีตมาฝากให้อ่านค่ะ

 

 

คงทราบกันแล้วว่า ซะการีย์ยา อมตยา คว้ารางวัลซีไรต์ปีนี้ไปได้ ขอแสดงความยินดีด้วย ซึ่งหาก "อยากรู้จัก" เขาในอีกหลายแง่มุม..

น่าสนใจ บทสัมภาษณ์ของ พรชัย จันทโสก4 กันยายน พ.ศ. 2548 ได้คุยกับกวีซีไรต์ พ.ศ.นี้ ดังนี้..

.......
แห่งจุดประกายวรรณกรรม กรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันอาทิตย์ที่
"เช ปุถุชน" หรือ "ซะการีย์ยา อมตยา" หนุ่มนักเขียน-นักแปลบทกวีจากจังหวัดนราธิวาส เขาจบการศึกษาปริญญาตรี อิสลามศาสตร์ ภาษาและวรรณคดีอาหรับ วิทยาลัยนัดวะตุล อุลามาอ์ ประเทศอินเดีย ปัจจุบันกำลังศึกษาปริญญาโทด้านศาสนาเปรียบเทียบ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
บทกวีของเขาเคยได้รับรางวัลชมเชย MBK Indy Book Awards 2004 และ "บอกพระเจ้าด้วยหิวข้าว" เป็นหนึ่งในบทกวีที่ชนะการประกวดบทกวีความหวังในเทศกาลฤดูใบไม้ผลิแห่งบทกวี 2004
และล่าสุดเขาตกเป็นข่าวร้อนในเวบบอร์ดชุมชนวรรณกรรม กรณีบทกวี "ในนามของกวีผู้ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง" ได้รับรางวัลบทกวีเพื่อสันติภาพจากงานฉลอง 60 ปี สันติภาพไทย และบทกวีของเขาได้มีการท้วงติงจาก "วาดวลี" ว่ามีการลอกคำพูดมาเขียน สร้างความคลางแคลงใจให้กับสังคมและคนในแวดวงวรรณกรรม การที่เขาออกมายอมรับและปฏิเสธการรับรางวัล เรื่องน่าจะจบแค่นั้น แต่เมื่อเขาโดนโจมตีผ่านเวบบอร์ดจนทำให้ไม่สามารถจะนิ่งต่อไปได้ "เช ปุถุชน" จึงต้องออกมาเพื่อชี้แจงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น...
0อยากให้เล่าตั้งแต่ต้นว่าเรื่องราวเป็นมายังไง?
เริ่มตั้งแต่ผมได้ข่าวจากเพื่อนทางอินเทอร์เน็ตว่ามีการประกวดบทกวีเพื่อสันติภาพ ผมเห็นว่าน่าสนใจ เพราะบทกวีของผมจะเป็นแนวสันติภาพ จริงๆ ผมเองไม่ได้กำหนดว่าจะเขียนเรื่องแนวนี้ แต่พอผมเขียนไปนานๆ เข้ากลายเป็นเรื่องแนวสันติภาพและสงครามเสียเยอะ พอเห็นข่าวก็กลับไปดูงานเก่าๆ ของผมที่เขียนไว้เยอะเหมือนกัน อาจจะเกือบร้อยชิ้น และเขาไม่ได้บอกข้อจำกัดว่า เขียนเมื่อไหร่ จะเป็นฉันทลักษณ์ หรือไม่ฉันทลักษณ์ก็ได้ แต่ผมเลือกมา 3 บท ได้แก่ ในนามของกวีผู้ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง, ก้าวไปข้างหน้า และจนกว่าพลทหารคนสุดท้ายจากแนวรบจะกลับมา
0กวีทั้งสามบทเขียนขึ้นในวาระที่ต่างกัน?
เขียนต่างกรรมต่างวาระกัน ผมส่งไปทั้ง 3 ชิ้น กะว่าจะได้รางวัลชมเชยด้วยซ้ำไป เพราะว่าวงวรรณกรรม โดยเฉพาะกวี ที่ผ่านมาเวลาจัดงานต่างๆ แนวโน้มยังคงจะให้เครดิตกับกวีฉันทลักษณ์มากกว่า ขนบแบบเดิม จึงไม่คิดว่าจะได้รางวัล คงได้รางวัลชมเชยสักรางวัลหนึ่ง ตอนที่เขาเมลมาบอกว่าได้รางวัลชนะเลิศ (เพราะผมไม่ได้ใช้โทรศัพท์) พออ่านแล้ว เอ้ย...จริงหรือเปล่า ผมโทรกลับไปผมยังย้ำถามเจ้าหน้าที่ว่า ตกลงผมได้รางวัลอะไรนะ คาดไม่ถึงว่าจะได้รางวัลชนะเลิศ พอทราบข่าวเลยมาคุยกับพี่ใน www.bookcyber.com ตอนแรกกะว่าจะไม่โค้ด กลัวเพื่อนๆ จะมองว่าโอ้อวดหรือเปล่า เพื่อนบอกว่าให้ลงสิ เพื่อน้องๆ ที่เขียนงานอยู่จะได้เอาเป็นเยี่ยงอย่างว่า "เช ปุถุชน" ที่เขียนงานก๊อกแก๊กๆ ในเวบ ตอนนี้ได้รางวัลแล้วนะ เพื่อที่ว่าคนสร้างเวบจะได้ภูมิใจ จะได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาหว่านไปมันงอกงาม ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงลงไป พอประกาศแล้วมีคนแสดงความยินดีเยอะแยะไปหมดเลย
