ReadyPlanet.com


ผีตัวเป็น ๆ


ผีตัวเป็น ๆ

 

              น้ำเนื้อในศพแตกกระทบเปลวเพลิงปลายท่อแก๊สที่พวยพุ่งเสียงดัง ตุ๊บ ตั๊บ ตุ๊บ ตั๊บ ให้ตื่นเต้น

ไม้เขี่ยผีเลือกแทงส่วนท้องและทรวงอก   เพราะ 2 จุดนี้เผาไหม้ช้ากว่าส่วนอื่นของซาก

“พอแล้ว ๆ อย่าแทงแรงเดี๋ยวศพเจ็บ”

“ท่านมหาก็มีมุกตลกด้วยหรือนี่”      สมชายเปรยคำพูดทั้งที่มือยังกำไม้เขี่ยผีอยู่

“เฮ้ย !  ก่อนเผาเอ็งเปิดฝาโลงตรวจดูหรือยัง  บางศพเจ้าภาพชอบเอาตุ๊กตาพลาสติกและของใช้ใส่ในโลง  

บางชิ้นก็เป็นอะลูมิเนียม  เผายาก  กินแก๊สเกิน 2 ถังใหญ่กว่าจะหมด    กทม.เขามีคำเตือนมา เราต้องคำนึง

ถึงเรื่องพอลลิวชั่นด้วย  ตกลงเอ็งตรวจแล้วใช่ไหม”    สมชายพยักหน้าแล้วเอี้ยวตัวไปกดปุ่มปรับอุณหภูมิ

ความร้อนพลังแก๊สให้ได้ระดับองศา โดยตั้งหัวฉีดเผาผีสูงสุด 800 องศา  หัวฉีดเผามลพิษควันดำ 900 องศา

ทันทีที่ปรับปุ่มเผาเสร็จ   เขาหย่อนก้นนั่งอ่านสมุดบันทึกที่เก็บได้ในโลง  ด้วยความตื่นคิดและติดใจความ

                        ใต้แผ่นอก...ก้อนเนื้อก้อนหนึ่งเท่าดอกบัวตูม เต้น ตึ่ก ตัก ตึ่ก ตัก ๆ  มิรู้หยุด  โดยได้รับมาจาก

ผู้บริจาค  ซึ่งเวลานี้คงไปอยู่บนสรวงสวรรค์แล้ว   ทั้งที่เขากับฉันไม่เคยรู้จักกันเลย  และไม่เคยทวงบุญคุณ

ว่าได้ฝังอยู่ใต้แผ่นอกของใคร    ช่างเป็นปรากฏการณ์อภิมหาอนันตคุณต่อการได้ครอบครองยิ่งนัก

จังหวะของการเต้นแม้จะผิดแผกไปจากคนปกติอยู่บ้าง  ซึ่งอัตราชีพจรของคนปกติเฉลี่ย 72-78 ครั้งต่อนาที

(ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุวัยและประสิทธิภาพ)    ไม่เพียงแต่เต้นเพื่อสูบฉีดโลหิตให้หมุนเวียนหล่อเลี้ยงร่างกาย

แต่ฉันคิดว่า  เต้นเพื่อเสริมสร้างประดิษฐกรรมชีวิต ให้เคลื่อนไหวในโลกแห่งประดิษฐกาลเวลา  หรือเต้น

เพื่อสืบสายเผ่าพันธุกรรมมนุษย์  ที่อวตารอะตอมจักรวาลใดปรุงแต่งให้เป็นโลกแห่งดาวเคราะห์  ก็มิเกิน

กว่าที่ก้อนเนื้ออีกหลาย ๆ ก้อน จะเต้นตามหาคำตอบ    13 ปีแล้วสิ ที่สิงสถิตอยู่ในตัวฉัน คือก้อนเนื้อที่ยัง

มีคุณภาพในองคาพยพนี้

                        “ไม่รู้สิ”  บางครั้งฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า   “ฉันคือผีมีชีวิตที่สัมผัสได้”  ผีที่คนในครอบครัวรัก

