ReadyPlanet.com


ค่าเงินบาทวันนี้ 23/3/66 เปิดที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่ามากขึ้น ค่าเงินบาทวันนี้ 23/3/66


  

ค่าเงินบาทวันนี้ 23/3/66 เปิดที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่ามากขึ้น

 

ค่าเงินบาทวันนี้ 23/3/66 เปิดที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่ามากขึ้น

   ค่าเงินบาทไทยวันนี้ เปิดที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่ามากขึ้น จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.44 บาทต่อดอลลาร์ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.10-34.30 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย ระบุ ค่าเงินบาทไทยวันนี้ เปิดที่ระดับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่ามากขึ้น จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.44 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าที่คาด หากเกิดกรณีที่ เฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด แต่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนคาดการณ์ดอกเบี้ย หรือ Dot Plot มากนัก ซึ่งมองว่า ปัจจัยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทมาจากทั้ง การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ

ส่วนในวันนี้ มองว่า ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ในกรอบ 34.10-34.30 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากปรับตัวแข็งค่าขึ้นแรงจากวันก่อนหน้า แต่มองว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนพอสมควร เพราะบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ทำให้มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะยังไม่รีบกลับเข้าซื้อหุ้นไทย (แต่แรงขายเริ่มลดลงต่อเนื่องแล้ว) อย่างไรก็ดี แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าก็อาจถูกลดทอนด้วยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้

ส่วนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) หาก BOE ขึ้นดอกเบี้ยตามคาด และไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องที่ชัดเจน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ก็อาจกดดันให้ เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลงได้บ้าง และหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งก็อาจเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้บ้าง

ทว่า หาก BOE ขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ตามเดิม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง สวนทางกับสิ่งที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ก็มีโอกาสที่จะเห็นเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) เดินหน้าแข็งค่าขึ้นต่อ กดดันให้เงินดอลลาร์เคลื่อนไหว sideways หรืออ่อนค่าลงได้

ในช่วงนี้ มองว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง (ค่าเงินบาทผันผวนในระดับ 9%-10% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมาที่ระดับ 5% เป็นอย่างมาก) ทำให้มองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.10-34.30 บาทต่อดอลลาร์

ถึงแม้คณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด (FOMC) จะมีมติขึ้นดอกเบี้ย +0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่มุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ยังคงสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อจนแตะระดับ 5.25% และไม่ได้มองว่าเฟดจะจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งสวนทางกับสิ่งที่ตลาดคาดการณ์ก่อนหน้า (เฟดหยุดการขึ้นดอกเบี้ยที่ 5.00% ก่อนจะทยอยลดดอกเบี้ยลงแตะระดับ 4.25% ปลายปี) ได้กดดันบรรยากาศในฝั่งตลาดการเงินสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) อีกครั้ง กอปรกับ ผู้เล่นในตลาดยังคงสับสนต่อท่าทีของทางการสหรัฐฯ ในการคุ้มครองเงินฝาก 100% ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารกลับมาเผชิญแรงขายต่อ (BofA -3.3%, JPM -2.6%) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ดิ่งลงกว่า -1.65%

อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวลงแรง แต่ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.15% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดคลายความวิตกกังวลต่อปัญหาเสถียรภาพของระบบธนาคารยุโรป ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมพอสมควร (Hermes +1.1%, Kering +0.7%) ท่ามกลางความหวังแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ แม้เฟดจะส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลว่าปัญหาในระบบธนาคารที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาและแนวโน้มการคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงของเฟด อาจยิ่งกดดันภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเพิ่มโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมุมมองเดิมว่า เฟดจะกลับมาลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องหลังจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคมได้ ซึ่งมุมมองดังกล่าว รวมถึงภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.45% ซึ่งมองว่า ตลาดอาจมีมุมมองเชิงลบที่มากเกินไป แต่แนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งเสี่ยงต่อการปรับมุมมอง (Repricing) หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาดีกว่าคาด ทำให้มองว่า นักลงทุนควรใช้จังหวะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวลดลง ในการทยอยขายทำกำไรบ้าง และรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อสะสม (อาจไม่ต้องรอให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทะลุระดับ 4.00%)

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 102.2 จุด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดก็ยังคงมองว่า สุดท้ายเฟดจะต้องกลับมาทยอยลดดอกเบี้ยลง แม้ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยแตะระดับ 5.25% ตามที่เฟดเคยคาดการณ์ไว้ในการประชุมเดือนธันวาคม ส่วนในฝั่งราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด รวมถึงการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สู่ระดับ 1,973 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับวันนี้ ในฝั่งโซนเอเชีย ตลาดคาดว่า การชะลอตัวต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อ และภาพเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จะส่งผลให้ธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% ต่อ ขณะที่ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 6.25% หลังอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงถึง 8.6%

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนกุมภาพันธ์ของอังกฤษ ได้เร่งตัวขึ้นแตะระดับ 10.4% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดคาดว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย +0.25% สู่ระดับ 4.25% (จากระดับปัจจุบันที่ 4.00%) ท่ามกลางความกังวลต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารฝั่งยุโรปและแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษที่ชะลอลง แต่ปัญหาเงินเฟ้อสูงก็ยังแก้ไขไม่สำเร็จ

และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง ซึ่งหากออกมาดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ตลาดเริ่มปรับมุมมองต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดได้บ้าง

 

ขอขอบคุณ:  ข่าวเศษฐกิจ



ผู้ตั้งกระทู้ หัวหน้าใหญ่ :: วันที่ลงประกาศ 2023-03-23 11:39:39


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.