0จนกระทั่งมีการท้วงติงเกิดขึ้น?
เริ่มจากมีคนตั้งกระทู้อีกกระทู้หนึ่ง ผมยอมรับว่าเป็นการเอาคำพูดของเขามาทำเป็นกวี พอผมมานั่งปรึกษากับพี่คนหนึ่ง รุ่นพี่บอกว่าดีที่สุดคือขอโทษเขา โอเคขอโทษก็ขอโทษ เพราะเราเอาคำพูดของเขามาจริง แต่ไม่ได้เอาบทกวีมานะ แต่ตอนที่ผมขอโทษผมเขียนสั้นๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมาก พยายามติดต่อไปหาเขา แต่เขายืนยันเจตนารมณ์ว่า อยากให้เป็น "การประพันธ์ร่วม" คุยกันไปคุยกันมา ดังนั้นเพื่อตัดปัญหาผมเลยบอกว่า โอเคเป็นงานเขียนร่วมก็ได้ มารับรางวัลร่วมด้วยก็ได้ ผมกล้าตัดสินใจอย่างนั้นเลย พอสักพักผมเริ่มคิดใหม่ เริ่มทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ถึงรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เพราะตอนเขียนเราเขียนคนเดียว แต่ว่าเราเอาคำพูดของเขามาทำเป็นบทกวี มาจัดวาง เรียงบรรทัด มาเกลาเป็นบทกวีในสไตล์ของเรา
0ความจริงแล้วมีความผิดไหมที่เอาคำพูดคนอื่นมาเขียน?
ความคิดของผมรู้สึกว่าไม่ผิด เพราะตัวที่ปรากฏตามท่อนของบทกวีก็คือเป็นงานของผม เพียงแต่ส่วนท้ายสุดเป็นคำพูดของเขา เป็นความคิดของเขา ตรงนี้ผมยอมรับ แต่ผมปฏิเสธว่าไม่ใช่บทกวีของเขา สุดท้ายผมตัดสินใจขั้นเด็ดขาดขอ "ถอน" รางวัลเพื่อตัดปัญหา สถาบันปรีดีฯ แรกๆ บอกว่าถ้าออกประกาศนียบัตรสองใบได้ไหม คือเขาก็ตกใจ เพราะเป็นรางวัลชนะเลิศ ผมตัดสินใจวันเสาร์ จะรับรางวัลวันอังคารที่ 16 สิงหาคมแล้ว ผมบอกว่าขอถอน แต่เขาพยายามที่จะให้ผมรับร่วมกัน หมายถึงออกประกาศนียบัตรร่วมกัน แต่ผมปฏิเสธขอไม่รับเลย เพื่อให้หมดปัญหาและจะได้ไม่มีคำครหาด้วย หลังจากนั้นสถาบันปรีดีฯ บอกว่าให้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรส่งมาวันจันทร์ ผมบอกว่าจะเขียนส่งไปให้วันจันทร์ หลังจากนั้นได้นั่งคุยกับพี่ในแวดวงวรรณกรรมเหมือนกัน พี่ๆ บอกว่าไม่ใช่ ก็เหมือนกับว่าการคุยกันในวงใครเกิดปิ๊งไอเดีย แล้วเอาคำพูดนั้นไปเขียนเรื่องสั้นหรือไปเขียนกวีได้ เพราะเป็นเพียงคำพูด เป็นเพียงไอเดียเฉยๆ
0เริ่มคิดทบทวนใหม่?
ตอนนั้นผมยังแย้งอยู่ว่าจะไม่รับรางวัลอย่างเดียว แต่มีสองสามคนพยายามพูดอย่างนี้ ผมยังยืนยันขอถอนเหมือนเดิม แต่สุดท้ายพอเริ่มจะเข้าใจว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ไง เรื่องนี้ผิดที่ผมแหละที่ไปขอแจ้งถอน พอถึงวันจันทร์ตอนเช้า ผมตัดสินใจจะไม่ถอนแล้ว ผมแจ้งถอนเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว แต่สถาบันแจ้งผมว่ามีคนอีเมลไปเอาคำขอโทษของผมแนบไปด้วย กรรมการบอกว่างดรางวัลชนะเลิศ ผมรู้แล้วล่ะ แต่ผมรู้สึกว่าผมต้องทำหนังสือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรถึงจะถูกต้อง ถ้าจะถอนก็ต้องถอนเป็นทางการ ทางโน้นเขาบอกว่าให้เขียนและแนบสำเนาบัตรประชาชนด้วย ผมรับไว้ แต่ไม่ได้เขียน วันจันทร์ผมได้เขียนจดหมายและได้แฟกซ์ไปตอนเย็น แต่คงไม่มีใครแล้วในสถาบันตอนนั้น ส่งตอนนั้นเพื่อให้กระจ่างไง แต่เรื่องในเวบบอร์ดโจมตีกันหมดว่าเป็นยังไงกันแน่ ผมเก็บตัวเงียบไม่ตอบอะไรทั้งสิ้นหลายวันทีเดียว
0รางวัลนี้ถูกระงับไปในที่สุด?
