ReadyPlanet.com
dot dot
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (กลอนสุภาพ) : หัวข้อ “เขลา”

 

*****ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (กลอนสุภาพ) : หัวข้อ “เขลา” *****
(รวม 25 ชิ้น)
 
1. (วิจิตร พิสดาร)
 
ควรขาดเขลา (1. วิจิตร พิสดาร)
 
๏ เมื่อยังเล็กเด็กน้อยด้อยความคิด                   ประกอบผิดถูกบ้างตามประสา
เมื่อเติบใหญ่เริ่มรู้คิดจิตปัญญา                         แล้วจะมามัวเมาเขลาอย่างไร
๏ อันความเขลาเขาว่าคือไม่รู้                            ต้องมีครูสอนสั่งปลูกฝังให้
จึงจะเป็นผู้ขาดเขลาบรรเทาใจ                          ให้รู้ได้แจ้งจิตคิดปัญญา
๏ ประดุจเราเหล่านักเรียนเพียรฝึกฝน            สร้างตัวตนเป็นคนมีคุณค่า
มีคุณครูอบรมบ่มจรรยา                                     มีราคาดุจมณีเจียระไน
๏ อันโบราณว่าไว้ในบึงกว้าง                           แดดกระจ่างบัวบานก้านไสว
บนใบบัวมีกบกระโดดไว                                   หาเลยได้ลิ้มชิมรสปทุมมา
๏ แต่ภุมมรร่อนบินผินเวหน                            ชื่นกมลกลั้วเคล้ารสนาสา
ดุจมาพบของดีด้วยปัญญา                  ที่เพียรหามาให้ใส่ท้องตน
๏ แม้นเจ้ากบอาศัยใกล้บัวแก้ว                         กับคลาดแคล้วมิอาจเอื้อมน่าแปลกล้น
เพราะโง่เขลาเบาปัญญาพาอับจน                    เกิดเป็นคนอย่าเป็นเช่นนั้นเลย
๏ จงอุตส่าห์หาความรู้มาสู่ใส่                           อย่าปล่อยให้กาลผันวันเปลี่ยนเฉย
เร่งเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ไม่เคย                                  และละเลยความชั่วหมองมัวใจ
๏ ใช้ปัญญาพาสติเป็นที่ตั้ง                                อย่าได้หวังวาสนานำพาให้
จงอย่าเขลาหลงอารมณ์ระทมใจ                      ควบคุมได้คือฉลาดปราชญ์อารมณ์
๏ คนที่เขลาที่สุดในโลกนี้                 คือคนที่คิดว่าเก่งหาใครสม
แต่คนที่เราควรจะชื่นชม                                   คือคนก้มรับว่าเราเบาปัญญา
๏ จงรีบเร่งนำธรรมนำความคิด                       เป็นชีวิตน่าชื่นชมสมคุณค่า
มีความรู้ประดับตนล้นกายา                              ดีเสียกว่าพร้อมเพชรพลอยนับร้อยเอย
..................................... (1. วิจิตร พิสดาร)......................................
 
2. (รุเธียร)

ขลาดเขลา (2. รุเธียร)
 
๏ ฉันขลาดเขลายิ่งนักเลยเธอจ๋า                       เฝ้าใฝ่หาความฝันอันล้าหลัง
ยิ่งเวลาผ่านไป ทุกคราครั้ง                                ใจดวงนี้ผุพังฝังร่างกาย
๏ ช่างโง่เขลายิ่งนักนะตัวฉัน                           แม้ผ่านฝันวันคืนที่สูญหาย
แม้นตระหนักในความจริงไม่เสื่อมคลาย       แต่สุดท้ายฝันใฝ่ในความลวง
๏ อับจนหม่นหมองเลยเธอจ๋า                          ถูกผู้คนปวงประชามาทักท้วง
ขัดข้องแตกแยกคนทั้งปวง                                ทุกถิ่นที่ตะขวงตะขิดใจ
๏ ฉันโง่แน่หรือตัวฉัน                                       ถูกคำพูดกรอกบั่นจนหวั่นไหว
ฉันโง่เง่าขลาดเจลาเกินผู้ใด                              เป็นความจริงหรือไม่ช่วยบอกที
๏ โง่เง่า โศกเศร้า โอ้เธอจ๋า                               อ่อนแอ อ่อนล้า อยากหลีกหนี
ถูกผู้คนก่นด่า ถูกทุบตี                                        ถูกชำแรก แหวกฤดี ร้าวลั่นไป
๏ ฉันผิดหรือที่เป็นเช่นตัวฉัน                          ความแตกต่างบิดผันย่อมเป็นได้
แต่ทำไมถูกกล่าวหาคร่าดวงใจ                         โอ้ ฉันทำผิดอะไร ใยฟาดฟัน          
๏ ฉันสงสัยในโลกนะเธอจ๋า                             ตั้งคำถามใฝ่หาด้นดั้น
ใยมนุษย์พวกพ้องต้องกีดกัน                            หรือคำถามของฉันทำร้ายใคร
๏ ทรรศนะอันนี้เป็นของฉัน                            ถูกบีบคั้น ถูกกดดัน ถูกผลักไส
ทรรศนะที่แตกต่างผิดอะไร                              ใยผลักไสตัวฉันเป็นศัตรู
..................................... (2. รุเธียร)......................................
 
