![]() |
หน้าหลัก | ข้อมูลสมาคม | บทความ | บทร้อยกรอง | ข่าวสารประชาสัมพันธ์ | กิจกรรม | กระทู้ | หนังสือ | ร้อยกรองออนไลน์ |
ลูกน้อยกลอยใจ | |
. | |
ผู้ตั้งกระทู้ *************กวิน :: วันที่ลงประกาศ 2008-07-12 13:50:39 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1799981) | |
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น กวิน วันที่ตอบ 2008-07-12 13:51:18 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1799984) | |
เมื่อวานก่อนวันที่ 10 กรกฎาคม 2551 ผู้เขียนได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นกรรมการร่วมคุมสอบ Extern วิชากุมารเวชศาสตร์ ระหว่างนั้น ผู้เขียนได้หยิบเอกสารเกี่ยวกับ "โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจในเด็ก" ขึ้นมาอ่าน เมื่ออ่านได้สักสามถึงสี่หน้า ทำให้ผู้เขียนระลึกนึกถึงช่วงเวลาที่ผู้เขียนเป็นหวัดไม่สบาย ในยามที่ผู้เขียนไม่สบาย พ่อและแม่ของผู้เขียน ท่านจะคอยดูแลประคบประหงม ผู้เขียนเชื่อว่าพ่อแม่ของผู้อ่าน ก็คงจะกระทำเช่นเดียวกันในยามที่ลูกของท่านตัวร้อนไม่สบายพุทธองค์ทรงตรัสว่า | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กวิน วันที่ตอบ 2008-07-12 13:53:21 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1799985) | |
เมื่อนึกนึกถึง ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกก็ทำให้ผู้เขียนนึกถึงสำนวน ลูกน้อยกลอยใจ/ลูกน้อยกลอยสวาท ถึงแม้นว่าตัวผู้เขียนเองจะยังไม่มีแฟน (เป็นตัวเป็นตน) และยังไม่มีลูก กะเขาก็ตาม แต่ในวันนี้ผู้เขียน จะขอแสดงทรรศนะเกี่ยวกับ สำนวน ลูกน้อยกลอยใจ/ลูกน้อยกลอยสวาท เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใฝ่ใจศึกษา วรรณคดี และสำนวนไทย ไว้ดังนี้ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้คำจำกัดความคำว่า กลอย ไว้ความว่า กลอย 1 [กฺลอย] น. ชื่อไม้เถามีหนามชนิด Dioscorea hispida Dennst. ในวงศ์ Dioscoreaceae มีหัวกลมใหญ่อยู่ใต้ดิน ใบเป็นใบ ประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ หัวดิบมีพิษเบื่อเมา แต่เมื่อฝานแช่น้ำไหล และนํามานึ่ง หรือต้มให้สุกแล้วกินได้. กลอย 2 [กฺลอย] ก. คล้อย, ร่วม, เช่น กลอยใจ กลอยสวาท. (1) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ศันสนีย์ อุตมอ่าง อรรถาธิบาย เกี่ยวกับกลอยไว้ความว่า "กลอยเป็นข้าวที่คนไทยรู้จักใช้เป็นอาหารมานาน โดยนำมาทำเป็นของหวาน เช่น ข้าวเหนียวกลอย แกงบวดกลอย กลอยนึ่ง และในยามเกิดศึกสงคราม เมื่ออาหารขาดแคลน จะใช้กลอยแผ่นหุงผสมกับข้าวช่วยเพิ่มปริมาณและทำให้อิ่มเช่นเดียวกับข้าว" (2) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กวิน วันที่ตอบ 2008-07-12 13:55:35 |
ความคิดเห็นที่ 4 (1799986) | |
