ReadyPlanet.com


"ลืม" แด่...ความกตัญญู


เรื่องสั้น                                                       ลืม                        เขียนโดย ภูวดล ภูภัทรโยธิน

 

                        ยายแม้น หอบสังขารออกจากรูหนู ซึ่งไม่น่าจะเรียกว่าบ้าน เพราะมันหลังเล็กนิดเดียว  พื้นกระดาน

ทำด้วยฝาโลงศพ       ส่วนฝาบ้านประกอบด้วยไม้อัดเก่า ๆ   อันเกาะแน่นไปด้วยเชื้อราเป็นรอยดำด่างอยู่ดารดาษ  

ด้านนอกฝาบ้านเห็ดดอกเล็ก ๆ  ผุดขึ้นเรียงราย  วันใดถ้าฝนตกเห็ดจะบานรับความชื้นคล้ายว่าชื่นสุขไม่เฉาจนฝ่อ       ดอก   แต่หญิงชราหลังค่อมผู้มีหน้าผากกร้านไปด้วยริ้วรอยเป็นหยัก ๆ  แก้มตอบไม่เต็มเนื้อ  ขี้แมลงวันกระจายพื้นผิวหน้า  ซึ่งบ่งว่าผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน      เธอกลับคิดว่าถ้าวันใดฝนตกจะรู้สึกหดหู่และเศร้าหมองใจอยู่คนเดียวในรังหนู   บริเวณด้านหลังโรงเรียนที่ตั้งอยู่ติดเขตวัด

                        วันนี้ดูเธอมีความหวังเป็นพิเศษกับรายได้ที่รอคอย  โดยรอให้งานพิธีวันแม่ดำเนินการเสร็จสิ้นลง

เสียก่อน    หล่อนจึงจะมีสิทธิ์กอบโกยเอาสิ่งนั้น

“ยาย...เข้ามานั่งใต้ต้นสาละนี่ดีกว่าจะได้ไม่ร้อน   เดี๋ยวก็เป็นไข้แดดเข้าหรอก”  นักการภารโรงชาย  รูปร่างสูง

ใหญ่ ผิวสองสี พูดจาสำเนียงเหน่อแบบชาวสุพรรณ  เอ่ยทักหญิงชราที่เขาเห็นมานาน       เขายกเก้าอี้พลาสติกให้

แกนั่งใต้ต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการประสูติของพระพุทธเจ้า   แล้วเดินอ้อมไปด้านหลังเวที บนลานสนามบาสเก็ตบอล    “แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง  แม่ห่วงหวงลูกรักดั่งดวงชีวา”  เสียงเพลงที่ทางโรงเรียนเปิด  ได้ยินชัดเต็มรูหูทั้งสองข้างของยายแม้น  เพราะลำโพงใบใหญ่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากที่แกนั่งเท่าใดนัก

นางยกมือขึ้นท่วมหัวสาธุ  เมื่อเห็นพระสงฆ์ 9 รูป ก้าวขึ้นอาสนะบนเวที

“กราบเรียน ท่านนายกสมาคมศิษย์เก่า   ท่าน ผอ.  ท่านผู้ปกครองนักเรียนทุกท่าน และสวัสดีนักเรียนทุกคน

บัดนี้ได้เวลาเริ่มพิธีวันแม่แล้ว  ขอเรียนเชิญทุกท่านบูชาพระรัตนตรัยและสมาทานศีลห้า”  สิ้นเสียงพิธีกรกล่าวนำ  เสียงแห่งองค์บุญก็ส่ำเสียงสวดสืบสายธารธรรมอย่างถนัดชัดถ้อย  

“ยาย  จะร่วมอนุโมทนาบุญมั้ย?”   นักการภารโรงถือขันเรี่ยไรยื่นใบบุญมาหา  ขณะที่นางเลิกชายเสื้อ