 
เขลา (3. สืบอักษร)
 
๏ คิดว่าฟ้าลิขิตชีวิตหรือ                                  คิดว่ามือลิขิตชีวิตไหม
คิดว่าวันพรุ่งนี้มีหรือไร                                   คิดว่าใจอ่อนแอแน่หรือเรา
๏ แน่หรือนั่นทุกปัญหามีทางแก้                   สง่าแท้แลล้ำเลิศเฉิดเฉลา
จริงหรือไรที่ไม่ควรจะด่วนเดา                      ควรจะเฝ้าพินิจความให้เหมาะควร
๏ ไฉนเล่าเฝ้าแต่ครวญเฝ้าแต่คิด                   จมแต่จิตติดเวียนวนทนกำสรวล
เมื่อฝนมาฟ้าก็หม่นคำรนรวน                       ฟ้าก็ควรกระจ่างงามยามฝนซา
๏ ชีวิตนี้ถือกำเนิดเกิดแต่ไหน                        จะหาใครให้คำตอบที่ปรารถนา
อันโลกนี้ใครสร้างสรรค์บันดาลมา               ที่สงกายังสงสัยในกมล
๏ อีกหลายข้อครวญคงพะวงคิด                    สร้างประสิทธิ์เสกแสร้งให้สับสน
นี่แหละคือความคิดจิตของคน                       เฝ้าเวียนวนค้นทายจวบปลายทาง
๏ ไม่มีใครไม่เคยพลาดไม่เคยผิด                  ไม่เคยคิดหวั่นเกรงเยงโลกกว้าง
เกิดครั้งหนึ่งถึงสุดท้ายเมื่อวายวาง                ย่อมล้มบ้างลุกบ้างเป็นธรรมดา
๏ ล้มใช่ล้มแต่จะฟื้นยืนผงาด                         ขลาดใช่ขลาดแท้จริงอหิงสา
เขลาใช่เขลาเราบ่มเพาะก่อปัญญา                 กล้าใช่กล้ากระทำความไปตามกาล
๏ มิใช่เราหรือเขาที่เขลากว่า                           ล้วนเกิดมาเวียนวนวัฏฏสงสาร
ทำดีเถิดเพื่อคุณพระอภิบาล                            เมื่อวันวานเราและเขาเขลาทุกคน
..................................... (3. สืบอักษร)......................................
 
4.ณรงค์ศักดิ์
 
เขลา (4. ณรงค์ศักดิ์)
 
ฉลาดล้นความสามารถมากมายยิ่ง               แต่ประวิงชอบนินทาพาคิดร้าย
ดุจคำขานฉลาดไปพาวอดวาย                           ฟังดูแล้วใจหายน่าอาดู
                          คนโง่เขลาที่คนเฝ้าตำหนิ                              ดูเขาสิมีใจจริงเพื่อจะสู้
มีความเพียรนั้นคอยเฝ้าเชิดชู                           เป็นผู้รู้ความดีเปรมปรีจริง
                                ที่โง่เขลาฉลาดล้นคำคนลือ                           เป็นแค่สื่อศึกษาหาอื่นยิ่ง
แต่ควรดูความดีคือความจริง                             ทุกๆสิ่งจะได้เลิศเปิดทางเดิน
                                จะดูคนอย่าดูแค่ฉลาด                                     ควรจะเปิดโอกาสมิห่างเหิน
คนโง่นั้นอาจจะเป็นตามดำเนิน                       จงสรรเสริญความดีว่าอย่างไร
                                การศึกษามิอาจเด่นเป็นบ้าง                          งานอ้างว้างคนจ้างตามสมัย
คนเก่งดีมีงานก็ทำไป                                         คนโง่ไซร้ใช้แรงงานประสานตน  
                                ฟังแล้วคิดเพื่อให้รู้ใจตน                                การเป็นคนดีนั้นรู้ทุกคน
เริ่มฝึกฝนขัดเกลาใจของตน                              ให้เป็นคนดีได้อย่างภูมิใจ
..................................... (4. ณรงค์ศักดิ์)......................................
 