รางวัลงด แต่ผมไม่ได้ไปในงาน เลยไม่รู้ว่าสถาบันใช้เหตุผลอะไรในการงดในตอนประกาศให้รางวัล แต่ผมรอจดหมายว่าทางสถาบันจะส่งกลับมาหรือเปล่า แต่หลังจากวันนั้นก็มีอีเมลจากผู้รับผิดชอบ แต่ว่าเป็นอีเมลส่วนตัว ผมยังไม่ถือว่านี่เป็นเสียงของสถาบัน ไม่ใช่จดหมายอย่างเป็นทางการ เขาบอกว่าเขาเป็นเพียงแค่ผู้ประสานงาน จริงๆ ไม่ใช่ว่าผมอยากจะได้รางวัลหรอก แต่ว่าสถาบันน่าจะแจ้งผมมาอย่างเป็นทางการเหมือนกัน ถึงจะได้ถูกต้องด้วยกันทั้งสองฝ่าย เหมือนไม่มีคำตอบที่ชัดเจน หลังจากนั้นสัปดาห์กว่าผมไม่ได้เผยแพร่จดหมาย หลังจากนั้นมีข่าวออกมาจากทางจุดประกายวรรณกรรมและคมชัดลึก ผมรู้สึกว่าผมเสียหาย ผมเลยส่งรายละเอียดจดหมายให้กับ บก.ว่ารายละเอียดเป็นอย่างนี้
0รู้สึกว่าต้องออกมาชี้แจงบ้างแล้ว?
หลังจากมีออกข่าวออกไป ผมรู้สึกว่าผมเสียหายแล้ว ผมเลยเอาจดหมายนี้โพสต์ในเวบบอร์ดด้วย ตอนนั้นมีคนสงสัยมากมาย แต่ว่าผมไม่เคยตอบไง คนตั้งกระทู้ต่างว่ากันไปตามที่ตนเองรู้ แต่ไม่มีเสียงจากผม ผมลงจดหมายในบุ๊คไซเบอร์สองหน้า มีคนมาด่าแบบใช้คำหยาบ ด่าแบบเสียๆ หายๆ ลงไทยไรเตอร์ และประพันธ์สาส์น พอลงไปมีกระทู้ด่ากันมาไม่รู้ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน แต่โดยส่วนตัวผมจะไม่ตอบ ผมจะลงอะไรผมจะลงยาวๆ ทีเดียว จบก็คือจบ จนกระทั่งว่าพอลบกระทู้ออกไป ผมขอลงใหม่ ยังมีด่าอีกจนวุ่นวาย ผมเอาบทกวีของผมลงบ้าง พอลงไปมีคนด่าอีก ต้องลบอีก แต่ยอมรับว่าเนื้อหาของบทกวีมีเสียดสีนิดหน่อย ตอนนี้ผมเขียนอะไรเหมือนจะเสียหมดเลย รู้สึกว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมดเลย สุดท้ายพี่ๆ ในเวบไซต์พยายามจะเคลียร์ ผมพยายามจะเคลียร์เหมือนกัน และ www.bookcyber.com มีบรรยากาศที่ไม่ดีแล้ว เขาเลยตัดสินใจปิดชั่วคราว
0สมมติว่าทางสถาบันจะมอบรางวัลยังจะรับอยู่อีกไหม?
จะรับไม่รับตอนนี้ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นแล้ว ที่จำเป็นคือผมต้องเคลียร์ตัวเองว่า อยากให้สังคมรับรู้ว่าเรื่องเป็นอย่างนี้นะ ผมได้พยายามอธิบายแล้ว ถ้าคุณเข้าใจได้ก็เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ตอนนี้สังคมในวงวรรณกรรมกลุ่มหนึ่งซึ่งมีไม่มากเท่าไหร่ พิพากษาผมไว้แล้ว ตั้งแต่งานในอดีตของผม จนกระทั่งว่างานที่ผมกำลังจะเขียนในอนาคตด้วยซ้ำไปว่า "ไอ้นี่ต้องลอกแน่" ผมจำเป็นต้องพูดตรงนี้ ถ้าผมไม่ออกมาพูดเลย ก็มีการพูดคุยกันไป ผมไม่สนหรอกว่าสิ่งที่ผมชี้แจงไป จะมีคนเข้าใจมากน้อยเพียงไหน ขอให้มีคนเข้าใจบ้างก็โอเค และโดยส่วนตัวของผมไม่อยากเป็นศัตรูกับใครด้วย
0กับ"วาดวลี"ได้มีการพูดคุยกันอีกไหม?
หลังจากที่ผมตัดสินใจตามที่เขียนในจดหมายของผม แล้วก็ไม่ติดต่อกับใครเลย ถือว่าสิ้นสุดแล้ว บทสรุปของผมคือผมยืนอยู่ตรงนี้ ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นสิทธิส่วนบุคคล เขาพยายามติดต่อมา มีทั้งรุ่นพี่อีเมลมาให้อ่าน เมลแปลกๆ มา ผมไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว นี่คือคำอธิบายของผมแล้ว ความจริงของผม จริงๆ ผมกับ "วาดวลี" ก็ถือว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน
0แล้วการที่เพื่อนมาท้วงติงแบบนี้รู้สึกอย่างไร?
รู้สึกประหลาดใจครับ พอหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ผมขอถอน ผมกลับมานั่งเปิดพจนานุกรม คำว่า "เพื่อน" แปลว่าอะไร ผมต้องมานั่งนับเพื่อนใหม่ ทั้งหมด คนตั้งกระทู้ด่าผม โจมตีผม ก็เป็นเพื่อนกันหมด เจอกันในกรุงเทพฯ นี่แหละ เป็นรุ่นพี่ที่เราให้เกียรติเหมือนกัน แต่เราไม่รู้ว่าเรื่องจะบานปลายขนาดนี้ ทั้งหมดพอผมลงคำขอโทษก็คิดต่างๆ นานา งงไปหมด คิดว่าผมลอกเป็นบทกวีมาทั้งดุ้น จริงๆ คือคำพูดนี้ ไม่มีการบันทึกที่ไหนนอกจากผมคนเดียว