ควักหาเหรียญในกระเป๋าใบเล็กที่ผูกติดกับเข็มขัดเงินคู่ชีพ  ซึ่งแกใช้มันมาตั้งแต่สมัยเป็นสาวแล้ว

“ยายขอร่วมโมทนาบุญ 2 บาท   นะพิบูล  เงินมันหายากไอ้หนู”

“ได้ครับยาย สุดแต่จะศรัทธา วันนี้วันรำลึกพระคุณแม่  ลูกทุกคนจะได้แสดงความกตัญญูให้ได้บุญยืนยาว”

พิบูลนักการภารโรง ทิ้งคำพูดก่อนจะเดินเลี่ยงไปทางด้านขวาของเวที

                        ภายหลังที่พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และฉันภัตตาหารเพลเสร็จแล้ว  บนเวทีใหญ่คึกคักไปด้วยแม่ตัวอย่างนั่งเก้าอี้เรียงรายพร้อมหน้า   ภาพเด็กนักเรียนผลัดกันขึ้นเวทีมอบพวงมาลัยให้คุณแม่ของตัวเอง  ต่างคนต่างก้มกราบที่แทบเท้าคุณแม่  บางคนก็กอดขาคุณแม่ร้องไห้คร่ำครวญถึงสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไม่ดีต่อแม่  บางคนก็พรั่งพรูคำพูดสารภาพบาปกับแม่ ที่ทำให้แม่ต้องผิดหวังในตัวเขา  เด็กบางคนเอาหน้าเกลือกไปที่เท้าของคุณแม่

โดยไม่รังเกียจแม้แต่น้อย   สายตาของคุณแม่ทุกดวงเต็มไปด้วยหยดน้ำตาที่หลั่งรินลงสู่พวงมาลัยจนเปียกชุ่ม

ขณะที่คุณหญิงนายกสมาคมศิษย์เก่าฯ  หยิบทิซชู่ซับน้ำตาตัวเอง ด้วยใบหน้าที่ตื้นตันใจที่เห็นภาพเหล่านั้น

“แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง เฝ้าห่วงหวงลูกรักดั่งดวงชีวา”    เสียงเพลงคลอความคร่ำครวญชวนให้ตรึงใจผู้ฟัง

เป็นยิ่งนัก    แต่หญิงหนึ่งซึ่งชราภาพแล้ว ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ลุกไปไหน และไม่มีใครมามอบพวงมาลัยให้เธอ

 

 

 

 

 

                                                                                                              

 

 

“ขอเชิญท่านนายกฯ ท่าน ผอ. และตัวแทนผู้เป็นแม่ 9 ท่าน ถวายปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ณ บัดนี้”

พิธีกรประกาศด้วยน้ำเสียงอันทุ้มนุ่ม พร้อมกับอ่านบทกลอนใส่อารมณ์สะอึกสะอื้น

“แม่เปรียบพระอรหันต์ขวัญทั่วหล้า

แม่เปรียบฟ้าสุธาธาร สานสมัย

แม่เปรียบสูรย์ส่องหล้าอ่าอำไพ

แม่ยิ่งใหญ่เหนือทุกอย่างสร้างชีวา

อิ่มในอกอุ่นแม่เอื้อเกื้อกูลลูก

สัมพันธ์ผูกแน่นแฟ้นยิ่งแผ่นผา

เฝ้าถนอมเลี้ยงดูได้อยู่มา

รู้เถิดว่าด้วยรักแท้ แม่เราเอง”

“ยาย  จะไปรับน้ำพระพุทธมนต์มั้ย ผมจะพาไป”  พิบูลนักการภารโรงเอ่ยถามหญิงชรา

“ไม่เป็นไรหรอกลูก  อยู่ไหนก็ได้บุญเหมือนกัน”

“ถ้างั้น อีกสักครู่ หากเสร็จพิธีผมจะกลับมาหายายนะ”