5. อัศรา
 
เขลา (5. อัศรา)
 
โง่งี้เง่าแสนเขลาดังคำอ้าง                             แสนอ้างว้างเมื่อได้ฟังกังวาลหู
คำดูถูกดูหมิ่นใคร่คิดดู                                        แสนอดสูได้ฟังดังกะวาล
                                เหนื่อยก็เหนื่อยได้ฟังนั่งครุ่นคิด                 ดวงใจจิตได้ฟังน่าสงสาร
คนแสนโง่ที่เราเฝ้าวิจารณ์                                มิอาจหารห้ามถึงซึ่งคำคน
                                มนุษย์นี้ที่เขาได้กำเนิด                                   ถือว่าเลิศใช่แท้หรือสับสน
ว่าแต่เขาเพื่อนพ้องต่างใจตน                            คนสุขสันต์วิจารณ์หมานน้ำใจ
                                เพื่อนผู้ฟังบทกลอนสอนใจคิด                     ดูถูกผิดการกระทำนำสมัย
โลกมนุษย์ใหญ่แสนแดนกว้างไกล               อย่าทำให้คนรอบข้างต้องหมางเมิน               
เห็นว่าเพื่อนโง่เง่าดั่งเต่าตุ่น                        ต้องค้ำจุนช่วยเหลือไม่ห่างเหิน      
ใช่ตอกย้ำนินทาเปิดทางเดิน                             มิสรรเสริญแต่ตอกย้ำช้ำใจจริง        
                          คนโง่นั้นอาจฉลาดอย่างปราชญ์ได้             เพียงแต่ให้การศึกษาพาใหญ่ยิ่ง
ทั้งยังเป็นกำลังใจอย่าประวิง                             ทุกๆสิ่งจะสำเร็จเกร็ดชีวี
..................................... (5. อัศรา)......................................
 
6. Pee-nu-d                                                                       
 
3 ปี แห่งความตายของยุติธรรม (6. Pee-nu-d)
แด่ดินแดนแห่งลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟตริส กับ 3 ปี ที่ไม่พบอาวุธชีวภาพ
พบแต่ชีวิตที่ถูกพร่าโดย (ผู้ค้นหา) อาวุธ
 
เมื่อลมแล้งโรยริ้วมารอนร้อน                   เราพักผ่อนหลบแดดที่แผดเผา
ในแล้งจัดร้อนจ้าไม่พลาเพลา                       ใครห่วงเขา 'คนแห่งทะเลทราย'
สามปีแล้วที่เลือดไม่เคยแล้ง                     สามปีแห่งโหยหาน้ำตาหาย
สามปีแห่งชีวิตปลิดและวาย                        สามปีแห่งความตายของยุติธรรม
ไม่มีรักให้อิรักสักรักหรือ                        เจ้าของมือลั่นปืนในคืนค่ำ
ร่างน้อยน้อยกับตาดวงดำดำ                        จะกลับช้ำรอยรดหยดแดงแดง
ผิดใดหรือเด็กน้อยจึงถูกฆ่า                      บ้างแขนขาขาดสิ้นวะวิ่นแหว่ง
โลกตั้งท่าด่าทอแต่พอแรง                          และสาปแช่งผู้ก่อแต่พองาม
เมื่อลมแล้งโรยริ้วมารอนร้อน                   สามปีก่อนยุติธรรมถูกย่ำหยาม
ครบรอบจึงโลกกล่าวป่าวประนาม               ก่อนก้าวข้ามความอธรรมไปอีกปี
..................................... (6. Pee-nu-d)......................................
 
7. ชาตรี
 
เขลาเท่ากัน  (7. ชาตรี)
 
สืบเอ๋ยสืบ สืบศรีกวีศิลป์                              จะหลั่งรินดอกสร้อยร้อยภาษา
หยดน้ำหมึกพร่างพจน์รจนา                            สืบปัญญาสืบคำสืบน้ำใจ
มโนภาพอักษรสัญจรสื่อ                               หน้ากระดาษหนังสือคือคำไข
แฝงความรักลิ้มรวงความห่วงใย                      เก็บความนัยปริศนาห้วงอารมณ์
สืบเอ๋ยสืบสืบจักหายสลายแล้ว                     กวีแก้วทะเลาะไม่เหมาะสม
เพียงรางวัลไขว่คว้าค่านิยม                               เคยหยัดยืนชื่นชมอุดมการณ์
ลืมคำว่าพี่น้องร้อยกรองหรือ?                เมื่อวานซืนยังนับถือเขียนสื่อสาร
ลืมคำมั่นสัญญาต่ออาจารย์                                ว่าจักสร้างผลงาน...เพื่อแผ่นดิน
สุโขทัยผดุงถึงกรุงศรีฯ                                   วรรณคดีถูกเผาแทบสูญสิ้น
พวกพม่าต่างแดนแคว้นไพริน                         เหยียบย่ำถิ่นรุกรานเผาบ้านเมือง
โบราณว่าศึกไหนจักร้ายเท่า                          ศึกในเรามากมายยังหลายเรื่อง
มีผู้นำ ชื่อความโกรธโหดแค้นเคือง               มีลูกน้อง นองเนืองชื่อว่าคน
เชิญท่านเผางานเขียนไทยให้เต็มที่             คนละครั้งคนละทีจะกี่หน
เมื่อพอใจค่อยเก็บเศษกระดาษยล                     ที่เปื้อนปนน้ำตานักประพันธ์
แบกตำราถือสายสะพายย่าม                         ไม่อยู่แล้วนิยามโลกความฝัน
สำนักนี้ที่อยู่ผู้ดึงดัน                                            ทะนงกันเป็นปราชญ์ฉลาดเชาวน์
๏ ก่อนจะลาจากไปจนไกลแสน                       มอบตัวแทนของขวัญย้ำวันเก่า
เป็นคำพูดหนึ่งคำ...ระหว่างเรา                       “ถ้าเธอเขลา...ฉันก็เขลา เท่าเท่าเธอ!”
..................................... (7. ชาตรี)......................................
 
