ReadyPlanet.com


โยนีสัณฐาน


โคลงสรรเสริญเกียรติกรุงเทพมหานครยุคไทยพัฒนา
ตอนที่ ๓ หนุมานอมพลับพลา
ประพันธ์โดย : จิตร ภูมิศักดิ์
กลอนเพลงฉ่อย
(จำเป็นต้องมีคำไทยแท้บ้างเล็กน้อย เพราะเป็นเพลงชาวบ้าน)

โอ…งงโหงย
ฉ้อราษฎร์บังหลวง ตักตวงมือเติบ
ฉวยใช้เฉิบเฉิบ ฉาวฉ่า
กองสลากกินแบ่ง เพื่อนก็แกว่งตีนกวาด
คุมเสร็จเด็ดขาด "ของข้า"
โอ้เงินรัฐไหงริบ ไปงุบงิบง่ายง่าย
ไปกินแบ่งกันสบาย จริงบา
ยังสลากสองชุด เพื่อนกินรุดสองชั้น
ปากมอมจนเป็นมันเหมือน ปากม้า
อ้างราชการลับ เสวยฉับเซ็นเช็ค
ให้คุณหนูเล็กเล็ก ของป๋า
ให้เธอนั่งเทานุส มีบ้านชุดคนใช้
แหวนเพชรเม็ดใหญ่ วาวตา
เงินนับร้อยร้อยล้าน ราชการของลับ
จ่ายเพลินจริงเจียวพับ เอ๋ยผ่า
โควตาทัพบก เอาไปกกเสียสบัด
ไอ้เสือฟิตอมยัด เอาวา
เงินสวัสดิการ ของทหารชัดชัด
ไหงถึงยักเอาไปยัด เอ๋ยห่า
สวัสดิการของรัฐ มาเป็นสวัสดิกู
เป็นสร้อยเพชรสีชมพู ของเมียข้า
โอ้ว่าแสนสงสาร เพื่อนทหารของชาติ
ไม่ได้เห็นเลยสักบาท อนิจจา
รักษาการณ์หาญฮึก รักษาศึกทรหด
ต้องเหนื่อยอ่อนนอนอดอกอา
ยังถูกเสือกถูกไส เป็นคนใช้อีหนู
โอ้นี่กูหนอกู ทหารกล้า
เกียรติทหารของชาติ ถูกประมาทชอกช้ำ
ศักดิ์ศรีก็จะต้องต่ำ เอ๋ยช้า
โอ้รักษาเอกราช ยอมเป็นทาสนางบำเรอ
มารักษาอีเป๋อ ของป๋า
โอ้แว่นแคว้นแดนไทย ว่ากว้างใหญ่นั้นจริงหรือ
ไหงมีที่เท่าฝ่ามือ ให้รักษา
โอ้เจ้าดอกขจร ตอนรุ่ง
หอมหวลแต่ในมุ้ง หุยฮา
โอ้ว่าเงินสวัสดิการ ผลาญสิ้น
ทหารเอ๋ยจะต้องกิน น้ำตา
ชา…เอ๋ฉาชา ฉ่า ชา…หนอยแม่ เอย

ที่มา http://www.music.mahidol.ac.th/insanetheater/chit4.html

เมื่อข้าพเจ้า อ่าน เพลงฉ่อย ของจิตร ภูมิศักดิ์ บทที่ว่า

"โอ้แว่นแคว้นแดนไทย ว่ากว้างใหญ่นั้นจริงหรือ
ไหงมีที่เท่าฝ่ามือ ให้รักษา"

