ReadyPlanet.com


8 เล่มเข้ารอบซีไรต์ปี 50 กับกระแสคำถาม ความเคลือบแคลงและความกังขา !?


พลันสิ้นเสียงประกาศผลกวีนิพนธ์ 8 เล่ม เข้ารอบสุดท้ายชิงรางวัลซีไรต์ประจำ พ.ศ.2550 ก็เริ่มมีวงวิพากษ์พร้อมกับคำถามและความสงสัยกันไปต่างๆ นานา ว่าทำไมรุ่นใหม่ตบเท้าพาเหรดกันเข้ารอบ ในขณะที่กวีมือรางวัล รุ่นเก่ารุ่นใหญ่ ไฉนตกรอบอย่างน่ากังขา!?

 

ตามที่เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล คณะกรรมการคัดเลือกรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือ ‘ซีไรต์’ ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เสนอชื่อหนังสือ และกวีนิพนธ์ 8 เล่ม เข้ารอบสุดท้ายชิงรางวัลซีไรต์ประจำ พ.ศ.2550 จากทั้งหมดที่ส่งเข้าประกวดจำนวน 76 เล่ม

 

โดยกวีนิพนธ์ทั้ง 8 เล่ม ได้แก่ 1.เก็บความเศร้าไว้ให้พ้นมือเด็กเด็ก โดยศิริวร แก้วกาญจน์ จากสำนักพิมพ์แสงเงา 2.ที่ที่เรายืนอยู่ โดยอังคาร จันพาทิพย์ จากไชน์พับลิชชิ่ง 3.ปลายทางของเขาทั้งหลาย โดยกฤช เหลือละมัย จากสำนักพิมพ์แพรว 4.แมงมุมมอง โดยพรชัย แสนยะมูล จากสำนักพิมพ์ไม้ยมก 5.ฤดูมรสุมบนสรวงสวรรค์ โดยอุเทน มหามิตร (หนังสือทำมือ) 6.ลงเรือมาเมื่อวาน โดยศิริวร แก้วกาญจน์ จากสำนักพิมพ์ผจญภัย 7.โลกในดวงตาข้าพเจ้า โดยมนตรี ศรียงค์ จากสำนักพิมพ์สามัญชน 8.หมู่บ้านในแสงเงา โดยโกสินทร์ ขาวงาม จากเครือข่ายนักเขียนแห่งประเทศไทย

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้เข้ารอบสุดท้ายซีไรต์ปีนี้ มีบทกวีไร้ฉันทลักษณ์ถึง 2 เล่มคือ ‘เก็บความเศร้าไว้ให้พ้นมือเด็กเด็ก’ และ ‘ฤดูมรสุมบนสรวงสวรรค์’ มากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ที่อย่างมากจะผ่านเข้ารอบเพียง 1 เล่มเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผลการตัดสินจะทราบประมาณเดือนสิงหาคม และมีพิธีพระราชทานรางวัลซีไรต์ในวันที่ 12 ตุลาคมนี้ สำหรับคณะกรรมการคัดเลือกประกอบด้วย นายอดุล จันทรศักดิ์ ประธานกรรมการคัดเลือก กรรมการ ประกอบด้วย ผศ.ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา, นายพินิจ นิลรัตน์, นายพิเชฐ แสงทอง, นายวชิระ ทองเข้ม, ผช.ศ.ดร.สายวรุณ น้อยนิมิตร และ รศ.อวยพร พานิช

 

พลันมีการประกาศผลผู้เข้ารอบสุดท้ายซีไรต์ปีนี้ ก็เริ่มมีหลายฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกตกันไปต่างๆ นานาว่า งานส่วนใหญ่จะเป็นแนวคิดปัจเจกบุคคล และไม่ค่อยมีบทกวีที่สะท้อนภาพรวมของสังคมที่กำลังเข้มข้น ส่งเข้าประกวดมากนัก ซึ่งอาจทำให้หลายคนขัดอกขัดใจ เพราะมองว่าหน้าที่ของกวี คือ การสะท้อนสังคม

 

ทั้งนี้ นายอดุล จันทรศักดิ์ ประธานกรรมการคัดเลือกฯ บอกว่า เป็นการตีกรอบมากเกินไป เพราะแม้จะไม่แสดงความเห็นทางสังคมและการเมืองแบบตีแสกหน้า แต่ในความเป็นปัจเจกนั้นก็แฝงข้อคิดของชีวิตอยู่ร่ำไป