ในสมัยเด็ก คุณย่า และคุณยาย ของผู้เขียนมักจะนำ กลอย มาทำเป็นขนม เพื่อนำไปทำบุญในวันพระใหญ่วันพระโต เช่นงานบุญเข้าพรรษา คุณย่าและคุณยาย ของผู้เขียนท่านจะนำกลอยมาทำกลอยแกงบวด ข้าวเหนียวกลอย กลอยนึ่ง โดยเฉพาะกลอยนึ่ง อร่อยมาก เมื่อนำกลอยมานึ่งแล้ว เนื้อกลอยจะหยุ่นๆ กินเปล่าๆก็ได้ หรือหากโรยเนื้อมะพร้าวขูด โรยน้ำตาลทรายขาว โรยงา ผสมลงไปด้วยก็จะเพิ่มความอร่อยยิ่งขึ้น แต่คุณย่า คุณยาย ท่านจำย้ำกับหลานๆ เสมอๆว่า หัวกลอยมันมีพิษน่ะลูก อย่าเห็นว่าอร่อยแล้วจะเอามาทำขนมกินกันเอง เวลาจะเอากลอยมาทำขนม ต้องเอากลอยไปแช่น้ำสัก 1 คืน เวลาเอามาทำขนม ต้องฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้วนำไปขยำๆ บีบๆ ในน้ำเกลือ เพื่อล้างพิษที่จะทำให้เมา เพราะฉะนั้นการนำเอากลอยมาทำขนมจะใจร้อนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพระสงฆ์องคะเจ้าท่านจะเมากลอย แล้วคนทำขนมแทนที่จะได้บุญกลับจะได้บาปจำไว้นะลูก ผู้เขียนยังจำคำสั่งสอนของคุณย่าและคุณยายของผู้เขียนได้ดีจนถึงทุกวันนี้ คำสั่งสอนของคุณย่าและคุณยาย ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านนั้น สอดคล้องกับข้อมูลของ คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในยุคปัจจุบัน ที่ว่า
"นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แจ้งเตือนให้ประชาชนระมัดระวังในการซื้อหาอาหาร มีกลอยเป็นส่วนประกอบ เช่น ถั่วทอดผสมกลอย ข้าวเหนียวหน้ากลอย กลอยแกงบวด เนื่องจากที่ผ่านมาเคยมีผู้ที่ซื้อถั่วทอดผสมกลอย ไปรับประทานแล้ว เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรง จนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เนื่องจากกลอยเป็นพืชที่มีพิษอยู่บริเวณหัวสำหรับสารพิษที่พบในกลอยซึ่งนำไปใช้ประกอบอาหารทั้งคาวหวานนั้น คือ ไดออสคอรีน (Dioscorine) โดยจะมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นอัมพาต หรือหยุดหายใจได้ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ อาการปวดแสบปวดร้อน และคันที่ปากและคอ คลื่นไส้ อาเจียน มึนงง หายใจขัด หมดสติ และถ้ารับประทานมากอาจทำให้ถึงตายได้ หลังจากที่รับประทานแล้ว ประมาณ 6 ชั่วโมง" (3) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กวิน วันที่ตอบ 2008-07-12 13:57:48 |
ความคิดเห็นที่ 5 (1799987) | |
ในพระอภัยมณีคำกลอน ได้กล่าวถึง คำว่า กลอย ไว้ในตอนที่อุศเรน มาขอร้องให้พระอภัยมณีเป็นเถ้าแก่ไป สู่ขอนางสุวรรณมาลี ทว่าสินสมุทร ไม่เห็นด้วย (นางสุวรรณมาลี เอ็นดู สินสุมทรเหมือนดังลูก และสินสมุทรก็นับถือนางสุวรรณมาลีเหมือนดังแม่) พระอภัยมณี จึงพูดกับอุศเรนว่า
(สำหรับประเด็น สำนวน ช้างงางอก ผู้เขียนได้เขียนแสดงทรรศนะไว้ในบทความเรื่อง สัจ สัตย์ สัด @ 189905 ) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กวิน วันที่ตอบ 2008-07-12 14:01:23 |
ความคิดเห็นที่ 6 (1799989) | |