ก็พบว่ากลอนบทนี้ติดเหรต X ไป นิดสสส์ นึง เพราะได้เปรียบเทียบการรักษาแผ่นดิน ของทหาร กะการรักษาของลับ ของเมียเจ้านาย
เอ้ย พูดใหม่ๆ คอยอารักขา และรับใช้เมียเจ้านาย สำหรับดินเท่าฝ่ามือ นี้เป็นโวหารที่คมคายจริง ๆ เพราะได้เปรียบเทียบ
แผ่นดินเท่าฝ่ามือนี้ กะ "โยนีสัณฐาน" โดยทางอ้อม เมื่ออ่านเพลงฉ่อยบทนี้ ข้าพเจ้านึกถึง โคลงนิราศนรินทร์
บทที่พรรณาฉากการเดินทัพ เมื่อกองทัพเดินทางถึง ณ คลองโคกเต่า ความว่า

มาคลองโคกเต่าตั้ง..........ใจฉงาย
ตัวเต่าฤามีหมาย..............โคกอ้าง
เจ็บอกพี่อวนอาย..............ออกปาก ได้ฤา
คืนคิดโคกขวัญร้าง..........อยู่เร้นแรมเกษม

ถอดความได้ว่า
เมื่อเดินทางมาถึงที่ ตั้งของ “คลองโคกเต่า” แล้วในใจรู้สึกฉงนฉงาย ยิ่งนัก
เพราะไม่เห็นมีเต่าสักตัว ดังชื่อคลองที่ได้กล่าวอ้างกันไว้
รู้สึกเจ็บที่หัวอก กระอักกระอ่วน อายที่จะ ออกปาก ระบายความรู้สึกข้างใน ว่า
เห็น โคกเต่า แล้วคิดถึง โคกของเมียแก้วเมียขวัญ ยามนี้ร้างลาจากกันมา ไม่เคยมีความเกษมสุข(ทางเพศ)เลยจริงๆฟ่ะ

สรุปในขั้นแรก ได้ความว่า นายนรินทรธิเบศร์ มีจินตภาพ เปรียบเทียบ โยนีสัณฐาน ว่าเหมือน โคก
ส่วนจิตร ภูมิศักดิ์ มีจินตภาพ เปรียบเทียบ โยนีสัณฐาน ว่าเหมือน แผ่นดินเท่าผ่ามือ (ไม่รู้ว่ามีหญ้าด้วยหรือเปล่า)

สำหรับนายผี มหากวีแห่งประชาชน ก็ได้พูดถึงเรื่อง "โยนีสัณฐาน" ไว้ในกลอน " เที่ยวงานฉลอง" ความว่า