พอหลังจากคุยทางเอ็มเอสเอ็นก็ไม่ได้เก็บไว้ ผมเองก็ไม่ได้เก็บไว้ ถ้าผมจะไม่ยอมรับว่าเป็นคำพูดของเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่ผม เพราะผมรู้ว่าผมเอาคำพูดของเขามา มันเป็นไอเดียของเขา ถ้าจะเป็นเรื่องทางกฎหมายหลักฐานอยู่ที่ผมหมดแล้ว แต่เขาไม่มีหลักฐานอะไรเลย เขายังมองว่าผมไม่ซื่อสัตย์ การที่ผมกล้าขอโทษถือว่าซื่อสัตย์ที่สุดแล้ว ถ้าผมไม่ขอโทษ ไม่ยอมรับ ก็ไม่มีใครมาคาดคั้นเอากับผมได้ ผมกล้ายอมรับเพราะมันคือความจริง เราจะหลีกเลี่ยงความจริงไม่ได้ ความจริงคือผมไม่ได้ลอกบทกวีของเขา จริงๆ บทกวีชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่ต่อสาธารณะมาก่อนหน้านี้ และได้รับราวัลชมเชย MBK Indy Book Awards 2004 ทำไมเขาไม่ท้วงติงตั้งแต่แรก
0แล้วจะดำเนินการต่อไปอย่างไรเพื่อให้เกิดความชัดเจน?
ผมตั้งใจตอนแรกๆ หลังจากเขียนจดหมายฉบับนี้ ผมจะรอคำตอบจากสถาบันปรีดีฯ แต่ว่าไม่มีคำตอบ พอมีข่าวทางจุดประกายวรรณกรรมลง ผมรู้สึกเสียหาย และโดนโจมตีจากอินเทอร์เน็ตเยอะมาก เรื่องนี้ชัดเจนในจดหมายแล้ว สุดท้ายรางวัลไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเรา เพราะสิ่งที่ผมเขียนผมเขียนอยู่ตลอดเวลา ตามแรงบันดาลใจที่มี และสร้างแรงบันดาลใจของตนเอง ผมยังเขียนงานกวีต่อไป ต้องการให้ทุกคนได้เข้าใจผมเท่านั้นเอง คล้ายๆ ว่าเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องพูดบ้างว่าโดนกล่าวหายังไง ผมมีหน้าที่เขียน มีหน้าที่เผยแพร่ ช่วงหลังพี่ๆ หลายคนบอกว่าชื่อของผมถูกรู้จักในนามของนักแปลไปแล้ว เขาแนะนำว่าสมควรที่จะลงงานของตัวเองบ้าง ส่งๆ งานของตัวเองไปตีพิมพ์บ้าง จะได้ไม่ถูกมองว่าเป็นเพียงนักแปลอย่างเดียว จริงๆ ผมเขียนงานกวีก่อนที่ผมจะแปลเสียอีก
0เริ่มเขียนบทกวีมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
ผมเขียนตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่อินเดีย ผมจบปริญญาตรี ด้านอิสลามศาสตร์ ภาษาและวรรณคดีอาหรับ วิทยาลัยนัดวะตุล อุลามาอ์ มีเรียนวรรณคดีอาหรับคลาสสิก เรียนบทกวีอาหรับด้วย พอจบปริญญาตรี ผมลงเรียนวรรณคดีอาหรับได้สองเทอม รู้สึกเบื่อเลยกลับเมืองไทยมาเรียนศาสนาเปรียบเทียบ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
0ชีวิตที่อินเดียเป็นอย่างไรบ้าง?
ผมได้รู้จักชีวิตมากขึ้น รู้สึกว่าความยากจนอย่างที่เราเห็นในเมืองไทยยังไม่เท่าที่อินเดีย ได้เห็นชีวิตเยอะแยะ ได้เห็นคนตามสถานีรถไฟ จริงๆ ประสบการณ์ผมกับบทกวีมีเยอะพอสมควร แต่ว่าตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าผมอยากจะทำทางด้านบทกวีจริงหรือเปล่า อย่างเวลาเรียนบทกวีอาหรับคลาสสิก อาจารย์จะให้อ่านบทกวีของผมก่อน ทุกคาบวิชาที่เรียนวิชาบทกวี เป็นประสบการณ์ทางด้านกวี วิทยาลัยนัดวะตุล อุลามาอ์ อายุกว่า 100 ปี เป็นวิทยาลัยที่ก่อตั้งเพราะว่าเกิดความขัดแย้งในอินเดีย สมัยที่อังกฤษเข้ามาปกครอง อินเดียเป็นแหล่งอารยธรรมของอิสลามเก่าแก่ แต่ว่าช่วงหลังเกิดกระแสใหม่คือความก้าวหน้าจากอังกฤษที่เข้ามาการสร้างมหาวิทยาลัย และมุสลิมเองเคยมีมหาวิทยาลัยแบบเดิมๆ แบบขนบ คือไม่ยอมรับอันใหม่ อันใหม่ก็จะไม่ยอมรับอันเก่า นักปราชญ์ทั้งสองกลุ่มเลยประชุมกันจัดตั้งวิทยาลัยแห่งนี้ขึ้นมาเป็นการรวมระหว่างสองสิ่ง ระหว่างปรัชญาเก่ากับปรัชญาใหม่ ตอนนี้มีนักศึกษาไทยไปศึกษาเยอะพอสมควร แต่ส่วนใหญ่จะเป็นมุสลิมในกรุงเทพฯ