เออ! ขอบใจ  ไปช่วยทางนู้นก่อนเถอะ  อย่าห่วงยายไปเลย”

พิธีการวันแม่ใกล้จะเสร็จแล้ว    พระสงฆ์ทั้งหมดลุกจากอาสนะ   ประธานสงฆ์เดินเข้าไปทักทายญาติโยม

ส่วนพระรูปรอง ๆ  เดินเลี่ยงลงบันไดข้างเวทีไปก่อน

“บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น หนึ่งหยดน้ำนมกินทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย”   เสียงเพลงค่าน้ำนมดังขึ้นอีกครั้ง

ขณะที่พระสงฆ์ทยอยลงเวที

“เฮ่อ ! งานเสร็จก็โล่งอกไปที  พอหายเหนื่อยบ้างแล้วล่ะยาย”

“คิดเสียว่าได้บุญอันยิ่งใหญ่ในวันแม่ก็แล้วกันพิบูล”  หญิงชราเปรยคำพูดเชิงปลอบใจ

“เออ! ยาย พระลูกชายไปจำพรรษาอยู่ที่ไหนเหรอ  ผมไม่เจอนานหลายปีแล้ว”

“พระลูกชายของยาย เค้าไปธุดงค์ทางภาคเหนือ   เมื่อ 4 ปีที่แล้วเค้าเขียนจดหมายมาฉบับหนึ่ง  บอกว่าพักจำพรรษาอยู่สำนักสงฆ์ กตัญญุตาราม จังหวัดเชียงใหม่    จากนั้นก็เงียบหายไปไม่ติดต่อมาอีกเลย  แล้วจดหมายก็บอกที่อยู่ไม่ชัดเจน   ยายจึงไม่รู้จะติดต่ออย่างไร”

“ยาย อันที่จริง พระท่านน่าจะโทร. มาก็ได้ เพราะผมเคยให้เบอร์โรงเรียนไป”

“ก็ไม่รู้สิ  ยายปลงแล้ว  ถ้าตายก็เผาที่วัดนี้แหละ  โลงศพก็รื้อเอาพื้นกระดานบ้านนั่นประไร มีทั้งฝาและโลง

อยู่พร้อมแล้ว  กลัวแต่จะทรมานสังขารไม่ยอมตายซักที”  นางบ่นพึมพำให้กับตัวเอง

“ไปยาย  ได้เวลาเป็นเงินเป็นทองของยายแล้ว”  

“เออ  ก็ดีเหมือนกัน ยายรอเวลาทองมานานแล้ว”

 

 

 

 

 

                                                                                                                 

“โอ้! ยาย   มะลิพวงมาลัยเป็นกองเลย  นี่พวงละหลายสตางค์นะเนี่ย   เอาเป็นว่ายายเลือกเอาตามใจชอบนะ

ผมขอตัวไปช่วยเขารื้อเวทีเสียก่อน”

“ขอบใจลูก  เดี๋ยวถ้าเต็มตะกร้าแล้ว  ยายจะกวักมือเรียก  แล้วอย่าคิดยายแพงนะ”

“ยาย  ไม่มีใครเขาคิดราคาหรอก  พอเสร็จพิธีก็หมดคุณค่า  เขาทิ้งมันเป็นขยะแล้ว”

                       

                        ยายแม้น  ก้มหน้าเก็บพวงมาลัยดอกมะลิ ด้วยความหวังว่าจะได้นำไปขายที่สี่แยกไฟแดง  ขณะที่เก็บ

พวงมาลัย  ดูเธอมีความสุขกับโชยกลิ่นมะลิอันหอมละมุน    ภาพพิธีไหว้แม่บนเวทียังติดตาหญิงชราอยู่ตราตรึง

เสียงหวานซึ้งเพลงค่าน้ำนม  ยังประทับใจไม่รู้จืดจาง     ตะกร้าใบเก่าล้วนมีกลิ่นหอมอบอวลละมุนใจยิ่งนัก

