ReadyPlanet.com


เธอผู้หายไป


หน้าตา ฟ้าและดิน
พร้อมเพลงพิณ แห่งท้องทุ่ง
เจริดแจรง จรัสจรุง
ในเมืองกรุง ไม่มีแล้ว

เหล่านั้น พลันหายไป
พร้อมกับใจ ที่ผ่องแผ้ว
ป่าปูน ผุดเป็นแนว
เป็นทิวแถว กั้นใจคน
 



ผู้ตั้งกระทู้ ยุวกวี รุ่น ๑๙ :: วันที่ลงประกาศ 2011-02-12 20:46:47


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2153104)

 

ตอนผมเป็นเด็กๆ (ประมาณ พ.ศ. 2505) ณ ท้องทุ่ง ต.บางนา อ.พระโขนง จ.พระนคร (ปัจจุบันอยู่บริเวณ กม.ที่ 2.5 ถนนบางนาตราด)

ทุกๆ เช้าผมจะเห็นคุณตาพร้อมด้วยสวิงในมืออยู่ในคลองเล็กๆ กำลังช้อนกุ้งจากริมคลองเล็กในทุ่งนานั้น ทราบภายหลังว่าเมื่อช้อนกุ้งได้ก็จะนำไปตากแดด (เดี๋ยวนี้คงจะเรียกว่า "กุ้งแดดเดียว" น่ะ)

และทุกๆ เย็นเมื่อกำลังเดินกลับจากโรงเรียน ผมจะได้ยินเสียงคุณยายตำกะปิจาก "กุ้งแดดเดียว" ที่คุณตาช้อนด้วยสวิงในตอนเช้าๆ น้น

เวลาเดินกลับจากโรงเรียนในตอนบ่ายๆ แก่ๆ นั้น ท้องทุ่งนานั้นเหลืองเรืองรองไปสุดสายตา ไม่ต่างไปจากคำบรรยายในเพลง "ทุ่งรวงทอง" ประการใดเลย หลับตาลงคราใดก็ยังคงเห็นภาพนั้นอยู่จนทุกวันนี้

ในตอนกลางคืนทั้งท้องทุ่งจะสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากปลายปล่องโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ใครเดินไปไหนก็มองเห็นกันหมด

ในตอนค่ำวันที่มีพิธีปิดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 5 ผมนั่งอยู่ริมระเบียงบ้าน มองประกายไฟสวยสดจากพลุที่จุดจากสนามศุภชลาศัย พร้อมๆ กับฟังเสียงบรรยายด้วยความตื่นเต้นของผู้บรรยายผ่านทางวิทยุทรานซิสเตอร์

เอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 5 นั้นสร้างวีรบุรุษมากมาย ทั้ง "ชัยยะ สุขจินดา-นักยกน้ำหนักเหรียญทอง" "ปรีดา จุลมณฑล-นักปั่นจักรยานเหรียงทอง" และแม้กระทั่ง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกเธออุบลรัตน์ราชกัญญา (พระยศในขณะนั้น) -นักกีฬาเรือใบมด " (ต้องขอกราบประทานอภัยไว้ ณ ที่นี้ หากข้อมูลที่กล่าวถึงจะผิดพลาด เพราะเวลาได้ผ่านมานานมากนักหนาแล้ว และในตอนนั้นผู้เขียนก็ยังเด็กอยู่มาก จำได้เท่าใดก็เขียนไปเท่านั้น....)

ผมกับเพื่อนๆ เคยเดินไปตามทุ่งนา กินน้ำในรอยตีนควาย น้ำนั้นช่างใสสะอาด กินแล้วชื่นใจเหลือที่จะพรรณาได้

 

วันหนึ่ง ทางทิศตะวันตก ที่นั่นเป็นโคกใหญ่ มีต้นมะตูมใหญ่หลายต้น ผมและเพื่อนๆ เคยเก็บมาต้มน้ำกินด้วยแหละ จำได้ว่าเขาเรียกชื่อโคกนี้ว่า "โคกตาฐี (ตาคนนี้แกคงจะเป็นเศรษฐีละกระมัง ก็ไม่รู้ เพราะว่าตอนนั้นเด็กเล็กอยู่มากๆ)"

โคกที่ว่านั่นแหวกแหลกเป็นทางด้วยรถแทรกเตอร์ ทราบภายหลังว่าเป็นการกรุยทางสร้างถนนสายใหม่ "บางนา-ตราด"

ถนนสายนั้นเปิดด้วยการขับรถพุ่งชนริบบิ้นเพื่อประกอบพิธีเปิดโดยจอมพลถนอม กิตติขจร (ประมาณ พ.ศ. 2509)

 

ในวันนี้ ขณะนี้ วินาทีนี้ ไม่มีใครได้เห็น ไม่มีใครได้สัมผัส สิ่งที่ผมได้บรรยายไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

ทุ่งนาหายไป น้ำในรอยตีนควายกินไม่ได้

 

ในขณะที่อ่านข้อความของ "ยุวกวีรุ่น ๑๙"

ภาพเก่าๆ ยังอยู่ในดวงใจ แต่ภาพใหม่ๆ ในดวงตามันไม่ใช่

อ่านไป ร้องไห้ไป ครุ่นคิดถึงไป

คิดถึงจังเธอจังเลย... คิดถึง.. "เธอผู้หายไป"...