0สนใจแปลบทกวีได้อย่างไร?
แต่ก่อนผมยังไม่รู้หรอกว่าผมจะเลือกเส้นทางการเขียนกวีแบบจริงจัง จนกระทั่งมาแปลบทกวี ผมจะเขียนเก็บไว้ตามสมุดไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดจะรวมเล่ม ก่อนหน้านี้ผมได้แปลวรรณกรรมของนักเขียนอียิปต์ ชื่อว่า "ด้วยจิตวิญญาณอันเปี่ยมสุข" หลังจากนั้นมาเมืองไทยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมหิดล ผมมีงานเก่าๆ พอเริ่มรู้จักการใช้อินเทอร์เน็ต ได้เข้าชุมชนวรรณกรรม เลยลองเอาบทกวีของเราไปลงบ้าง มันเป็นความแปลก บทกวีของผมจะมีน้ำเสียงของผมเอง ซึ่งจะแตกต่างจากคนอื่นอยู่พอสมควร ด้วยว่าเรามีพื้นฐานทางการศึกษาบางอย่างที่อาจจะแตกต่างจากคนอื่น ได้ลงหลายๆ ที่ ผมสนใจบทกวีมาก จะติดตามอ่าน โดยเฉพาะบทกวีต่างประเทศ
0ชอบสะสมหนังสือกวีต่างประเทศ?
ถ้าผมเจอหนังสือบทกวีภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นที่ผมอ่านได้ ผมจะซื้อมาเก็บไว้ ตอนนั้นยังไม่ได้แปลเป็นกิจจะลักษณะ แปลบ้างเพื่อให้เพื่อนๆ ในบอร์ดอ่านเฉยๆ พอหลังจากผมเห็นคอลัมน์ "บทกวีต่างแดน" ใน "จุดประกายวรรณกรรม" ช่วงตอนปลายปีที่แล้ว ผมเห็นว่าน่าสนใจ ผมมีหนังสือจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับบทกวีหลายๆ ชาติ ตัดสินใจแปลและส่งมา ปรากฏว่าบรรณาธิการลงให้ ยิ่งทำให้ผมรู้จักบทกวีมากขึ้น พอเราแปลคนหนึ่ง กวีบางคนเขาจะแปลงานของคนอื่นด้วย และกวีบางคนยังถือว่างานที่เขาแปลเป็นการสร้างสรรค์งาน ไม่ใช่แค่เป็นสะพานธรรมดา ยังรู้สึกเป็นเกียรติว่าเขาได้สร้างสรรค์ชิ้นงานอีกชิ้นหนึ่งในการแปล อย่างเช่น เวลาผมได้แปลบทกวีบทหนึ่ง เราจะได้ศึกษาประวัติการทำงานของเขา เขาอาจจะแปลงานของคนนี้ๆ เราสามารถจะเจาะไปได้อีก ขยายความรู้จัก คือกวีหนึ่งคนจะทำให้เรารู้จักกวีอีกหลายๆ คน ประกอบกับยุคนี้เป็นยุคอินเทอร์เน็ต บางทีเราอาจจะไม่ต้องตามหาหนังสือก็ได้ เพราะว่ามีข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว โดยเฉพาะกวีที่มีชื่อเสียงแล้ว เราสามารถจะไปค้นหาได้เยอะแยะไปหมดเลย แต่ผมยังสะสมหนังสือบทกวีอยู่ และรู้สึกมีความสุขที่ได้แปล
0ตอนเรียนวรรณคดีอาหรับมองเป้าหมายของตัวเองไว้หรือยัง?
ตอนเรียนมีอาจารย์ถามว่าพวกคุณเรียนจบแล้วอยากเป็นอะไรบ้าง ตอนนั้นผมตอบกวนๆ ดีเหมือนกัน ผมบอกว่าผมอยากเป็น "สะพาน" แกงงว่า ผมอธิบายว่าเป็นสะพานให้ประชาชนของฉันได้เดินข้ามไป ผมตอบอย่างนั้นแหละ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำสะพานคืออะไร ความคิดของผมตอนนั้นสะพานคือการถ่ายเทสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่ง การถ่ายเทในสิ่งที่ผมรู้ไปสู่ประชาชนคนที่ไม่รู้ในประเทศของผมได้รู้ในสิ่งที่ผมรู้ หมายถึงว่าเป็นสะพานทอดให้เขาได้เดินไป รู้สึกว่าอยากจะให้คนอื่นได้รู้ในสิ่งที่ผมรู้บ้าง ผมไม่รู้ว่าคำพูดของผมตรงนี้ ส่งผลต่องานของผมในช่วงหลัง ผมมีความสุขที่ได้แปลงานบทกวี ศึกษาประวัติ และเป็นการเพิ่มความรู้ให้กับผมด้วย เมืองไทยนั้นการแปลบทกวีต่างชาติยังมีน้อยอยู่ โดยงานตีพิมพ์ก็เคยมีอยู่บ้างในอดีต แต่ยุคหลังๆ ไม่ค่อยมี พองานแปลของผมได้ลง "จุดประกายวรรณกรรม" ประมาณ 3-4 เดือน ได้มีบรรณาธิการท่านหนึ่งได้ติดต่อผมขอรวมเล่ม เขาเห็นว่ามันน่าสนใจ ผมรู้สึกดีใจว่ามีคนเห็นสิ่งที่เราทำ
0ชื่นชอบบทกวีของนักเขียนคนไหนเป็นพิเศษบ้าง?