8.ชาตรี
 
เขลาไม่ขลาด  (8. ชาตรี)
 
คนเขลารับการศึกษาเรียนมาน้อย                คนเก่งคอยขยันหมั่นศึกษา
คนเขลาจึงพื้นฐานเบาปัญญา                คนเก่งกาจกะโหลกหนาตำรากอง
          คนเขลาพออ่านออกบอกเขียนได้                คนเก่งใฝ่เชี่ยวชาญอ่านเขียนคล่อง
คนเขลาเดินก้มหน้าไม่กล้ามอง                       คนเก่งรับการยกย่องจากผองชน
คนเขลาอยู่ปากกัดและตีนถีบ                       คนเก่งมีอาชีพประโยชน์ผล
คนเขลาทำไร่นาประสาจน                                คนเก่งทำนาบนหลังคนทุกข์
คนเขลาย่อมเสียเหงื่อเมื่อเสียเปรียบ           คนเก่งเหยียบคนเขลาเอาความสุข
คนเขลาหรือจะกล้าท้ารบลุก                             คนเก่งบีบกระตุกก็ปางตาย
คนเขลามีเงินน้อยด้อยรายรับ                       คนเก่งนับเงินบาทไม่ขาดสาย
คนเขลาค่าแรงต่ำระกำอาย                              คนเก่งหมายยังขูดรีดคอยกรีดเนื้อ
คนเขลาตันหันหน้าพึ่งพาหวย                     คนเก่งรวยสวาปามโกยความเชื่อ
คนเขลาคลุกข้าวน้ำปลาพริกกับเกลือ              คนเก่งซื้อกินเหลือเบื่อก็ทิ้ง
คนเขลาสอนลูกด้วยไม้เรียวรัก                     คนเก่งจักเลี้ยงตามใจให้ทุกสิ่ง
คนเขลาปลูกคุณธรรมความดีจริง                     คนเก่งยิ่งปลูกเหลวไหลไม่รู้ตัว
ลูกคนเขลาขยันหมั่นศึกษา                           เปิดตำรากระบวนดูถ้วนทั่ว
ตามคำสอนรับผิดชอบต่อครอบครัว                ยอดดอกบัวพ้นน้ำงดงามนัก
ลูกคนเก่งขยันหมั่นใช้สอย                           เงินจึงน้อยกว่าเดิมเริ่มคิดหนัก
ขายบ้านอยู่อู่นอนเคยผ่อนพัก                           ยอดดอกรักของแม่พ่อก็ร่วงลง
๏ มิใช่เรื่องแปลกประหลาดวาดอักษร            เป็นละครกลอนโกหกให้โลกหลง
“ไม่ยืนยง”ศาสนา ว่า“ยืนยง”                           คนเขลาจงอย่าท้อสู้ต่อไป....
..................................... (8. ชาตรี)......................................
 
9.ชาตรี
 
เชิญเธออ่านความเขลาบนเก้าอี้... (9. ชาตรี)
 