ห่วงใย  ผีที่สังคมส่วนใหญ่ยอมรับ  ผีที่ยืน  เดิน นั่ง  นอน  ดื่ม  ทำ  พูด  คิด และรับรู้เรื่องราวของกิจกรรม

กิน  กาม  เกียรติ  ทุกข์  สุข  ได้ทุกเมื่ออย่างเป็นรูปธรรมเหมือนบุคคลทั่วไป   และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

คือคนใกล้ชิด ไม่มีใครรังเกียจ หรือกลัวโครงร่างของผีมีชีวิตนี้เลย    โดยเฉพาะน้องแตมลูกสาวสุดที่รัก

ของฉัน  มักมานอนหนุนตัก  เอียงหูเข้าแนบสนิทหน้าอก เพื่อฟังจังหวะบรรเลงแห่งการเต้นของก้อนเนื้อ

ซึ่งฉันไม่เคยปริปากถามเธอ แม้สักครั้งเดียวว่าเนื้อหาของเสียงเต้นเป็นอย่างไรบ้าง   แต่ทุกครั้งที่สาวน้อย

เข้ามานอนแนบเนื้อหน้าอก  ดูเธอมีความสุขและอบอุ่นอย่างไม่รู้อิ่ม          หลังจากที่อุ้มเธอไปวางบนที่

นอนแล้ว  ฉันไม่ลืมที่จะก้มลงหอมแก้มอันเนียนนุ่มเบา ๆ   “หลับฝันดีนะลูก”

              เสียงแตกดัง  ตุ๊บ  ตั๊บ  ตุ๊บ  ตุ๊บ  ในเตาเผา  สมชายตกใจ รีบเปิดประตูเผาผี  “เออ ! โล่งอก

ไปที  นึกว่าจะหลอกกูเข้าแล้ว   ที่แท้ก็นอนงอกุ้งอยู่เหมือนเดิม  อย่าห่วงข้างหลัง ไปสู่ที่ชอบ ๆ เถิด”

เขาโพล่งพูดออกไป   ก่อนจะซิทด่าว อ่านบทบันทึกต่อ ด้วยหัวใจระทึก

                        บางโอกาสฉันไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพ  ช่างสงสารเจ้าภาพเสียเหลือเกิน ที่สูญเสียบุคคล

อันเป็นที่รัก   บ้างบางคนก็อายุยังน้อยน่าจะอยู่ในโลกได้อีกยาวนาน   บางคนยังมีภารกิจพันธนาการ

ที่ต้องรับผิดชอบดูแล  แต่ต้องมาด่วนจากไป  “ชีวิตช่างเอาอะไรแน่นอนไม่ได้จริง ๆ”  

                       

 

                        ฉันเคยได้ยินพิธีกรกล่าวไว้อาลัยผู้วายชนม์  โดยเปรียบชีวิตเสมือนรถยนต์  มีมือและเท้า 2 ข้าง

เปรียบเป็นล้อรถ   และรถคนนี้เป็นรถสปอร์ตตกแต่งพิเศษ  มีประตูเปิด-ปิด 9 ประตู  ซึ่งประกอบด้วย

ดวงตา  หู  จมูก  ปาก  ทวารหนัก  ทวารเบา             สรีระยนต์คันนี้แล่นไปจากจุดสตาร์ทคือการเกิด 

ในบางช่วงของชีวิตที่แล่นไป  อาจมีอุปสรรคน้อยใหญ่ตามความแตกต่างของการดำเนินชีวิต   และแน่นอน

เมื่อรถถูกใช้มากวันมากเวลารถก็ยิ่งสึกหรอ  ซึ่งต้องได้รับการซ่อมแซม   หากมีอาการน้อยก็พอซ่อมได้

หาอะไหล่เปลี่ยนได้  แต่ถ้ามีอาการมาก  แม้ว่ามีช่างผู้เชี่ยวชาญเพียงใด  ก็ไม่สามารถที่จะซ่อมได้  จนใน