ผมนายผีมีจิตรคิดจะเที่ยว ด้วยดูเปลี่ยวเปล่าใจคิดไม่คล่อง
หนาวหัวอกฟกช้ำดูทำนอง ในสมองมึนซึมขรึมครึไป
ขรึมเพราะเขาเหล่าสตรีผู้ดีจัด เกิดกำหนัดในโกรธลงโทษใหญ่
ค้าคารมกลมกล่อมละม่อมละไม มาลูบไล้ล้นเราะล้วนเยาะเย้ย
ผมนายผีที่ว่าถ้าจะแย่ ครั้นจะแก้ก็สตรีไม่ยี่เจ้ย
อันถ้อยคำทำให้ไม่สะเบย จึงได้เลยคิดเร่ออกเตร่ดู
พอดีวันท่านมหาบ้าบุรุษ คิดจะขุดศพลองฉลองหรู
เอาศพรัฐธรรมนูญออกทูนชู พวกงูงูปลาปลาคงมาชม
รัฐประหารหันเหียนเวียนอาวุธ เลยม้วยมุดรัฐธรรมนูญไปศูนย์สม
ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งคลั่งบรม มันแสนขมขื่นผีที่ขี้แพ้
ใครจะชมชื่นอะไรช่างใครเถิด แต่ไม่เกิดชื่นชมกับผมแน่
อันการเมืองเรื่องมากไม่อยากแล ต้องขอแต่ตามดูเป็นครูไป
เหมือนมาดูผู้ใหญ่ท่านใฝ่ฝัน ที่จะฉันจึงฉลองสมองใส
ฉลองศพสุขคลั่งชั่งกระไร อ๊ะ ที่ไหนนั่นละหนาสารพัน
จะดูการกินอะไรที่ไหนเล่า จึงจะเท่าที่นี่มีการฉัน
คำโตโตโม้ให้พอใจครัน ทั่วทั้งนั้นนึกหวานในการกิน
จะดูการถามอะไรที่ไหนเล่า จึงจะเท่าที่นี่มีมากหิน(ชาติ)
ผู้ไปเที่ยวเลี้ยวไปดั่งใจจินต์ เป็นได้ยินเหล็กไหลไล่กระทบ
ดังโปกเปกกระเดกกระโดกโขกกระเดื่อง เกิดไฟเฟื่องฟูแสงจนแจ้งจบ
หญิงและชายหลายกลุ่มได้ซุ่มรบ เลยลืมภพลืมพับไม่ยับยั้ง
โอ้ลูกสาวแสนสวยใครนวยนาฏ เผ่นผงาดงามสมตึงนมตั้ง
ผิว์พ่อแม่แลปลื้มลืมระวัง เป็นต้องนั่งน้ำตาตกคาตีน
พวกผู้ดีดูไปซิใจชั่ว ล้วนแต่ตัวตีหน้าข้าถือศีล
พอลับตาบ้าร้ายเล่นป่ายปีน ฝรั่งจีนแขกไทยไม่ยั้งมัน
เอาเงินมาข้านี้จะขี่เก๋ง ท้องสำเพ็งแพรผ้าข้ากระสัน
ทั้งสร้อยแหวนแสนสวยคิดรวยครัน ก็แลกกันกับ "สนามสามเหลี่ยม" ไป
นึกสนุกสุขใจในชั่วครู่ ดูดู๋ดูนารีนี้บ้าใหญ่
อันเลือดเนื้อเชื้อแถวก็แนวไทย เอ๊ะ ทำใมมาระคนเอาจนเลอะ
ถ้ารักแล้วไม่ว่าเลยหนาเจ้า ถ้ารักเร้าแล้วไม่รั้งชั่งมันเถอะ
แต่ความใคร่ใบ้บ้านี้น่าเคอะ แสนสะเออะว่าอร่ามงามอุรา
ช้าก่อนช้าชมไปยังไม่ทั่ว เรื่องบั้วๆ บัดสีนี้แสนบ้า
อยากดูดีมีดูที่ตรูตรา เผย "หุบผา" ออกเผ่นให้เห็นตัว
พอเปิดฉากขั้นนอกนั่งกลอกหน้า แสนโสภาพวกที่ไม่มีผัว
เกือบแก้ผ้าเดินผาดแสงมาดมัว แม้สลัวลำแสงไม่แคลงใจ
เดินอยู่เบื้องบนที่มีท่าถ้ำ เห็นหวำหวำวับวับแทบจับไข้
นั่งยองมองแยงแทงขึ้นไป เป็นเห็นไส้พุงสิ้นแทบดิ้นโดย
โอ้ม่านน้อยช่างกระไรเหลือใจร้าย เป็นแผ่นป้ายปิดกั้นให้หันโหย
โหมกำลังคลั่งคิดจนจิตรโรย โอยแม่โอยอกใจเหมือนไฟฟอน
โอ ้อนาถหนอสตรีไม่มีค่า เขาเอามาเพื่อมองที่ของซ่อน
สมัยทาส มาตร สิ้นแผ่นดินดอน ใยยังย้อนเยือนมาระอาใจ

จะเห็นได้ว่า นายผี ก็มีจินตภาพ เปรียบเทียบ โยนีสัณฐาน ว่าเหมือน สนามสามเหลี่ยม

"ก็แลกกันกับ สนามสามเหลี่ยมไป"

ถอดความได้ว่า ผู้หญิงในกลอนของนายผี ยอมขายสนามสามเหลี่ยมเพื่อแลกกะเงิน นั่นเอง อนึ่งนายผีเอง นั้นยังมีจินตภาพ เปรียบเทียบ
โยนีสัณฐาน ว่าเหมือน หุบผา ดังเช่นกลอนบทที่ว่า