“เชิญเธออ่านความเขลาบนเก้าอี้                             สวัสดีอีกคราผู้มาใหม่
หยุดเห่าก่อนเจ้าตูบลูบหัวไว้                       จิบน้ำชาก่อนไหมผู้มาเยือน..?
๏ ข้างนอกนั้นเหน็บหนาวอาจขาวซีด           ข้างนอกนั้นมีมีดผู้ป่าเถื่อน
ข้างนอกนั้นหนทางยังลางเลือน                  ข้างนอกนั้นตะวันเดือนให้เพียงเงา
๏ ข้างในนี้ให้ไออุ่นละมุนพัก                     ข้างในนี้มีความรักหากเธอเหงา
ข้างในนี้มีฝันเมื่อวันเยาว์                                              ข้างในนี้แสงจะเร้าเจ้าดอกไม้
๏ ณ ที่นี้กระทำจากน้ำหมึก                         ที่รู้สึก นึก คิด ลิขิตไข
ฉันโง่“เขลา”เบาปัญญายิ่งกว่าใคร                แต่หาใช่สุดสิ้น..“จินตนาการ”
๏ ฉันจึงเขียนความเขลาเป็นความคิด            จึงเขียนถูกเป็นผิดผสมผสาน
เขียนด้วยรักด้วยศรัทธาเขียนมานาน              เมื่อเธออ่าน..สัมผัสคงชัดเจน
๏ ฉันสร้างป่าผาภูหมู่ผีเสื้อ                             ฉันสร้างเรือสนามให้เด็กเล่น
สร้างทุ่งหญ้าเขียวขจีที่โอนเอน                      สร้างเขาพระสุเมรุไว้ดูดาว
๏ ตามแต่จิตคิดวาดปรารถนา                          ปล่อยไปสุดขอบฟ้าเวหาหาว
และบันทึกทุกเบื้องเป็นเรื่องราว                    ความปวดร้าวความงามตามบันทึก
๏ หากฉันเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องสรรพ       ฉันคงนอนไม่หลับในกลางดึก
หลากปัญหาสารพันให้ฉันนึก                        ในส่วนลึกคงสับสนจนวุ่นวาย
๏ เขียนความเขลาเอาไว้ด้วยไฟฝัน                ทั้งคำนี้และคำนั้นมุ่งมั่นหมาย
เชิญเธอมาพำนักนอนพักกาย                       ไร้ความโฉดโหดร้ายกระบอกปืน
๏ ด้วยความเขลาเท่านี้ก็มีค่า                         หว่านภาษาพรมน้ำ(ใจ) ให้ฉ่ำชื่น
ทะนุถนอมเมล็ดพันธุ์ทุกวันคืน                    “โน้น...มะรืนคงกล้าโตกว่านี้”
..................................... (9. ชาตรี)......................................
 
10. ธนบัตร
 
ฉันไม่รู้ (10. ธนบัตร)
 
๏ พึ่บพับ! พึ่บพับ! ...ผืนม่านเปิด                   กำหนดเกิดตัวละครในตอนใหม่
บรรยากาศเคว้งคว้างและกว้างไกล เวทีใหญ่มโหฬารรูปขวานทอง
๏ เปิดฉากตำนานการต่อสู้                                เหล่าคนดูเงียบฟังนั่งจ้อง
กลิ่นดินปืนเสียงเชือด...รอยเลือดนอง           คนดูร้องไม่อยากยลบนเวที
๏ เสียงประกาศก้องมา “อย่ารีบท้อ”               ต้องสู้ต่อเคียงพ้อง นะน้องพี่
ต้านลูกเหล็กด้วยมือเปล่าเข้าราวี                      กู้ศักดิ์ศรีย้ำเน้นความเป็นคน
๏ เสียงตะโกนกู่ร้องของอีกฝ่าย                       หยุดชี้นำทำลายไร้เหตุผล
เราไม่อยากเข่นฆ่าประชาชน                           เลิกเล่นกลหากบรรลุยุติพลัน
๏ . . . ปัง! ปัง! ตู้มต้าม! สงครามปะทุ         ระเบิดดุ ควันไฟไกปืนลั่น
ตัวละครดับดิ้นสิ้นชีวัน                                      ภาพความฝันเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
๏ เมื่อต่างฝ่ายต่างรั้นดันทิฐิ                              แผลที่ปริอักเสบจึงเจ็บเพิ่ม
รอบรอยแผลที่ช้ำโดนซ้ำเติม                            อาการเริ่มบ่งเห็นเป็นเพราะใคร ?
๏ เลือดเข้มข้น...สายเดียวกันแท้แท้                หยุดตั้งแง่ดึงดื้อได้หรือไม่
หยุดการเค้นน้ำตาแผ่นดินไทย                         หยุดละครได้ไหมไม่อยากดู
๏ ฉันไม่ทราบใครกำหนดบทเรื่องนี้               เป็นเรื่องที่อัปยศแสนอดสู
ฉันเจ็บใจตัวชาน้ำตาพรู                                     “เพราะไม่รู้ใครกำหนดบทละคร”
..................................... (10. ธนบัตร)......................................
 
11. สวรส
 
เขลา (11. สวรส)
 
๏ เอกลักษณ์เอกราชชาติสยาม                     อักขระถ้อยความงามศาสตร์ศิลป์
ประเพณีขึ้นชื่อระบือบิล                              ชนทั่วถิ่นรู้เคารพนบบูชา
๏ อนุชนคนรุ่นหลังจงตั้งจิต                        รู้พินิจพิทักษ์ชาติศาสนา
หลากสีสันวัฒนธรรมนำจรรยา                                 ไทยลือค่ารุ่งเรืองเมืองคนดี
๏ ม่านกิเลสบังตาพาให้เศร้า                                     ผู้นำเขลาใช้ความคิดผิดวิถี
เพียรหาทางก่อเรื่องเฟื่องราคี                    ทั่วธานีต้องทุกข์ทนคนจัญไร
๏ ขึ้นบัลลังก์นั่งเก้าอี้ชี้ประเทศ                 เกิดอาเพศน่าเศร้าโศกโลกยุคใหม่
เพราะผู้แทนนั้นโกงกินแผ่นดินไทย          ยากแก้ไขไร้ความดีชี้อบาย
๏ เสียหยดเลือดหลั่งรินแผ่นดินเกิด           ลูกเตลิดหลานลี้ภัยไร้จุดหมาย
น้อยความดีแพ้อธรรมมุ่งทำลาย                  ชาติสลายไทยระส่ำช้ำอุรา
๏ เสียแผ่นดินให้คนเลวทำเหลวแหลก         คอยแบ่งแยกสูงต่ำนำปัญาหา
ยากเกินแก้ผู้นำไทยไร้เมตตา                        ชาวประชาต้องลำเค็ญมิเป็นไทย
   ..................................... (11. สวรส)......................................
 