ที่สุดสรีระยนต์ย่อมถึงกาลอวสาน  ที่ต้องจอดสนิท    ป้ายสุดท้ายคือความตาย     อย่างไรก็ตาม

สรีระยนต์ชีวิตยังมีป้ายทะเบียนแห่งชื่อและนามสกุล  รวมทั้งคุณความดี  ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ในโลกใบนี้

ไปอีกนานแสนนาน

                        ภายใต้แผ่นอก...ก้อนเนื้อเท่าดอกบัวตูมยังเต้นอย่างต่อเนื่อง  เพื่อเติมเต็มชีวิต  และหยอกล้อ

วงเล็บแห่งกาลเวลาไปอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ สำหรับชีวิตฉัน...วันพรุ่งนี้ครอบครัวของเราจะเดินทางไป

เที่ยวประเพณีสงกรานต์ที่จังหวัดน่าน  ซึ่งเป็นถิ่นมาตุภูมิของคุณฆ้อง พ่อของน้องแตม  เธอบ่นมานาน

แล้วว่า     ถ้าครอบครัวเรามีรถสักคัน  อยากให้คุณพ่อกับคุณแม่พาไปกราบเท้าคุณย่า   ซึ่งคงสมใจ

ปรารถนา   เพราะคุณพ่อซื้อรถเก๋งคันใหม่ สีดำ ที่ถูกใจลูกแตมมาก ๆ      พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทาง

แต่เช้าตรู่ เพื่อไปรดน้ำดำหัวขอพรคุณย่า กับทั้งเยี่ยมญาติ อย่างที่ตั้งใจเอาไว้

                        ฉันคลำแผ่นอก...ก้อนเนื้อเต้น  ตึ่ก ตัก  ตึ่ก  ตัก ๆ  เหมือนจะบอกว่ายังไม่อิดอ่อนในการเต้น

ระบำกับชีวิตมา  13 ปี  ขอให้นอนหลับและฝันดีทุกคน   บันทึกเสร็จเวลา 23.13 น. วันที่ 13 เมษายน 2552

(กระต่าย) ผีตัวเป็น ๆ ที่สัมผัสได้ค่ะ     ราตรีสวัสดิ์

                       

“สมชาย หมดแก๊สไปกี่ถังแล้ว”  ท่านมหาตะโกนมาจากศาลาข้างเมรุ  “เดี๋ยวผมขอดูวาวด์ก่อนนะครับ”

เขาวางสมุดบันทึกไว้ที่จิตกาธาน แล้วรีบไปดูวาวด์       “ท่านครับเกือบ 2 ถังแล้ว”  เขารายงานขณะที่

ท่านมหาเดินขึ้นเมรุมาพอดี      “นั่นสมุดอะไรหรือ”   “เออ ! คือว่าเป็นของผู้ตายมันอยู่ในถุงพลาสติก

 เข้าใจว่าเจ้าภาพคงเผลอเก็บรวมกับข้าวของใส่ในโลง”  

“แล้วเป็นไง”  ท่านมหาย้อนถาม  

“ครับคือว่า ผมอ่านแล้วรู้สึกอิ่ม อีกทั้งอิน และชวนให้ตั้งคำถามเพื่อต่อยอดความคิดอีกหลายประเด็น”

เขาพูดพลางหยิบน้ำเย็น ถวาย

“ท่านครับ ท่านคิดว่าผีมีจริงไหมครับ”  

“มันมีอยู่ในความไม่มี”    สมชายคิ้วย่นยังงุนงง ในคำตอบ

“ขอได้โปรดให้อรรถาธิบายให้กระจ่างหูกระจ่างตาหน่อยเถิดท่าน”

“ก็อย่างที่เอ็งอ่านบันทึกนั่นแหละ   เขาคือคนที่มีซากผีอยู่ในชีวิต  และรู้จักปรับตัวให้เข้ากับผีได้