งานที่ผมชอบมากเป็นบทกวีแปลคืองานวิจัยของ สกว.ชื่อว่า "รายงานการวิจัยเรื่องกวีนิพนธ์ในฐานะพลังทางปัญญาของสังคมร่วมสมัยประสบการณ์จากวรรณคดีไทย" ของ ศ.ดร.เจตนา นาควัชระ มีงานวิจัย 5 เล่ม แต่ว่าตีพิมพ์จริงๆ มีแค่ 3 เล่ม คือ บทกวีที่คัดสรรของกวีไทยทั้งในอดีตและร่วมสมัย โดยมีบทวิจารณ์และประวัติกวี นอกจากนี้จะมีบทกวีของอเมริกัน บทกวีของฝรั่งเศส อีกสองเล่มของเยอรมันกับอังกฤษ ยังไม่มีการตีพิมพ์ ผมเห็นว่าเป็นงานที่น่าสนใจ ด้วยความที่ผมชอบ ผมได้ไปที่ห้องสมุด สกว.ไปขอยืมเขาเพื่อถ่ายเอกสารเป็นเล่ม อ่านแล้วผมได้ความรู้มากเลย ผมอยากแนะนำเพื่อนๆ คนที่อยากเป็นกวี หรือว่าคนที่เป็นกวีอยู่แล้ว หรือคนที่ชื่นชอบบทกวี แนะนำให้อ่านงานนี้ น่าอ่านมากๆ
0แสดงว่าได้ศึกษาบทกวีนานาชาติมาเยอะ?
ก่อนหน้านั้นผมศึกษาของผมไปเรื่อยๆ แต่พอได้มาเขียนลง "จุดประกายวรรณกรรม" ทำให้ผมรู้สึกว่าต้องศึกษาเพิ่มมากยิ่งขึ้น และยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่ามีอีกเยอะที่ผมยังไม่รู้จักเกี่ยวกับกวี ผมอยากให้เมืองไทยมีหลักสูตรการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ไม่เฉพาะแต่นวนิยาย เรื่องสั้น แต่บทกวีด้วย หรืออาจจะเชิญกวีต่างชาติ อย่างข่าววันที่ 12 ตุลาคมนี้ จะมีกวีอเมริกันชื่อ ริตา เดิฟ (Rita Dove) กวีอัฟริกันมาเมืองไทย ผมว่าน่าสนใจมาก น่าจะติดต่อนักเขียนคนนี้มาพูดถึงบทกวี เปิดโลกทัศน์ในเรื่องบทกวีให้กับกวีไทย ซึ่งหลังจากที่ผมได้แปลบทกวี ผมรู้สึกว่ากวีต่างชาติเขาก้าวหน้าไปมาก ถ้าเทียบกับกวีไทย แต่ผมไม่ได้ต่อต้านเรื่องของขนบ เพราะตรงนั้นเป็นมรดกของชาติอยู่แล้ว เป็นงานเชิงวรรณศิลป์ ทุกประเทศมีงานวรรณศิลป์ มีขนบ แม้กระทั่งวรรณกรรมอาหรับที่ผมศึกษามา เขาก็มีกวีของเขามาเป็นพันๆ ปีมาแล้ว มีฉันทลักษณ์ของเขา แต่ช่วงหลังเขาจะมีการแหกขนบของกวีกลุ่มหนึ่ง และสร้างงานที่แปลกแยกออกมา หนึ่งในนั้นมี "คาริล ยิบราน"
0การแปลบทกวีหลายคนยอมรับว่าเป็นเรื่องหินยากต่อการถ่ายทอดออกมาให้ดีได้?
เท่าที่ผมได้อ่านได้แปลมาในหลายประเทศ คนแปลบทกวีส่วนใหญ่จะเป็นนักกวีด้วยกัน อย่างกวีอเมริกัน เขาก็จะแปลบทกวีของยุโรป ฝรั่งเศส ส่วนใหญ่คนที่แปลจะเป็นกวีด้วยกัน อย่างเวลาผมแปลทุกครั้งต้องทำความเข้าใจก่อน ผมชอบอยู่อย่างหนึ่งคือบทกวีจะไม่ปิดปลาย อ่านแล้วสามารถจะคิดต่อ ซึ่งการคิดต่อไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกวีก็ได้ บทกวีหนึ่งบทอาจจะคิดร้อยคนร้อยอย่างก็แล้วแต่ ถือเป็นจินตนาการ
---------------------------------------
ในนามของกวีผู้ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
ประวัติศาสตร์จารึกไว้
ความน่ากลัวเกิดขึ้นได้เสมอ
การฆ่าห้ำหั่นกันด้วยนามของเหตุผล
สงครามเล็กและใหญ่จึงเกิดขึ้นได้เสมอ
เพียงแค่สะดุดต้นหญ้าแห่งเขตแดน
ธงรบก็ถูกชักขึ้น
ในนามของกวีผู้ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
ฉันอยากเขียนบทกวีไว้สักบท
แต่มันล้วนเป็นความรู้สึก
อาจเป็นเพียงบันทึกทางประวัติศาสตร์
ยุคที่มนุษยชาติมีอารยธรรมรุ่งเรือง
และพากันออกจากถ้ำมาสู่เมือง
แล้วอวดอ้างว่ามีวัฒนธรรม
มนุษย์เราอาจฆ่ากัน
ด้วยเหตุผลหลายหลายอย่าง
ซึ่งก็น่ากลัวมากพอแล้ว
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่า
คือการถูกทำให้เชื่อ
ว่าการฆ่านั้น
เป็นเรื่องที่ถูกต้องและชอบธรรม
และก็ปล่อยให้ใครสักคนตัดสินใจ
ว่าใครที่ควรจะฆ่าและถูกฆ่า
ซะการีย์ยา อมตยา