 

อีกประการหนึ่ง อดุลเชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะด้านการเมืองยังสดใหม่อยู่ ทำให้กวีสร้างสรรค์งานเพื่อรวมเล่มไม่ทัน

 

“จริงๆ แล้ว ช่วงนี้การเคลื่อนไหวของสังคมแรงมาก ไม่ว่าทั้งคุณทักษิณจะกลับมาได้หรือเปล่า พล.อ.สพรั่ง เป็นวีรบุรุษหรือไม่ คตส.จะทำอะไร แต่เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังมีนาคมทั้งนั้น ซึ่งหมดเขตส่งงานแล้ว ทำได้อย่างมากก็หลังเหตุการณ์ 19 กันยายน สัก 3 เดือน”

 

ส่วนที่มีบางคนสงสัยว่า การที่ซีไรต์ปีนี้ มีบทกวีที่คนอ่านไม่ต้องปีนบันไดอ่านให้เมื่อยเข้ารอบอยู่หลายเล่ม เกิดจากความตั้งใจของกรรมการที่ว่า อยากให้ซีไรต์เข้าถึงคนส่วนใหญ่ของสังคมหรือเปล่านั้น

 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา บอกว่า“ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ไม่รู้นะ แต่คิดว่ากรรมการพยายาม และกรรมการเองก็เป็นรุ่นใหม่ ความเห็นนี้ก็เป็นไปได้เหมือนกัน แต่ไม่กล้าฟันธง”

 

ส่วนข้อสงสัยที่ว่าซีไรต์หวังขยายกลุ่มคนอ่านหรือไม่นั้น นายพินิจ นิลรัตน์ กรรมการรอบคัดเลือกอีกคนหนึ่ง ก็ออกมากล่าวว่า ไม่เกี่ยวเลย เพราะซีไรต์ให้ความสำคัญกับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ไม่จำเป็นต้องเอาใจประชาชนในวงกว้าง

 

ขณะที่ นายพิเชษ แสงทอง กรรมการรอบคัดเลือกอีกคน กล่าวว่า สถานการณ์ครั้งนี้เป็นเสมือนการปลดแอกให้กับกวี หลังจากที่ผูกขาดกับความขรึมขลังศักดิ์สิทธิ์มาแสนนาน

 

“งานหลายเล่มที่เข้ารอบ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยปลดกวีออกจากหอคอยขอบฟ้า และอัญเชิญลงมาจากหิ้ง เพราะจะสื่อให้เห็นว่าเราสามารถเขียนกวีได้ โดยไม่จำเป็นต้องเกร็งและกลัว หลายคนจะรู้สึกว่ากวีมันต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ คนที่เขียนกวีต้องเป็นกวีมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ก็เลยมีความเกร็งและกลัวที่จะเสพที่จะสร้าง ถึงกับมีคำพูดว่า ถ้ากวีเดินผ่านมา นักเขียนจะต้องลุกขึ้นโค้งคำนับ วิธีคิดแบบนี้ยิ่งทำให้สังคมและคนทั่วไปถอยห่างจากกวีมากขึ้น”

 

อย่างไรก็ตาม ได้มีเสียงสะท้อนหลังการประกาศบทกวี เข้ารอบ 8 เล่มสุดท้าย ‘รางวัลซีไรต์’ ปีนี้ ว่า กวีหน้าใหม่ บางคนเพิ่งพิมพ์รวมเล่มครั้งแรก พาเหรดกันเข้ารอบ ขณะที่ กวีที่มีผลงานต่อเนื่องยาวนาน ได้รับการยอมรับในวงการอย่างกว้างขวาง กวาดมาหลายสถาบัน กลับร่วงตกรอบ อย่างน่ากังขา...จนเกิดคำถามตามมาว่ามาตรฐานอยู่ตรงไหน และ กรรมการคัดเลือกชุดนี้ มีประสบการณ์มากน้อยเพียงใด คงต้องตอบคำถามคนในแวดวงกวีและประชาชนได้

 