อย่างแนบแน่นอย่างกะปลาท่องโก๋  ทั้งยังรู้คุณค่าของก้อนเนื้อที่ได้มาด้วยการใช้เป็น และทำใจได้

เอ็งคงเคยได้ยินคำว่า  จงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ  จงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต  แต่ข้าอยากต่อ

อีกนิด  จงสละชีวิตเพื่อชีวิตอีกหลายชีวิตได้มีลมหายใจต่อไป     แล้วจะมีผีที่ไหนให้น่ากลัว

อีกเล่า    คนเราถ้าเข้าใจในสัจธรรมความเป็นจริง  รู้จักแบ่งบุญ  โลกก็คงเบิกบานมีระเบียบ

 

 

 

สดใสน่าอยู่กว่านี้แน่”          เขาขยับเก้าอี้เข้าใกล้ท่านมหา  เงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ  เหมือนว่า

อยากบรรลุอะไรบางอย่าง   แต่ในมือถือกระป๋องเบียร์ที่ยังไม่เปิด

“ท่านครับ  คนที่บริจาคอวัยวะให้คนอื่น  ชาติหน้าถ้าเขาเกิดมาจะมีอวัยยะครบไหมครับ”

ขณะที่ตั้งคำถามมือดึงฝากระป๋องเบียร์เสียงดัง เป๊าะ  ฟองเบียร์ทะลัก  เขาแลบลิ้นเลียอย่างรีบร้อน

“เอ็งเงยหน้าขึ้นฟ้า  มองไปที่เชิงชั้นฉัตรยอดเมรุ  เห็นต้นไม้ต้นเล็ก ๆ นั่นไหม   ตรงนั้นเป็นปูน

แต่มันยังเจริญเติบโตได้  นับประสาอะไร   ยิ่งถ้าต้นไม้ต้นใดได้อยู่ในที่มีดินอุดมสมบูรณ์

ก็ย่อมเจริญพันธุ์  พร้อมให้นกกามาพึ่งพาอาศัยร่มเงา  และได้กินดอกผลแห่งเมล็ดพันธุ์

อีกทั้งช่วยขยายพันธุ์   เมื่อพวกมันโบยบินไปถ่ายมูลไว้ที่ใด  ที่แห่งนั้นย่อมมีชีวิตที่งอกเงย

งดงาม   นี่คือวัฏจักรชีวิต           ผู้ให้อวัยวะก็เช่นเดียวกัน   ถ้ามีโอกาสได้เกิดมาอีกชาติหนึ่ง

ไยต้องไปกังวลกับอวัยวะที่บริจาค  เพราะนั่นคือบุญมหาศาล  เมื่อปฏิสนธิในที่แห่งใด

ย่อมงอกเงยงดงามได้ใหม่ในที่แห่งนั้น   ทั้งใหม่สด ซิง ๆ เสียด้วย”  ท่านมหาก้มหน้าอธิบาย

ร่ายปรัศนีชีวิตเสียยืดยาว

 “เบียร์กระป๋องยิ่งถือไว้นานยิ่งขม”  สมชายบ่นพึมพำ

“ก็แน่ล่ะสิ  มันไม่ขมที่ปากลิ้นเท่านั้น  แต่มันจะขมแข็งติดตับ   แล้วสักวันก็จะแตก ตุ๊บ ตั๊บ

ตุ๊บ ตั๊บ  อย่างเสียงเผาผีไม่ผิดเพี้ยน    แก่คงไม่มีโอกาสได้เป็นนายกสมาคมสัปเหร่อ กทม.