12.ณัฐธิณี
 
เขลา (12. ณัฐธิณี)
 
๏ ใครกันเล่าทำให้โลกว้าวุ่น                             ชุนละมุนสับสนปนปัญหา
สารพัดสารพันสุดคณา                                       ไม่รักษาไม่สนใจไม่ใยดี
๏ มัวโกธาว่าร้ายกันไม่เข้าท่า                           หยุดอัตตาวางตนข่มศักดิ์ศรี
เราก็คนเขาก็คนสมานไมตรี                             สามัคคีวันนี้เพื่อโลกเรา
๏ โลกจะสวยด้วยมือทุกคนสรรสร้าง             ให้โลกกว้างใบนี้มิเหี่ยวเฉา
มาร่วมกันรวยรักขจัดเงา                                    ความห่วงเหงาคลุกเคล้าเศร้าวกวน
๏ อันคนเราเกิดมาฉลาดคิด                               ไม่หลงผิดรู้กอปรชอบเหตุผล
ประกอบกรรมทำดีคนยินยล                             เป็นมงคลนำตนพ้นภัยพาล
๏ สรรพสิ่งเกิดแล้วมีแตกดับดับ                       เป็นประจักษ์ให้เห็นทุกสสาร
จงอย่าเขลาหลงคิดว่าพิสดาร                            มาประสานร่วมกันทำสิ่งดี
๏ ทำความดีเพื่อความดีในวันนี้                        เพื่อชีวีไร้ทุกข์มีสุขี
โลกสุขสันต์พลันเกษมเปรมปรีดี                    และจะเป็นเช่นนี้สิ้นกาลนาน
๏ แต่นั่นมันก็เป็นแค่เพียงฝัน                          ที่รอวันเป็นจริงสมคำขาน
หากทุกคนช่วยผจญดลบันดาล                         อีกไม่นานฝันนั้นคงไม่ไกล...
..................................... (12. ณัฐธิณี)......................................
 
13. (วิจิตร พิสดาร)
 
เขลาคือใคร (13. วิจิตร พิสดาร)
 
๏ เกิดมาแล้วเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ              ถือกำเนิดเฉิดฉายในโลกกว้าง
แต่ละคนแต่ละจิตแต่ละทาง                              เกิดมาอย่างไม่เหมือนกันพลันเข้าใจ
๏ บ้างเกิดมาฉลาดเหลือเก่งเหลือล้ำ               บ้างต้อยต่ำด้อยปัญญาหามิได้
แต่หากเรารู้ว่า "เขลาคือใคร"                            ย่อมแก้ไขข้อกังขาพาสุขกัน
๏ หากเราเชื่อคำนินทากล่าวว่าร้าย                 จากหญิงชายฉอเลาะเสนาะขัน
หากเราโกรธไร้เหตุผลหูออกควัน                   สิ่งเหล่านั้นคือโง่เขลาเศร้าอารมณ์
๏ หากพูดจาขาดสติมิประกอบ                         ถูกผิดชอบมิใส่ใจให้เหมาะสม
ไร้ไหวพริบปฏิภาณพาทุกข์ตรม                      คงเหมาะสมคำว่าเขลาเบาปัญญา
๏ หากเราคิดทำสิ่งชั่วมัวหมองจิต                   ไม่ใคร่คิดก่อนทำคงไร้ค่า
สร้างสิ่งชั่วมัวทำเลวเสียเวลา                            เห็นยิ่งกว่าคำว่าเขลาเราเข้าใจ
๏ หากเกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ              พร้อมธรรมเลิศชี้ทางสว่างไสว
แต่กลับปลีกหลีกหนีหายไม่สนใจ                   เรียกว่าไร้ปัญญาพาควรคิด
๏ เป็นคนมีสิ่งดีที่ล้ำค่า                                       ยิ่งดารามณีแววแพรววิจิตร
ยิ่งกว่าปวงเทวามาเนรมิต                                  แต่มิคิดจิตใส่ใจใคร่เศร้าจริง
๏ อีกคุยโวโอ้ว่าตนคนฉลาด                             ว่าเปรื่องปราดเกินกว่าใครในทุกสิ่ง
แต่แท้แล้วเขาคือคน"เขลา"ตัวจริง                   ที่มิทิ้งโมหะหลงงุนงงใจ
๏ รู้จัก"เขลา"เขาเป็นใครควรใคร่คิด               ธำรงจิตคิดถูกทางพบทางได้
อันความเขลาในใจจินต์ก็สิ้นไป                       ปัญญาไซร้ตามมาค่าอนันต์
๏ จึงจะสมเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ                  ปัญญาเลิศพร้อมค่ากว่าใครนั่น
แล้วรู้ว่าความเขลาคือใครกัน                             โอ้เธอนั้นรู้จัก "เขลา" เข้าใจเอย
..................................... (13. วิจิตร พิสดาร)......................................
 