ล่าสุด หลังจากที่ทราบผลการประกาศเข้ารอบสุดท้ายชิงรางวัลซีไรต์ประจำ พ.ศ.2550 รวมทั้งทราบข่าวคำให้สัมภาษณ์ของคณะกรรมการรอบตัดสินที่ได้แสดงทัศนะที่บอกว่า การเข้ารอบของ 8 กวีรุ่นใหม่ นี้จะช่วยปลดกวีออกจากหอคอยขอบฟ้าและอัญเชิญลงมาจากหิ้ง นั้น ได้สร้างความไม่พอใจต่อบรรดากวีนักเขียนหลายกลุ่มที่มุ่งมั่นทำงานกันมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน และออกมาแสดงความรู้สึกเคลือบแคลงกังขาต่อทัศนะคติของกรรมการชุดดังกล่าว ว่าได้มีอคติต่อความเป็นกวีรุ่นก่อน ซึ่งอาจจะส่งผลสะเทือนต่อสถาบันกวีในเมืองไทยนี้หรือไม่

 

 

.............................

ที่มาและเรียบเรียง

มติชนรายวัน (10 ก.ค.50)

คอลัมน์: แวดวงรอบกรุง นสพ.ไทยรัฐ (12 ก.ค.50)

คอลัมน์บันเทิง-วรรณกรรม มติชนรายวัน (14 ก.ค.50)

 

ปล.คัดมาจากhttp://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=8839&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai



ผู้ตั้งกระทู้ ผู้สื่อข่าวบ้านไพร :: วันที่ลงประกาศ 2007-07-14 18:39:14


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (937454)
เบื้องหลังโต๊ะบก.

8 เล่มสุดท้าย

กวีนิพนธ์รางวัลซีไรต์ 2550

หนุ่มบางนา

-----------------------------------

หลังจากลุ้นกันมาพอหอมปากหอมคอ..ในที่สุดก็ได้ทราบผลกันไปแล้วว่ากวีนิพนธ์เล่มใดบ้างที่โดนใจคณะกรรมการและผ่านเข้ารอบสุดท้าย "รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน" (ซีไรต์) ประจำปี 2550

งานแถลงข่าวประกาศผลรางวัลซีไรต์รอบแรก ประเภทกวีนิพนธ์ ประจำปี 2550 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่าน ณ โรงแรมโอเรียนเต็ล โดยมี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ประธานคณะกรรมการดำเนินงานรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน เป็นประธานการแถลงข่าว พร้อมด้วยคณะกรรมการคัดเลือก ประกอบด้วย อดุล จันทรศักดิ์ ประธานกรรมการ และผศ.ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา, พินิจ นิลรัตน์, พิเชฐ แสงทอง, วชิระ ทองเข้ม, ผศ.ดร.สายวรุณ น้อยนิมิตร และรศ.อวยพร พานิช กรรมการ

ผลปรากฏว่าคณะกรรมการคัดเลือกได้มีมติเอกฉันท์ให้เสนอหนังสือกวีนิพนธ์ 8 เล่มจากจำนวนทั้งหมด 76 เล่ม ผ่านเข้ารอบให้คณะกรรมการรอบตัดสินได้พิจารณา ดังมีรายชื่อต่อไปนี้

1.เก็บความเศร้าไว้ให้พ้นมือเด็กเด็ก ของ ศิริวร แก้วกาญจน์ บทกวีที่นำเสนอสาระเกี่ยวกับจิตวิญญาณของมนุษย์ที่ตกอยู่ในพันธนาการของสังคม ด้วยมุมมองที่ทั้งขื่น ทั้งขัน ทั้งอ่อนโยน แต่บางครั้งก็ตรงไปตรงมา กวีได้ใช้สายตาอันประณีต ละเอียดอ่อนสำรวจโลก สังคม ชีวิต บอกเล่าด้วยถ้อยคำโวหารกวี เป็นบทกวีที่จรรโลงอารมณ์อันประณีตของมนุษย์ ในโลกยุคบริโภควัตถุ ตัวเลข และเทคโนโลยี แม้จะเป็นเสียงแผ่วเบา แต่ก็เป็นเสียงตอกย้ำให้สังคมเชื่อว่ามนุษย์ยังมีคุณค่า