แล้วกระมัง”      ท่านมหากล่าวเชิงประชดประชัน    แต่เขาไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ  เพราะรู้ว่า

ฝากปากฝากท้องไว้กับวัด

“ตามที่ท่านมหาได้ให้เหตุผลมาทั้งหมด  ทำให้ผมอยากจะบริจาคร่างกายเสียแล้วล่ะครับ

ขออย่างเดียวเวลาดองศพ  กรุณาสวมกางเกงในให้ด้วยเถอะ  เพราะว่าผมเคยไปดูห้องเก็บศพ

แต่ละศพนอนเปลือยโป๊ โด่ ซะเด้งเชียว  เขาอายนะ”  

“ไอ้เวร  เอ็งคิดมากถึงเพียงนี้เลยหรือวะ  ตายแล้วยังจะติดหล่ออีก   ดูข้าสิ  ตั้งแต่บวชมา

ยังไม่เคยรู้จักกางเกงใน  ไม่เห็นเป็นไรนี่หว่า”   ท่านมหาสบถแบบมีอารมณ์

สมชายยกมือไหว้ท่วมหัวสาธุ   แล้วลุกไปเปิดประตูเตาเผาผีอีกครั้ง   

เปลวเพลิงลามเลียซาก  ดุจว่าอร่อยรสอันเลอเลิศ   ไฟฟอนสีส้มอมแดงแผดเผาองคาพยพพร้อม

กับเหตุการณ์ที่เป็นไป...    ภายใต้หน้ากากครอบแว่นตาดำของเขา

ภาพทรวงอกยังคุกรุ่นอัคคีกาลอันร้อนระอุ คล้ายภูเขาไฟปะทุลาวา 

ดอกบัวตูมดอกนั้นผุดอยู่ใจกลางลาวาร้อน   ทว่าช่างงดงามในผนึกนึกคิดของเขาเป็นยิ่งนัก

ใครหนอคือเจ้าของดอกบัวตูมดอกนั้น

“ข้าว่าเอ็งน่าจะบวชเสียตั้งนานแล้ว   อุตส่าห์เรียนจนจบปริญญา  ฝากให้ไปทำงานที่บริษัทฯ

ได้ไม่นาน  ยังหนีไม่พ้นวัดมาเป็นว่าที่นายกสมาคมสัปเหร่อเอาจนได้

อย่าโกรธข้านะ  ที่พูดก็เพราะเป็นห่วงอนาคตเอ็ง  กลัวจะหมดไปกับน้ำเมานั่นประไร”

ท่านมหากึ่งบ่นกึ่งสอนด้วยความเอ็นดู  และเอ่ยถามถึงสมุดบันทึกเล่มนั้น

“อ๋อ ! อยู่นี่ครับ   ผมว่าท่านเก็บไว้ก็ดีนะ    พรุ่งนี้เช้าเก็บอัฐิ  จะได้แก้ต่างให้ผมว่าไม่ใช่

สัปเหร่อขี้ขโมย   ผมไม่มีเจตนาจริง ๆ   เพราะมันอยู่ในถุงพลาสติกจึงต้องเอาออกจากโลง”

 

 

 

 

เขายิ้มเจื่อน ๆ  ใจยอมรับกับสิ่งที่กระทำ     “ไม่เป็นไรหรอกนึกว่าเห็นแก่มุโขโลกนะ  ข้ากับเจ้าภาพ

รู้จักกัน  อีกอย่างจะหาโอกาสไปเยี่ยมคุณฆ้องที่โรงพยาบาล  ทราบว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ แกเจ็บหนัก

เอาการ  ต้องถูกผ่าตัด  แต่หมอยังรอเลือดบริจาค  เพราะแกกรุ๊ป AB หาเลือดยาก  ส่วนลูกสาว

เจ็บนิดหน่อย      ว่าแต่เอ็งเถอะปลงได้หรือยังกับเรื่องผี ๆ      แหม !  ทั้งที่มัดตราสังศพแทบทุกวัน

ยังไม่เปิดโลกทัศน์ให้รู้ปลงอีก”

“สมัยนี้  ผีตัวเป็น ๆ ที่มีศีลธรรมมีน้อย   ส่วนใหญ่เป็นผีที่ยั้วเยี้ยยัดเยียดแย่งกันอยู่  จนโลกขึ้น