"อยากดูดีมีดูที่ตรูตรา เผย หุบผา ออกเผ่นให้เห็นตัว"

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่ากวีได้ เปรียบเทียบ โยนีสัณฐาน ว่าเหมือนกับ โคก /แผ่นดินเท่าฝ่ามือ/สนามสามเหลี่ยม/หุบผา ฯลฯ

นอกจากนี้ ใน ผญาลักษณะหญิง ก็ได้มีการกล่าวเกี่ยวกับเรื่อง โยนีสัณฐาน ไว้ความว่า

ญิงใดโยนีส่วย ดุจปลีกล้วยตีบ
ญิงนั้นสุขลื่นล้น ความไฮ้บ่ฮ่อนมี แท้แหล้ว
กะหากสัตย์ซื่อแท้ ตั้งต่อผัวตน
จักเทียระฆาคง อยู่ยืนเถิงเถ้า นั้นแหล้ว

ถอดความได้ว่า
หญิงใดโยนีปลายค่อนข้างแหลม คล้ายปลีกล้วย ควรเอามาเป็นเมีย เพราะเธอจะซื่อสัตย์ต่อสามี
และนำความสุขมาให้ (ควรใช้พิจารณญาณในการอ่าน)

ในปัจจุบัน การพูดจาเกี่ยวกับเรื่องอวัยวะเพศ ยังเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และหลายท่านเข้าใจว่ามนุษย์เราเกิดมาจากโยนีของมารดาด้วยเหตุนี้
ทำให้บรรดาคุณแม่มือใหม่บางท่านไม่กล้าตอบคำถามลูก เมื่อถูกผู้เป็นลูกตั้งคำถามว่า แม่ครับ/แม่คะ หนูเกิดมาจากไหน

ทางพุทธศาสนา ที่กล่าวถึงกำเนิดของมนุษย์ มีข้อความปรากฏในวรรณคดีไทยสมัยสุโขทัยคือ เรื่องไตรภูมิพระร่วง
หรือเตภูมิกถาซึ่งเป็นวรรณคดีพุทธศาสนา ในหมวดหนึ่งของเรื่องได้กล่าวถึงการถือกำเนิดของมนุษย์ ซึ่งรวมอยู่ในเรื่อง
ของการกำเนิด ของสิ่งมีชีวิตว่ามี 4 ประการคือ
1. อัณฑชะ เกิดจากไข่ เช่น พวกนก ไก่ เป็ด ปลา งู
2. ชลามพุชะ เกิดจากปุ่มเปือก และมีรกห่อหุ้ม ได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย และคน
3. สังเสทชะ เกิดจากใบไม้ ต้นไม้ ดอกไม้ ละออง ดอกบัว หญ้าเน่า โลหิต เนื้อเน่า และเหงื่อไคล และที่เปียกชื้น
ได้แก่ หนอน แมลง บุ้ง ริ้น ยุง
4. อุปปาติกะ เกิดขึ้นเอง พอเกิดมาก็โตเต็มที่ ไม่เติบโตขึ้นทีละน้อยเหมือนสามประเภท แรกได้แก่ สัตว์นรก เทวดา พรหม