2.ที่ที่เรายืนอยู่ ของ อังคาร จันทาทิพย์ เป็นกวีนิพนธ์ร่วมสมัยอีกเรื่องหนึ่งที่มุ่งนำเสนอในสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่-เป็นไปของสังคม โดยมองจากที่ที่ "เรา" ยืนอยู่ด้วยสายตาของกวี กวีผู้เสมือนดวงตาที่สาม จึงย่อมมองสิ่งต่างๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ใคร่ครวญ ทั้งได้หยิบเอาเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานำเสนอเป็นเครื่องมือหรือ "ทางผ่าน" พาไปสู่สภาพจริงของสังคมไทยที่เราพบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง

3.ปลายทางของเขาทั้งหลาย ของ กฤช เหลือลมัย กวีนิพนธ์ที่ชวนสนทนากันถึงการเดินทาง การตั้งคำถามถึงการดำเนินชีวิต ว่ายังสบายกันดีอยู่หรือ เมื่อรากที่ก่อกำเนิดมาขาดหาย กวีเปิดใจกว้าง สำรวจสัญลักษณ์และความหมายในรูปรอยอารยธรรม และวัฒนธรรมที่บิดเบือนผิดไปจากรูปเดิม กอปรกับความไม่รู้ของคนร่วมสมัย และอวิชชาอันมืดบอดในตัวตน แม้จะเป็นยุคไฟสว่าง แต่ก็เหมือนเดินอยู่ในทางที่มืดสนิท

4.แมงมุมมอง ของ พรชัย แสนยะมูล กวีนิพนธ์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัว ได้แก่ เด็ก พ่อแม่ ครู สังคมเมือง-ชนบท และการปกครองภายใต้รัฐบาลทหาร ลีลากลอนมักเป็นกลอนสั้นๆ เรียบง่าย ไม่อลังการหรูหรา แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน หยิกแกมหยอกตลอดเรื่อง โดยจะหยิบคำพังเพยที่ว่า "กวีมักไส้แห้ง" เปลี่ยนมาเป็น "กวีไส้ชุ่ม" คือเต็มไปด้วยเงินทองหรือเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระ สร้างความฉงนให้กับผู้อ่าน

5.ฤดูมรสุมบนสรวงสวรรค์ ของ อุเทน มหามิตร เป็นกวีนิพนธ์แนวเหนือจริงที่อุดมด้วยพลังแห่งจินตนาการ กวีได้เสกแมลง หิ่งห้อย นกหก พงไพร กระทั่งตะวัน ดาว และเดือนให้มีชีวิต ทั้งโลดเต้น ยิ้มแย้ม เปล่งแสง ส่งเสียง จุมพิต ลิงโลด และเงียบขรึม ทุกอิริยาบถของสรรพสิ่งประทะสังสรรค์ด้วยอารมณ์อันหลากหลาย กวีมีความสุขที่จะใช้จินตนาการชอนไชไปพินิจเพ่งมองทุกอณูแห่งมวลสสารด้วยความอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด

6.ลงเรือมาเมื่อวาน ของ ศิริวร แก้วกาญจน์ กวีนิพนธ์ที่พรรณนาอารมณ์ความรู้สึกสะเทือนใจของกวีที่มีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ ในสังคม หลายบทเป็นการตั้งคำถามกับวันคืนที่ผ่านไปในกระแสธารของกาลเวลา กวีชี้ชวนให้ขบคิดถึงความสำคัญของการดำรงอยู่และความเป็นไปของวัฏจักรชีวิต แม้ว่าจะเป็นสัจธรรมที่รับรู้กันโดยทั่วไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนำเรื่องราวชีวิตเล็กๆ เหล่านั้นมาตกแต่งร้อยเรียงด้วยถ้อยคำกวี

7.โลกในดวงตาข้าพเจ้า ของ มนตรี ศรียงค์ รวมบทกวีนิพนธ์ชุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของกวีร่วมสมัยที่ต้องการหลุดพ้นไปจากข้อจำกัดทางฉันทลักษณ์อันเบ็ดเสร็จและตายตัวแบบกวีอนุรักษนิยม ขณะเดียวกันก็ยังคงยอมรับถึงความงดงามของมรดกทางวรรณกรรมชิ้นนี้ด้วยการหยิบเอาโครงสร้างใหญ่ของฉันทลักษณ์กลอนสุภาพมาใช้ จึงทำให้เป็นกวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์ที่มีอิสระทั้งทางด้านจังหวะ เสียง และลีลา ก่อความรู้สึกแปลกใหม่ ไม่คุ้นเคยให้กับผู้อ่าน