14. ภาสกร
 
เขลา (14. ภาสกร)
 
๏ ลึกลงไปในจิตมืดมิดหมอง                     คือสีของความจนอันหม่นเศร้า
คล้ายโลกสิ้นแสงแผ่มาแลเงา                     จิตจึงเขลาเคว้งคว้างอย่างเลื่อนลอย
๏ จบชั้นเรียนประถมสี่ที่บ้านนอก                จึงจนตรอกแต่ไม่จนใจถอย
สู้ปากกัดตีนถีบบีบมือน้อย                        ดิ้นรนไม่รอคอย...เวทนา
๏ แม้รำลึกก็รันทดและหดหู่                                          ผ่านชีวิตต่อสู้อย่างรู้ค่า
เพื่อผ่านร้อนและผ่อนหนาวเพียงผ่าวตา      สอนชีวาไว้เพียงความเที่ยงตรง
๏ ไม่รู้เล่ห์กลลวงจึงกลวงเปล่า                    ชีวิตเขลาไร้ค่ากว่าฝุ่นผง
ถ้อยธุลีน้อยน้อยจึงลอยลง                                        อยู่ใต้กรงต่างกรอบที่ครอบตัว
๏ มีบ้างไหมปัญญาราคาย่อม                       จักอดออมซื้อไว้ใช้โงหัว
อยากจะเป็นคนใหม่ใช่ควายวัว                   กระทืบรั้วเกรอะกรังให้พังพับ
๏ ถึงจะเขลาแต่ใจไม่เคยขลาด                    เกรงอำนาจอิทธิพลจนแตกดับ
แม้แห้งผากเนื้อใจไม่แคบคับ                       ถึงตกอับแต่ก็สู้ไม่รู้วาย
๏ คนฉลาดเรามิรู้อยู่ไหนบ้าง                       เพราะอยู่อย่างโง่เขลาทุกเช้าสาย
ไม่มีหรอกแสงสีที่พร่างพราย                                        มีก็แต่กลิ่นอายคุณธรรม
..................................... (14.ภาสกร)......................................
 
15. (วิจิตร พิสดาร)
 
เกิดเป็นไทยอย่าให้ใครว่าเราเขลา (15. วิจิตร พิสดาร)
 
๏ ครั้งกรุงเก่าเล่าขานตำนานศึก                      อึกทึกครึกโครมโหมประหาญ
เสียงฝีดาบฉาบฟันประจัญบาน                        เลือดเดือดดาลแดงทั่วถิ่นแผ่นดินไทย
๏ ล่วงเลยกาลวันมหาวิปโยค                            พาทุกข์โศกเศร้าทรวงร่วงรินไห้
พฤษภาทมิฬผ่านสิ้นไป                                     ยังฝากไว้ความบอบช้ำย้ำวันนี้
๏ แต่เหตุการณ์ผ่านมาน่าฉงน                         ไยผู้คนทุกหนไทยใส่เสื้อสี
แบ่งแยกกันหันหน้าหายไม่ปรานี                   สามัคคีที่เคยสร้างลางเลือนลง
๏ จากทั่วทิศทุกถิ่นไทยไหลท่วมท้น               พลังคนพลังคิดจิตลุ่มหลง
หวังประชาธิปไตยไทยยืนยง                            จึงดำรงด้วยความหวังพลังใจ
๏ ไม่ร่วมมือร่วมฝันร่วมกันคิด                        ใช้พลังทางผิดจิตหมองไหม้
จับมือกันหันหน้าประชาไทย                           อย่าให้ใครใคร่หมิ่นแผ่นดินทอง
๏ "เกิดเป็นไทยอย่าให้ใครว่าเราเขลา"            จงหยิบเอาประวัติศาสตร์ชาติไทยผอง
เป็นบทเรียนล้ำค่ามาปรองดอง                         เพื่อพี่น้องไทยทุกคนพ้นเวรกรรม
..................................... (15. วิจิตร พิสดาร)......................................
 