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ส.พิณแก้ว วันที่ตอบ 2011-02-12 23:15:33


ความคิดเห็นที่ 2 (2153159)

คุณ ส.พิณแก้ว ครับ

ผมอ่านและจินตนาการตามข้อความที่คุณได้บรรยายภาพที่อยู่ในดวงใจของคุณไว้ข้างต้น

งดงาม... ช่างเป็นภาพที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง

ผมรู้สึกเสียดายและเสียใจ ที่มิอาจสัมผัสภาพที่ตราตรึงอยู่ในใจ เฉกเช่นที่คุณเคยสัมผัส

ผมได้เพียงแต่จินตนาการ สมมติว่าหมอกควันคือเธอผู้นั้น

เธอผู้มาปลอบโยนในห้วงฝัน ....

เมื่อผมตื่น เธอผู้นั้นก็พลันหายไป หายไป

 

ผมคงพบเจอเธอได้แต่ภาพในความฝันกระมัง

ผู้แสดงความคิดเห็น ยุวกวีรุ่น ๑๙ วันที่ตอบ 2011-02-13 11:30:31


ความคิดเห็นที่ 3 (2153272)

 

เราสองต่างมีสิ่งที่เคยเป็นประสบการณ์พิมพ์ไว้เป็นภาพในดวงใจ

ภาพที่คุณเจอแต่ในความฝันนั้น ผมก็มีเช่นเดียวกัน แล้วมันก็พล้นหายไป หายไป เช่นเดียวกัน

คงได้แต่ปลอบใจเราว่า "ยังเป็นโชคดีของเราที่ได้มีภาพดีๆ จารึกไว้ในความฝันนั้น แม้ว่าจะมองหามันไม่พบเจอเลยในวันนี้ก็ตาม..."

เข้าใจคุณนะ ผมก็เคยมี "ผู้ที่พลันหายไป หายไป นั้น..."  แล้วก็เป็นคนจริงๆ ที่พลันหายไป หายไป ไม่ใช่เพียงแค่พบเห็นในฝันเท่านั้นหรอก...

นานมาแล้ว (ตั้งแต่ พ.ศ. 2515) ก็ยังไม่ได้มีโอกาสพบตัวตนของเธอคนนั้นอีกเลย เพราะเธอพลันหายไป หายไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นานแล้ว นานเหลือเกิน.... แล้วก็คงไม่ได้เห็นหรอก นอกจากในความฝัน เพราะเธอไม่มีโอกาสฟืนคืนชีพมาได้หรอก นอกจากในความฝันของผมเท่านั้น....

ขอบคุณ ที่ช่วยจุดประกายแห่งความฝัน (ที่ไม่มีวันกลับมาเป็นจริงได้อีกเลย) ขอบคุณมาก จริงๆ นะ....

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ส.พิณแก้ว วันที่ตอบ 2011-02-13 22:30:22


ความคิดเห็นที่ 4 (2153643)

ตัดสินใจกอยู่หลายวัน อดไม่ได้ต้องเอาซะหน่อย ผมเขียนกลอนสำนวนนี้ไว้ ๒ ปีมาแล้ว กำลังรวมเล่มจะออก เดือนหน้า ในความรู้สึกเดียวกันเลยเลยเอามาลง แบ่งปัน แต่ต้องขอโทษไว้ล่วงหน้าถ้าหากจะกลายเป็นผู้นำขยะเข้ามารกกระทู้ นะครับ

 

                                                                                            ฝนเศร้า

                           

                             เสียงกบเขียดในทุ่งนาในหน้าฝน              มันอึงอลออดเอียดคล้ายเสียดสี

                   เคยมีคนร่วมฟังมาทั้งปี                                      แต่ฝนนี้เริ่มต้นฟังคนเดียว

                   เคยแปลความมาได้ตั้งหลายอย่าง                     ว่าร่วมกันก้าวย่างในทางเปลี่ยว

                   กบว่าเบียดเขียดว่าหนาวทุกคราวเชียว               จึงเกาะเกี่่ยวชิดใกล้รวมใจกัน

                   ความเจริญเดินเข้ามาถึงหน้าตัก                         ธรรมชาติสุดรักเริ่มแปรผัน

                   ดินมาถมทุ่งนาตรงหน้านั้น                                บ้านจัดสรรจ่อสร้างอย่างเต็มตัว

                   ถ้ากบเขียดหายไปในตอนแรก                          คงเปลี่ยนแปลกเปลี่ยวเหงาซึมเศร้าทั่ว

                   คงเงียบเชียบวังเวงน่าเกรงกลัว                         คืนฟ้าหม่นฝนมัวคงหมองใจ

                   นี่เธอมีคู่จรไปก่อนเขียด                                   ทิ้งฉันเบียดขอบระเบียงฟังเสียงใส

                   แปลความว่าเพื่อนทั้งปวงนี้ห่วงใย                     มาตากฝนประชดใครให้ทรมาน

                   แต่สิ่งใหม่มาแย่งที่ที่เคยสุข                             คนอมทุกข์ท้อใจใครสงสาร

                   สิ้นกบเขียดไปตามรักต้องดักดาน                      ขอยืนต้านตากฝนจนหนาวตาย.../

 

                                                    สมศักดิ์    ศรีเอี่ยมกูล    นักกลอนครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น สมศักดิ์ ศรีเอี่ยมกูล นักกลอนครับ (somsak-poet-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-02-15 10:44:50



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.