8.หมู่บ้านในแสงเงา ของ โกสินทร์ ขาวงาม กวีนิพนธ์บันทึกเส้นสีแห่งชีวิตในสังคมชนบท ลักษณะเหมือนบันทึกย้อนทวนสายธารแห่งชีวิต กลับไปสู่หมู่บ้าน ซึบซับความหลังครั้งเยาว์วัย มีสีสันและแสงเงาหวานล้ำลึกเป็นองค์ประกอบ มีอารมณ์กวีและฝีมือของคนเขียนที่เป็นศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต เป็นผู้ร้อยเรียงปรุงแต่ง โดยเลือกใช้วรรณศิลป์แบบฉันทลักษณ์อันราบรื่นและลงตัว

น่าสังเกตว่ากวีนิพนธ์ที่ผ่านเข้ามาในรอบสุดท้ายทั้ง 8 เล่มล้วนแต่เป็นกวีหนุ่มรุ่นกลางและรุ่นใหม่ที่ส่วนใหญ่มีผลงานตีพิมพ์ออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารอย่างต่อเนื่อง ที่น่าจับตามองคือกวีนิพนธ์ของ "ศิริวร แก้วกาญจน์" ที่ผ่านเข้ารอบมาได้ถึงสองเล่ม นั่นคือ "เก็บความเศร้าไว้ให้พ้นมือเด็กเด็ก" และ "ลงเรือมาเมื่อวาน" ถือเป็นการเข้ารอบซีไรต์มาเป็นครั้งที่สองในประเภทกวีนิพนธ์ ไม่รวมเรื่องสั้นและนวนิยายที่เคยผ่านเข้ามาถึงรอบสุดท้ายด้วยเช่นกัน

ส่วนกวีหนุ่มรุ่นใหม่ถอดด้ามที่มีผลงานรวมเล่มเป็นครั้งแรกและสามารถผ่านด่านสุดท้ายมาได้คือ "โกสินทร์ ขาวงาม" เจ้าของกวีนิพนธ์ชุด "หมู่บ้านในแสงเงา" น้องชายแท้ๆ ของกวีซีไรต์ "ไพวรินทร์ ขาวงาม" นั่นเอง รวมถึง "กฤช เหลือลมัย" กวีที่ไม่ค่อยเปิดเผยตัวมากนักก็ผ่านฉลุยเข้ามาด้วย นอกจากนี้ยังมี "อุเทน มหามิตร" เจ้าของกวีนิพนธ์ชื่อ "ฤดูมรสุมบนสรวงสวรรค์" ซึ่งเป็นหนังสือทำมือเพียงเล่มเดียวที่เอาชนะใจกรรมการและสามารถผ่านด่านแรกมาได้

นอกเหนือจากนั้นไม่ว่าจะเป็น "อังคาร จันทาทิพย์" และ "มนตรี ศรียงค์" รวมทั้ง "พรชัย แสนยะมูล" ถือได้ว่าเป็นกวีหนุ่มที่มีผลงานตีพิมพ์ออกมาอย่างต่อเนื่องและเป็นที่น่าจับตามอง

ภาพรวมของกวีนิพนธ์ที่ส่งเข้าประกวดปีนี้ ศ.ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา มองว่ามีความหลากหลาย "แต่ว่าที่เห็นมากคือกวีนิพนธ์ที่เป็นขนบยังเยอะมากๆ ทั้งขนบในแง่ความคิดที่เดินตามเขียนตามกันมา ส่วนที่เป็นฉันลักษณ์ยังตามรอยกลอนรอยโคลงต่างๆ ลีลากลอนลีลาโคลงต่างๆ ยังเป็นขนบ ส่วนเล่มที่เข้ารอบมาตรงนี้จะมีข้อน่าสังเกตว่ามันจะมีส่วนเป็นขนบเหมือนกัน แต่ว่าเป็นขนบที่แสดงฝีมือที่ค่อนข้างจะนิ่ง อย่างงานของ "โกสินทร์ ขาวงาม" ที่ใช้ฉันทลักษณ์กลอน และจะมีกลุ่มที่แตกออกไปในแง่ลีลากลอนอย่างของ "ศิริวร แก้วกาญจน์" หรือ "กฤช เหลือลมัย" จะได้ยินวรรคหนึ่งสิบสองคำ