...........................
 
 
คัดจากเว็บบล็อก http://www.oknation.net/blog/nity/2010/09/06/entry-
(เอามาจากกระทู้ นายย้อนยุค)
ผู้แสดงความคิดเห็น ขาประจำ วันที่ตอบ 2010-10-13 19:03:54


ความคิดเห็นที่ 36 (2119996)

จบบริบูรณ์   แค่นี้ก็มากพอแล้ว   ไม่ต้องไปหาหลักฐานที่ไหนมาประจานให้เกิดความอัปยศให้มากกว่านี้แล้ว   ยิ่งกว่าชีร็อกอีก   เศร้าครับ    ไม่รู้จะพูดยังไง  ถึงเขาจะได้อีกกี่รางวัล   ผมก็ไม่มีวันยอมรับได้ว่าเขาเป็นกวี

ผู้แสดงความคิดเห็น อันดามัน วันที่ตอบ 2010-10-17 22:13:54


ความคิดเห็นที่ 37 (2123831)

 ฉันชอบอ่านซีไรต์

แต่ไม่ชอบความเป็นซีไรต์บนหน้าปก.

 

ถ้าซะการีย์ยาไม่ได้ส่ง "ไม่มีหญิงสาวในบทกวี" เข้าชิงซีไรต์ เขาก็คงไม่ถูกก่นด่า หากจะมีใครสักคนที่อ่านงานของเขา แล้วพึงพอใจกับคุณภาพในงานนั้นๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี 

แต่ หากจะมีใครคนหนึ่งแย้งขึ้นมาว่า นี่คืองานก๊อบ เขาคนนั้นก็ทำได้เพียงแค่วางคำวิจารณ์ไว้ตรงนั้น แล้วเดินหาเล่มต่อไป

 

กวีนิพนธ์ ที่ดี (ในความรู้สึกของฉัน) คืองานที่สามารถอ่านแล้วได้อะไรเรื่อยๆ หมายความว่าไม่หยุดอยู่กับที่ สิ่งที่ได้จากครั้งแรก กับครั้งที่สองต่างกัน (เหมือนอ่าน "เจ้าชายน้อย") สุดท้ายแล้วคำว่าดีคืออะไร ใช้อะไรมาตัดสิน

อ่านกระทู้นี้เลื่อนลงมาเรื่อยๆ ฉันก็ยิ่งรู้สึกสับสน โลกของอุดมการณ์ในงานเขียน ที่รู้สึกว่ามันสูงส่ง ถูกฉุดให้ตกต่ำด้วยคำพูดสถบสบาน-กูมึง

ทั้งการแสดงทัศนะคติอย่างก้าวร้าว

 

..กวีเอ๋ย ฉันเสียใจต่อโลกที่คุณมาถึง. 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หญ้า วันที่ตอบ 2010-10-30 19:48:15


ความคิดเห็นที่ 38 (2133454)

ความชอบหรือไม่ชอบนั้นเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล  เรามีพื้นฐานต่างกัน  จึงมีแง่มุมที่ต่างกัน  การวิพากษ์วิจารณ์ที่ตั้งอยู่บนหลักของเหตุและผลคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ....เราก็ปัญญาชนทั้งนั้น....ไม่ควรโต้แย้งด้วยอารมณ์...หันกลับมองการวิพาษ์วิจารณ์ของตัวเองกันสักนิดนะครับ...ใครมองว่าดีหรือเห็นว่าบทกวีเล่มนี้มีความบกพร่องก็ลองเขียนเป็นบทวิจารณ์...ลูกหลานจะได้ศึกษาดีกว่ามาโต้แย้งกันอย่างนี้...ไม่มีสาระ...อีกอย่างมันบ่งบอกไปถึงพื้นฐานอันกล่อมเกลาสันดานของผู้วิจารณ์ด้วย...ผมจะรออ่านงานวิจารณ์ของทุกท่านนะครับ...

ผู้แสดงความคิดเห็น ลมแล้ง (manso2527-at-hotmail-dot-co-dot-th)วันที่ตอบ 2010-12-02 06:58:13


ความคิดเห็นที่ 39 (2137073)

เราเขียน... เพราะเราคิด

เราเขียน... เพราะเรารู้สึก

เราเขียน... เพราะเป็นชีวิตของเรา

... และ เพราะเราเขียน เราจึงยังคงมีชีวิต

ขอกวี จงเป็นเมล็ดพันธุ์ ที่หยั่งรากงอกเงยในจิตใจทุกคน

ผู้แสดงความคิดเห็น สรณ์ ชรารักษ์ วันที่ตอบ 2010-12-15 22:04:33


ความคิดเห็นที่ 40 (2137339)

แล้วหนูจะเอาส่วนไหนของบทวิจารณ์มาทำรายงานดีคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ม.6 วันที่ตอบ 2010-12-16 21:42:17


ความคิดเห็นที่ 41 (2143355)

ชื่นชมกับคำกล่าวของคุณ ลมแล้งนะคะ

นานาทัศนคติที่คนเรามีนั้นยากที่จะหยุดมันได้ แต่ลองกลับมามองอะไรให้กว้าง ให้โอกาสแก่ผู้อื่นบ้านเถอะนะคะ

ดิฉันเองได้อ่านกระทู้แต่ละกระทู้ที่พวกท่านโต้ตอบกันแล้วรู้สึสะท้อนใจ ว่านี่หรือคะผู้ที่กล่าวอ้างตัวว่าเป็นผู้มีความรู้ ความคิดที่ดีแล้ว

วิจารณ์คนอื่นด้วยอารมณ์ที่เกี้ยวกราด อีกทั้งใช้คำสบถกันจนลืมมองย้นกลับมาดูตัวของคุณเอง

ดิฉันเชื่อนะคะ ว่าทั้งท่านกรรมการและท่านกวีผู้แต่งเองนั้นล้วนแล้วแต่ทำหน้าที่ของพวกท่านเองอย่างเต็มความสามารถ

แต่ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาตาเช่นนี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่ากวีท่านนี้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ และพวกท่านทั้งหลายที่มิพึงใจ และเห็น