เราจะเห็นว่ากำเนิดของมนุษย์เป็นประเภทชลามพุชะ เกิดมาจากปุ่มเปือกและมีรกห่อหุ้ม เมื่อเทียบกับทางวิทยาศาสตร์
ก็จะเห็นว่ามีความสอดคล้องกัน ในทางวิทยาศาสตร์ทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา ในสัปดาห์แรกมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อเล็กๆ คือ
ปุ่มเปือกนั่นเอง และมีรกห่อหุ้มเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีความคิดที่แตกแยกออกไปเกี่ยวกับกำเนิดของมนุษย์ ดังปราฏในนิทานเรื่อง
นางอัมพปาลิกา (อัมพปาลิคณิกา) ในนิทานเรื่องนี้ตัวเอกของเรื่องถือกำเนิดเป็นประเภทอุปปาติกะคือเกิดขึ้นเอง
และในวรรณคดีไทยเรื่องนางประทุมวดี และเรื่องลักษณวงศ์ ตัวเอกของเรื่องถือกำเนิดเป็นประเภทสังเสทชะ คือ เกิดในดอกบัว
ส่วนสาเหตุที่สตรีตั้งครรภ์ ทำให้มนุษย์กำเนิดมานั้น ในเรื่องไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่ามีสาเหตุอยู่ 7 ประการคือ
1. เพราะเสพสังวาสอยู่ร่วมกับบุรุษ
2. เพราะเอาเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มของชายที่ตนรัก มานุ่ง มาห่มชมเชยแทนตัวชาย
3. เพราะได้กินน้ำราคะของชายที่ตนรัก เหมือนแม่เนื้อของสิงคะดาบส ซึ่งมีเรื่องราว
เป็นทำนองว่านางเนื้อตัวหนึ่ง ได้ดื่มน้ำที่มีน้ำราคะของฤาษีตนหนึ่งปะปนอยู่โดยไม่ทราบ
ต่อมาก็ตั้งครรภ์และคลอดลูกเป็นคนแต่มีหน้าเป็นเนื้อ ภายหลังลูกของนางนี้ออกบวชเป็นดาบส
4. เพราะถูกชายลูบคลำเนื้อตัวและท้อง แล้วตนมีใจยินดี รักชายนั้น เช่น ปาลิกาดาบสนีแม่ของสุวรรณสามผู้เป็นพระโพธิสัตว์
5. เพราะตนรักบุรุษแล้วบุรุษนั้นกลายมาเป็นสตรีตนก็ยินดี
6. เพราะตนรักบุรุษแล้วจึงตั้งครรภ์ เพราะได้ยินเสียงบุรุษที่ตนรักใคร่ เจรจาพาทีก็เกิดยินดี ดังเช่น
แม่ไก่เพียงได้ยินเสียงไก่ตัวผู้ขันก็มีไข่ ดังนกยางซึ่งมีแต่ตัวเมีย ไม่มีตัวผู้ เมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องนางนกก็ไข่เอง
7. เพราะได้ดมกลิ่นบุรุษที่ตนรัก ดังแม่วัวที่ได้ดมกลิ่นดมอายวัวถึกและมีครรภ์ เป็นต้น

ฉะนั้น บรรดาคุณแม่มือใหม่ที่ไม่กล้าตอบคำถามลูก เมื่อถูกผู้เป็นลูกตั้งคำถามว่า แม่ครับ/แม่คะ หนูเกิดมาจากไหน ก็จงตอบลูกของท่าน
ไปว่า หนูเกิดมาจาก ชลามพุชะ อย่างไรล่ะลูก อันจักเป็นการสอนลูกๆ ในวิชาสุขศึกษาและพุทธศาสนาไปพร้อมๆกัน เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

ที่มา http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=tao



ผู้ตั้งกระทู้ กวินทรากร :: วันที่ลงประกาศ 2007-08-10 21:26:33


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (937605)
ควรให้ คมช มันอ่านบ้าง
ผู้แสดงความคิดเห็น camry วันที่ตอบ 2007-08-11 08:06:17


ความคิดเห็นที่ 2 (937606)
ควรให้ คมช มันอ่านบ้าง
ผู้แสดงความคิดเห็น camry วันที่ตอบ 2007-08-11 08:06:35


ความคิดเห็นที่ 3 (937607)
อ่ะนะ
ผู้แสดงความคิดเห็น กวิน วันที่ตอบ 2007-08-14 09:40:07


ความคิดเห็นที่ 4 (937608)

ดี ดี ดีม๊าก มาก คมช.อ่านแล้ว ส่งต่อให้ม็อบด้วยนะจ๊ะจะได้หายเครียด

ผู้แสดงความคิดเห็น ขิง ข่า ตะไคร้ วันที่ตอบ 2007-08-14 11:13:10



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.