ปีนี้น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่ากลอนเปล่าหรือบทกวีไร้ฉันทลักษณ์ผ่านเข้ารอบมาหลายเล่ม เฉพาะที่เลือกเข้ามาอย่างน้อยจะมีอยู่สามเล่ม ทั้งผลักทั้งดันกันเข้ามา เพราะคิดว่าควรจะส่งเสริมบทกวีไร้ฉันทลักษณ์เหมือนกัน และบทกวีไร้ฉันลักษณ์มันจะมีคุณค่าอีกแนวหนึ่งคือจะเต็มไปด้วยจินตภาพและจินตนาการ"

กว่าจะได้กวีนิพนธ์ทั้ง 8 เล่มสุดท้าย อดุล จันทรศักดิ์ ยืนยันว่าถกเถียงกันเข้มข้นมาก รวมทั้งสองเล่มของ "ศิริวร แก้วกาญจน์" ที่ผ่านเข้ารอบมาด้วย

"ประเด็นนี้พูดกันตั้งแต่แรกว่าหนังสือโดยคนเขียนคนเดียวกันเข้าสองเล่มได้หรือไม่ อันนี้ผมเป็นคนเสนอปัญหานี้ขึ้นมา คนที่เป็นกรรมการปีที่แล้วบอกว่าได้ เพราะนวนิยายปีที่แล้วของ "ประชาคม ลุนาชัย" ยังเข้ารอบสองเล่ม ฉะนั้นไม่มีข้อถกเถียงอีกต่อไป คุณภาพโดยรวมของทั้ง 8 เล่ม ถ้าพูดในนามคณะกรรมถือว่าโอเค ไม่อาจจะบอกได้ว่าเล่มไหนได้คะแนนน้อยกว่าเล่มไหน แต่ถกเถียงกันเยอะว่างานไร้ฉันทลักษณ์ถึงหรือไม่ถึง งานกวีนิพนธ์นั้นไม่ว่าจะมีฉันทลักษณ์หรือไม่มีฉันทลักษณ์ มันอยู่ที่ว่าถึงหรือไม่ถึง คุณเขียนบทกวีไร้ฉันทลักษณ์ คุณเขียนให้มันกระทบใจได้ คุณเขียนให้มันกระทบต่อสังคมได้ อยู่ที่ถึงหรือไม่ถึง"

ส่วนประเด็นคำถามของ รศ.นิตยา มาศะวิสุทธ์ ที่ตั้งข้อสังเกตว่ากวีนิพนธ์ทั้ง 8 เล่มที่เข้ารอบมานั้น ในแง่เนื้อหา ความคิด หรือธีมได้เปลี่ยนไปจากงานซีไรต์ยุคต้นๆ คือไม่มีการวิพากษ์สังคม แต่จะเป็นเรื่องค่อนข้างส่วนตัวหรือความสัมพันธ์ระหว่างคน ไม่เหมือนอย่างงานตั้งแต่สมัย "เพียงความเคลื่อนไหว" ของ "เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์" หรืองานของ "คมทวน คันธนู" ที่ค่อนข้างจะดุเดือด

ดร.ธเนศ แจงว่า "ส่วนที่เป็นลักษณะวิพากษ์วิจารณ์สังคมเหมือนในยุคต้นๆ จะน้อยลงจริงๆ คือไม่ค่อยเห็น อาจจะมีอยู่สองสามเล่ม คณะกรรมการก็พูดถึงอยู่เหมือนกัน จำได้ไว้ว่าเล่มหนึ่งเขียนตามคอนเซปต์เดิมเลย คือ การต่อสู้ทางการเมือง และลีลากลอนดีมาก แต่ว่าเข้ารอบมาไม่ได้เพราะว่ามันเชยไปหมดแล้ว คือเรามองถึงความเข้ากับยุคสมัยตรงนี้ด้วย มันซ้ำกับวาทกรรมชุดเดิม ลีลากลอนมาทั้งคุณเนาวรัตน์ทั้งคุณไพวรินทร์ รวมอยู่ในเล่มทั้งหมด เพราะฉะนั้นเรามองว่ามันขาดความคิดสร้างสรรค์ ขาดความคิดริเริ่ม