สนิม”      ท่านมหากล่าวสำทับพร้อมกับยกแก้วน้ำขึ้นจิบในรสชาติจืด ๆ  แต่แจ่มอยู่ในจิตใจ

ใครบางคน      สมชายกดปุ่มเปิดประตูเตาครั้งสุดท้าย  เปลวเพลิงลดระดับอุณหภูมิความร้อนแรง

ซากสรีระมอดไหม้เกือบหมดแล้ว   

ซากกาลเวลาเกือบสิ้นสุด

ซากความโศกเศร้ายังล่องลอยในอากาศ รอกิเลสสูดดม

ซากความคิดยังต่อยอดแบ่งบาน ดังดอกบัวตูมดอกนั้น  และอีกหลาย ๆ ดอก  อันจะยังประโยชน์

ต่อมวลมนุษยชาติอย่างไม่จบสิ้นอวสาน

 

                        รุ่งเช้าของวันใหม่   เวลา 07.13 น.  แสงแดดอ่อนเลียต้นไม้อ่อน ๆ ปลายเชิงชั้นฉัตร



ผู้ตั้งกระทู้ ภูวดล ภูภัทรโยธิน :: วันที่ลงประกาศ 2009-06-11 15:21:21


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1949547)

ต่อดิ..ค้างๆ คาๆ ครึ่งๆ กลางๆ
ให้รู้บ้าง คนคอยฟัง ยังคอยอยู่
สมชายจะ ทำอะไร ใจอยากรู้
ฆ้องกับหนู จะรอด ปลอดภัยฤา...

ผู้แสดงความคิดเห็น กล่อมมาลี วันที่ตอบ 2009-06-11 21:19:33


ความคิดเห็นที่ 2 (1949621)

ขอเรียน คุณกล่อมมาลีว่า   ผมได้ส่งมาลงจนจบเรื่องแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ตอนจบหายไปเลย  จึงเข้าใจว่าอาจจะเกินหน้ากระดาษที่เว็บนี้ตั้งค่า

เอาไว้   ดังนั้นผมขอต่อเพื่อไม่ให้คุณผู้อ่านค้างคาใจ ดังต่อไปนี้

              รุ่งเช้าของวันใหม่  เวลา 07.13 น. แสงแดดอ่อนเลียต้นไม้อ่อน ๆ ปลายเชิงชั้นฉัตรยอดเมรุเก่า       นกพิราบไซ้ซอกขนบนช่องฟ้าหลังคาโบสถ์

สมชายเรียงอัฐิสีขาวหม่นเป็นรูปคน       เจ้าภาพหน้าหม่นหมองนองน้ำตาในพิธี      พระสงฆ์ 4 รูป ห่มจีวรสีกรักหมองริ้วรอยหม่น   อันมีพระมหา

เชวงวงศ์เป็นหัวหน้า  พิจารณาผ้าบังสุกุล  อนิจจา วตสังขาราฯ  (เสร็จพิธี)

"สมชาย...เพลวันนี้ ข้าไม่อยู่ฉันนะ  ถ้ามีญาติโยมถามถึง ให้บอกว่ามีธุระไปศูนย์รับบริจาคสภากาชาดไทย"

ท่านมหาเอ่ยปาก แล้วก้าวขึ้นแท็กซี่ออกจากวัดบัดเดี๋ยวนั้น...

แสงแดดกระทบเหลี่ยมกระจกหลากสีปลายช่อฟ้างามระยิบระยับ  นกพิราบสลัดปีกเบาสบายโบยบินไปในอากาศ

อันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างอิสระ   เวลา 08.13 น.

 

หมายเหตุ  เรื่องสั้นนี้  ได้รับคำวิจารณ์จาก คุณวินทร์  เลียววาริณ  นักเขียนรางวัลซีไรต์ 2 สมัย    winbookclub.com

ผู้แสดงความคิดเห็น ภูวดล ภูภัทรโยธิน วันที่ตอบ 2009-06-12 09:00:12



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.