เมื่อ พูดถึงคำว่า กลอยสวาท ทำให้ผู้เขียนนึกถึง บทละครพูดคำฉันท์เรื่องมัทนะพาธา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2467 เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2424 - 2468) พระราชนิพนธ์เรื่อง มัทนะพาธา เป็นบทละครพูดคำฉันท์ 5 องค์ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น เมื่อพ.ศ.2466 วรรณคดีสโมสร ได้ยกย่องว่า เป็นหนังสือแต่งดี พ่อแม่หลายคนซึ่งประทับใจกับ วรรณคดีเรื่อง มัทนพาธาคำฉันท์ ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ ก็จะมักนำคำว่า มัทนา มาตั้งเป็นชื่อลูกๆ (มัทนพาธา แปลว่า ความเจ็บปวด ความเดือนร้อนเพราะความรัก มัทนพาธา เป็นตำนานเกี่ยวกับดอกกุหลาบ) มัทนะ 1 แปลว่า การยํ่ายี, การบด, การทําลาย. ตามทรรศนะของผู้เขียนเชื่อว่า ต่อมาคำว่า มัทนะ มีความหมายกว้างขึ้น โดยถูกนำไปใช้เรียกกริยาของช้างตกมันที่มักจะทำลายสิ่งที่ขวางหน้า โดย เทียบกับศัพท์ มทะ ที่แปลว่า ความเมา; นํ้ามันช้างที่ตกมัน; สภาพช้างที่ตกมัน. มัทนะ 2 แปลว่า กามเทพ. ตามทรรศนะของผู้เขียนเชื่อว่า มัทนะ ที่แปลว่า ความรัก ก็เพราะกามเทพ เป็นผู้มี ศร ซึ่งมีอานุภาพ ทำให้เกิดความมัวเมาลุ่มหลง นั่นเอง พาธ, พาธา แปลว่า ความเบียดเบียน, ความทุกข์. มัทนะ/มัทนา แปลว่า ความรัก --> คนมีความรักมักจะมีความมัวเมาลุ่มหลง --> ต่อมาคำว่ามัทนะ ถูกใช้เรียกอาการของช้างที่มีความรัก (ช้างตกมันที่ชอบทำลายสิ่งต่างๆที่ ขวางหน้า) ซึ่งคำว่า มัทนะ/มัทนา เป็นคำเดียวกับคำว่า เมท, เมโท ที่แปลว่า มันข้น. รวมความได้ว่า คำว่า มัทนะ/มัทนา แปลว่า ความรัก/ความลุ่มหลวงมัวเมา เพราะลูก คือ สิ่งอันเป็นที่รักของพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่มัวเมาลุ่มหลง พ่อแม่รักลูกยอมทำเพื่อลูกทุกสิ่งอย่างก็ด้วยความมัวเมาลุ่มหลง ด้วยเหตนี้ ลูกจึงได้ชื่อว่า มัทนา นั่นเอง
ในเทศกาลงานบุญ เข้าพรรษา ซึ่งถือว่าเป็นวันพระใหญ่วันพระโต ผู้เขียนขอเชิญชวนให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน หอบลูกจูงหลาน ชวนกันไปทำบุญทำกุศลที่วัด หากที่บ้านปลูกกลอย ไว้จะลอง นำกลอยทำขนมถวายพระก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์ สำหรับท่านผู้อ่าน ที่พ่อแม่ได้ลาดับดับขันธ์ไปหมดแล้ว ก็ถือเป็นโอกาส อันดีที่จะได้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้กับท่านในวันพระ เข้าพรรษา นี้ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านอิ่มบุญอิ่มกุศล ขวนขวายประพฤติประฏิบัติดี เริ่มต้นชีวิตใหม่ๆ ใน เทศกาลเข้าพรรษา นี้ครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กวิน วันที่ตอบ 2008-07-12 14:02:33 |
ความคิดเห็นที่ 7 (1799991) | |
บทความนี้อาจมีการแก้ไขปรับปรุง โปรดตามอ่านได้ที่ http://gotoknow.org/blog/kelvin/193731 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น กวิน วันที่ตอบ 2008-07-12 14:03:40 |
ความคิดเห็นที่ 8 (2107427) | |
enzo milano curling iron curly wigs some people cannot afford wigs she doesnt need money to be glamorous lace wig application alopecia wigs. | |
ผู้แสดงความคิดเห็น button (tyler-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-11 10:22:25 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 825847 |