อีกเล่มหนึ่งที่มีลักษณะวิจารณ์สังคมการเมืองเหมือนกันและค่อนข้างจะร่วมสมัย เล่มนี้ก็มีการถกเถียงกันมากเหมือนกัน และฝีมือก็ไม่เลว แต่พอเข้ามาตรงนี้ก็ตกไป เพราะว่าเล่มอื่นๆ มันมีจุดเด่นที่จะอภิปรายกันมากกว่า แต่เห็นด้วยว่ากวีนิพนธ์ที่วิจารณ์สังคมตรงๆ หรือว่าวิจารณ์สังคมอย่างเข้มข้นค่อนข้างจะน้อยมาก"

ด้าน พินิจ นิลรัตน์ คอลัมนิสต์สายวรรณกรรมที่รับบทกรรมการคัดเลือกด้วย กล่าวว่า "ภาพรวมที่ผมเห็นทั้ง 76 เล่มยังพูดถึงเรื่องธรรมชาติ มีความสุขกับธรรมชาติ ซึ่งเรื่องแนวนี้เขียนกันมาเยอะแล้ว ถ้าเขียนไม่ดีกว่าเก่าก็กลายเป็นเรื่องเชยไป นอกจากนั้นกวีก็ยังมีพร่ำเพ้ออยู่กับตัวเองอีกเยอะเหมือนกัน ส่วนคำถามต่อเนื่องถึงงานสถานการณ์นับว่ามีหลายเล่ม แต่ว่านำเสนออย่าง "เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์" ซึ่งเป็นงานที่นำเสนอมาตั้งแต่ยุคก่อน 14 ตุลา หรือ 6 ตุลา คนมาทำทีหลังยังทำได้ไม่ดีเท่า ไม่ถึงขั้น ตรงนี้เลยตกไป ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ถ้านำเสนอไม่ดี ไม่มีเชิงชั้นในการนำเสนอ มันเป็นเรื่องเชยๆ

ในส่วนที่พูดถึงสถานการณ์พูดถึงสังคมหรือการเมือง มันก็ยังพอมี แต่ว่าด้วยรูปแบบการนำเสนอที่แปลกใหม่อย่างของ "อังคาร จันทาทิพย์" ก็นำเสนอประเด็นสังคมการเมืองเหมือนกัน หรือแม้แต่งานของ "พรชัย แสนยะมูล" ก็ยังแทรกเรื่องการเมืองเข้าไป แต่ว่าด้วยอารมณ์ขันทำให้เขาทำได้แนบเนียน ผมว่าถ้าไปอ่านดูก็จะได้เห็นเสน่ห์ในจุดนั้น"

ขณะที่ พิเชฐ แสงทอง กล่าวเสริมบ้างว่า "ผมคิดว่าถ้าหากดูจากผลงานพบว่ามีอยู่หลายกลุ่มหลายพวก กลุ่มหนึ่งยังคงขนบแบบเก่าอยู่ คือมีความเคร่งครัดในการเขียนฉันทลักษณ์และเคร่งครัดในการที่จะสะท้อนมุมมองและปัญหาซ้ำๆ และมีอยู่กลุ่มหนึ่งพยายามที่จะแชร์ระหว่างการวิพากษ์สังคมกับการพูดถึงเรื่องส่วนตัวด้วยการใช้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับส่วนตัว เพื่อที่จะสะท้อนกลับไปสู่คนอ่านให้นึกคิดได้ว่าพวกเขาพูดถึงสังคมอย่างไร

อีกกลุ่มหนึ่งพยายามเบี่ยงหลุดออกมาจากขั้วเดิมเลย คือจากการสะท้อนสังคมมาสู่การสะท้อนภาวะปัจเจกชน ในแง่หนึ่งสามารถมองได้ว่าเป็นลักษณะกวีนิพนธ์ที่สะท้อนสังคมแบบหนึ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อความสัมพันธ์ของคนมันเปลี่ยนแปลงไปจากยุคทศวรรษ 2520 มาเป็นเพื่อชีวิต เกิดงานสร้างสรรค์ยุคแรกขึ้นมา มีความพยายามสลายความคิดเรื่องชนชั้น สลายความแตกต่าง ยุคหลังความสัมพันธ์ทางชนชั้นแม้ว่าจะยังมีอยู่ แต่ว่ามันถูกทำให้เลือนหายด้วยวิธีการต่างๆ ของความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ทางชนชั้นเป็นประเด็นที่ถูกปิดพราง