“ ยาย  เต็มตะกร้าหรือยัง”

“เออ ๆ  เต็มแล้วจ้า  พ่อหนุ่ม”

“ยาย  ผมว่าเย็นนี้คงได้ขายทั้งคราบน้ำตาล่ะมั้ง”

“ยังไงนะ  พ่อหนุ่ม”

“ก็ตอนอยู่บนเวที ผมเห็นแต่ละคนร้องไห้ฟูมฟาย น้ำตาไหลร่วงสู่พวงมาลัยจนเปียกชุ่มไงครับ”

“พิบูลพูดถูกแล้วลูก  เย็นนี้ยายคงได้ขายทั้งคราบน้ำตาอย่างที่เราคิดล่ะนะ”

“เอางี้แล้วกัน  เดี๋ยวผมยกตะกร้าใส่มอเตอร์ไซค์ไปฝากไว้ที่ร้านเจ้แหวน เยื้องสี่แยกไฟแดง  แล้วยายตามไปรับ

ที่นั่นก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องหิ้วหนัก”

“ขอบใจมาก  พิบูลเอ๊ย  ถ้าไม่มีเอ็ง  ยายคงแย่  ตัวคนเดียว”   เขายกตะกร้าแห่งคราบน้ำตาใส่ท้ายมอเตอร์ไซค์  แล้วบึ่งเสียงเคลื่อนไปไกลสายตาหญิงชราด้วยความสงสารต่อชีวิตของเธอผู้เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง

 

                        เย็นวันนั้นที่โรงเรียน ใครคนหนี่งเอะอะว่า หญิงชราหลังค่อม สวมเสื้อสีฟ้า  นุ่งผ้าถุงสีน้ำเงินทึบ

 นอนเกยอยู่ขอบทางเท้าสี่แยกไฟแดง   เขาว่ากันว่าแกถูกรถเฉี่ยวชนจนล้มลงนอนเกยอยู่ตรงนั้น

“ยาย ๆ  ตื่นสิ  ผมพิบูลนะยาย    ยายเคยบอกผมว่าคนชื่อพิบูลแปลว่าผู้มีจิตใจกว้างขวางมิใช่หรือ  ผมยังไม่ลืม

คำพูดของยาย  ตื่นสิครับยาย”              เขาแหวกไทยมุงเข้าไปอุ้มหญิงชราขึ้นแท็กซี่แล้วเรียกชื่อยายอยู่ตลอด

“ยายแม้น  อย่าหลับนะ  เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว”    หญิงชรายังสลบอยู่ในอ้อมกอดของเขา  และในวงแขน

ของเธอยังมีพวงมาลัยที่เหลืออยู่ 3 พวง     เขาฉุกคิดใช่แล้ว  พวงมาลัยที่มีคราบน้ำตาของความเป็นแม่

ผสมเลือดสด ๆ   เลือดแห่งความทุกข์ยากอันแสนเจ็บปวด    พวงมาลัยแห่งความรักความผูกพันที่สะท้อนความเหงาเศร้ากับชีวิตของเธอ       

                        เวลา  21.13 น.  คืนวันนั้นเขากลับมาบ้านพักนักการภารโรง  ขณะที่ยายแม้น มณีโชคอวยชัย

ยังนอนหายใจรวยรินอยู่ในห้อง ไอ ซี ยู   ค่ำคืนแห่งความเศร้าเขานอนไม่หลับ  แว่วยินเสียงห้องข้าง ๆ   เปิดเพลงค่าน้ำนม     “แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง...    บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น หนึ่งหยดน้ำนมกินทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย”     เขาและใคร... คงจดจำเพลงนี้ไปชั่วกาลนาน

E-mail:  pphoovadol@yahoo.com

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



ผู้ตั้งกระทู้ ภูวดล ภูภัทรโยธิน :: วันที่ลงประกาศ 2009-07-13 07:59:42


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.