คล้อยตามกันจึงได้ว่ากล่าวต่างๆนานา ลองมองให้กว้างนะคะ คิดถึงและเข้าถึงจิตใจของผู้อื่นบ้าง และขอฝากว่าลองนึกย้อนนะคะ

ถ้ากวีผู้นั้นเป็นตัวคุณเอง แล้วคุณโดนวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้บ้าง คุณจะรู้สึกเช่นไร

ผู้แสดงความคิดเห็น เหมันตฤดู วันที่ตอบ 2011-01-07 15:08:07


ความคิดเห็นที่ 42 (2145013)

แหลมพรหมเทพ

มันผู้นี้เป็นใครหรือ มีความรู้วามคิดยิ่งใหญ่มาจากใหน

ไม่คิดบ้างหรือว่ากรรมการหลายๆท่านเป็นครูของหลายๆคน

ผู้แสดงความคิดเห็น ตีนตบ วันที่ตอบ 2011-01-13 16:14:54


ความคิดเห็นที่ 43 (2145085)

หลายคนในกระทู้นี้เหมือนจะเป็นคนเดียว

ดูชื่อ และลักษณะการพิมพ์

ปล.นี่นะเหรอที่เรียกว่านักกวี

ผู้แสดงความคิดเห็น เกรียนคนหนึ่ง วันที่ตอบ 2011-01-13 21:22:40


ความคิดเห็นที่ 44 (2145142)

บ้ากันไปใหญ่ละ

บอร์ดนี้กวีงี่เง่าหมดอะกูว่าไร้วาระวะ

กากทั้งบอร์ด

ผู้แสดงความคิดเห็น Valentine (Valentine_ps3-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-14 05:43:59


ความคิดเห็นที่ 45 (2145251)

เหี้่ย

ผู้แสดงความคิดเห็น เหี้ย (gtrg-at-htrh-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-14 13:39:23


ความคิดเห็นที่ 46 (2145408)

จะเข้ามาหาบทวิจารณ์ทำงานแต่ดันเจอบุลคลเกรียนๆ สงสัยต้องขอครูเปลี่ยนหัวข้อทำงานเป็น ใบงาน คนวิจารณ์สมองเกรียน = =

ผู้แสดงความคิดเห็น ม.5 วันที่ตอบ 2011-01-14 21:51:05


ความคิดเห็นที่ 47 (2154925)

นี่เหรอผู้ที่เข้าถึงบทกวี

ผู้แสดงความคิดเห็น สายลม วันที่ตอบ 2011-02-20 17:20:29


ความคิดเห็นที่ 48 (2157924)

 ในวันที่ฉันอ่านบทวิจารณ์กวี

ฉันรู้สึกว่า

ฉันควรกลับไปนั่งดูละครหลังข่าว

ตอนนางอิจฉากำลังตบตีแย่งชิงพระเอกจากนางเอก

หรือ 

ฉันจะกลับไปดู

การอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ของฝ่ายค้านที่มีต่อรัฐบาลและคณะ

หรือ

ฉันควรจะกลับไปนั่งเล่นกับหลานสาว

ที่เพิ่งลืมตาดูโลก

ได้ไม่กี่ปี....

ผู้แสดงความคิดเห็น wikipepo (fai_orange47-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-03-03 05:25:24


ความคิดเห็นที่ 49 (2239007)

บทกวีจะดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับผู้ที่เข้าถึง และคนที่จะตัดสินได้ก็คือผู้ที่อ่าน ฉะนั้นจงปล่อยเรื่องนี้ให้กับคนที่ได้อ่านมันเป็นผู้ตัดสิน จะลอกหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าออกมามีประโยชต่อสังคมน์หรือไม่ (ไม่ได้เป็นคนที่รู้เรื่องบทกวีมากนักแต่ก็อยากแสดงความคิดเห็น)

ผู้แสดงความคิดเห็น แค่ผ่านมา วันที่ตอบ 2011-12-17 00:31:42


ความคิดเห็นที่ 50 (2447801)

 ตอนแรกก็อ่านไม่เข้าใจว่ากวีตั้งใจจะสื่อถึงอะไร พาลเอาเบื่อไปซะอย่างนั้น แต่พอมีคนแนะนำมาให้อ่าน แล้วบอกว่าลองคิดดีๆ สิ คิดทีละบรรทัด ปรากฏว่า ตอนอ่านครั้งแรก ได้ข้อคิดอย่างหนึ่ง นอนพลิกตัวไปมา ได้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่ง เอ๊ะ!! บทกวีอะไรทำไมทำลายจินตนาการและกรอบแนวคิดดั้งเดิมของเราได้ขนาดนี้ คำเพียงไม่กี่คำ หน้าหนังสือเพียงไม่กี่หน้า กลับทำให้ได้รับความคิดมากมายเหลือเกิน คิดต่าง คิดแตก คิดแปลก เออ แต่จริงแฮะ ๕๕๕ สำหรับผู้อ่าน หากไม่ยึดติดกับการจับผิด แต่หวังผลเพียงเพราะวรรณกรรมคือวรรณกรรม คุณจะพบเลยว่า "ไม่มีหญิงสาวในบทกวี" คือกวีนิพนธ์ที่มีคุณค่าและมีพลังอันมหาศาลมาก (:

 

อย่าอ่านแล้วตีความแค่ความหมายระดับคำ แต่ให้ตีความไปถึงความหมายโดยนัยและสัญญะที่อยู่ในนั้น !!

พูดแล้วขนลุก ;DD

ผู้แสดงความคิดเห็น หัวใจกวี (yakusa_standby-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2014-02-05 02:39:04



[1] 2 ถัดไป >>


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.