กวีหันกลับมาย้อนถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคล ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่อคน ความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมเล็กๆ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยกับเด็กผู้หญิงในเวบแคมและความสัมพันธ์ระหว่างคนแปลกหน้าสองคนที่คุยกันทางเอ็มเอสเอ็นของ "มนตรี ศรียงค์" ซึ่งมันเป็นการสะท้อนภาวะปัจเจกบุคคล ขณะเดียวกันการสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลยังสื่อสารไปถึงลักษณะโดยรวมของสังคมได้ คิดว่าการสะท้อนสังคมมันยังไม่หายไป แต่ว่ามันเปลี่ยนรูปไป"

หลังจากนี้ไปประมาณเดือนสิงหาคมถึงจะมีการประกาศผลว่าใครจะเป็น "กวีซีไรต์" คนล่าสุด ระหว่างนี้ชอบเล่มไหนก็ลุ้นเอาใจช่วยกันไปพรางๆ ก่อน 0

ผู้แสดงความคิดเห็น ผู้สื่อข่าวบ้านไพร วันที่ตอบ 2007-07-15 13:44:02


ความคิดเห็นที่ 2 (937455)
สืบเนื่องมาจาก

http://www.thaipoet.net/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&Category=thaipoetnet&thispage=1&No=233984
ผู้แสดงความคิดเห็น กวิน วันที่ตอบ 2007-07-19 11:36:18


ความคิดเห็นที่ 3 (2099843)
and burrows into forests ugg boot ugg ugg shoes it is surprising to find such a trail in an immersive natural setting literally tucked into a suburban area bailey button boots
ผู้แสดงความคิดเห็น rolex วันที่ตอบ 2010-08-25 17:29:39


ความคิดเห็นที่ 4 (2100394)
designer handbags for sale gs and other euro handbag stylist sales the bag is heavy leather design and thick jewelry western men"s louis vuitton bag lv handbags lock replica bags you are euro handbag
ผู้แสดงความคิดเห็น replica watches วันที่ตอบ 2010-08-25 21:50:41


ความคิดเห็นที่ 5 (2107278)

instant weave remi human hair can change your look You wigs suddenly have long silken tresses for a blonde wig american hair extensions.

ผู้แสดงความคิดเห็น baig (casaba-at-live-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-11 09:03:47


ความคิดเห็นที่ 6 (2107513)

price of hair extensions remi human hair themselves Above all if youre wigs you about a hundred dollars a good long hair wigs remi hair.

ผู้แสดงความคิดเห็น savannah (longines-at-google-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-11 11:00:10


ความคิดเห็นที่ 7 (2111437)
women"s boots women"s boots slippers for women slippers for women classic tall uggs classic tall uggs womens boots womens boots
ผู้แสดงความคิดเห็น invicta watches วันที่ตอบ 2010-09-22 01:35:39


ความคิดเห็นที่ 8 (2111439)
uggs uggs uggs uggs boots boots classic short ugg boots classic short ugg boots
ผู้แสดงความคิดเห็น rolex watches วันที่ตอบ 2010-09-22 01:38:53


ความคิดเห็นที่ 9 (2117735)
boots boots uggs uggs women"s boots women"s boots ugg boots free delivery ugg boots free delivery
ผู้แสดงความคิดเห็น omega watches วันที่ตอบ 2010-10-11 14:20:15


ความคิดเห็นที่ 10 (2145493)
diamond engagement rings, diamond engagement rings mens gifts, mens gifts crystal decanter, crystal decanter tiffany & co, tiffany & co
ผู้แสดงความคิดเห็น replica watches วันที่ตอบ 2011-01-15 10:45:13


ความคิดเห็นที่ 11 (2145546)
charm bracelet, charm bracelet emerald cut emerald ring, emerald cut emerald ring diamond necklaces, diamond necklaces mens rings, mens rings
ผู้แสดงความคิดเห็น guess watches วันที่ตอบ 2011-01-15 11:53:43



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.