16. ภาสกร
 
เขลา (16. ภาสกร)
 
๏ สองมือกร้านผ่านวิถีสู้ชีวิต                    ไตร่ตรองคิดเสริมสร้างอย่างรู้ค่า
ประสบการณ์ปรับสรรค์เป็นปัญญา               ถ่ายทอดมาหลายรุ่นร่มบุญไทย
๏ เปิดตำราลำนำธรรมชาติ                         บรรจุศาสตร์ยังชีพรอดตลอดสมัย
วิถีธรรม...เสรี...วิถีชัย                             ฝังแน่นในประวัติรัฐขจร
๏ คือเลิศล้ำตำนานการสร้างชาติ                  ร่างโดยปราชญ์ปางบรรพ์ผ่านคำสอน
ฉลุลักษณ์ถักสายทอลายซ้อน                        อรชรเอกลักษณ์ตำหนักไทย
๏ คำกล่าวขานภูมิปัญญาเลอค่าศิลป์              สยามถิ่นงามถ้วนล้วนขานไข
งามรอยยิ้มแย้มย้ำรอยน้ำใจ                          ทุกสิ่งได้สืบสานมานานนม
๏ อนิจจา! มองไปไทยวันนี้                      เลือนภาพที่...ความหลังเคยสั่งสม
โมหะจิตหยาบช้า...ค่านิยม                         ที่ควรชมจึงชอกช้ำอยู่ตำตา
๏ ภูมิความคิดคนรุ่นเก่าเราทอดทิ้ง              เชื่อตามสิ่งที่เมืองนอกบอกล้ำค่า
เชื่อทุกสิ่งเฉกสวรรค์สื่อบัญชา                     เชื่อเพราะว่าเขาเจริญเกินบ้านเรา
๏ เรามิได้พึ่งตนแล้วหนนี้                                        เพราะอวดดีอวดโก้แต่...โง่เขลา
ฝรั่งมันหมายหัวมามัวเมา                           ให้ลืมเงาลืมตนนะคนไทย
๏ เพื่อที่จะไม่สิ้นแผ่นดินก่อน                                   ฟื้นคำสอนอย่าให้สิ้นแผ่นดินใหม่
“มาตุคาม”เฉิดฉายไม่อายใคร                       รักษาไว้คู่แผ่นดินก่อนสิ้นลม
..................................... (16. ภาสกร)......................................
 
17. (วิจิตร พิสดาร)
 
อย่าหลงเขลา (17. วิจิตร พิสดาร)
 
๏ เป็นคนจนตนด้อยน้อยทรัพย์สิน อยู่ติดดินกินข้าวแกงเรี่ยวแรงเหลือ
ใช้กำลังทั้งชีวิตคิดจุนเจือ                                   เพื่อกอบเกื้อสร้างชาติตนเพื่อคนไทย
๏ เป็นข้าบาทมิเคยคิดจิตหักหลัง                     โกยเงินยังกระเป๋าตนคนชั่วไซร้
แม้สลึงพึงกระทำย้ำเงินใคร                              ภาษีได้ให้มาอยู่อย่าดูแคลน
๏ จงทำงานสนองคุณเกื้อหนุนชาติ                อย่าบังอาจเอื้อมคิดจิตหวงแหน
ธำรงไว้ประเทศชาติมาดเมืองแมน                 ธำรงแผ่นผืนดินไทยให้เนิ่นนาน
๏ อาจคิดว่าโกงเงินรัฐชัดฉลาด                        ช่างเก่งกาจวางแผนหวังสุขศานต์
บนกองเงินเหงื่อราษฎร์ร่วมเจือจาน               เพื่อหวังวานวันหน้าข้าสบาย
๏ แสนโง่เขลาเจ้าด้อยน้อยความคิด                ปัญญาปิดชี้ทางลางเลือนหาย
เมื่อนำเงินผองล้วนมวลหญิงชาย                    ก็จะพาลฉิบหายไทยทุกคน
๏ ฉ้อราษฎร์ชังบังหลวงห่วงตนสุข                ย่อมเกิดทุกข์ทุกทั่วคนคนทุกหน
แผ่นดินไทยต้องเดือดดาลพาลอับจน              เพราะกลุ่มคนโง่เขลาเบาปัญญา
๏ คิดแต่ได้ไร้สติตริตรองคิด                             ถึงชีวิตคนไทยในภายหน้า
ทั้งลูกหลานของเราเล่าพารา                             ย่อมนำพาสู่ตกต่ำช้ำฤดี
๏ คิดเถิดคิดคิดคิดใหม่คิดสร้างสรรค์              ร่วมมือกันสร้างชาติสร้างศักดิ์ศรี
ไม่คิดโกงชาติตนพ้นราคี                                   เกิดสิ่งดีต่อทุกคนสู่คนไทย
๏ อย่าได้เขลาเบาจิตคิดแต่ตัว                            พาหมองมัวหมดทางสว่างไสว
ประเทศชาติจะอยู่ในมือใคร                             ถ้ามิใช่มือเราทั้งเผ่าพันธุ์
..................................... (17. วิจิตร พิสดาร)......................................
 
18. ภาณุเดช
 
เขลา (18. ภาณุเดช)
 
๏ ถึงจิตใจของมนุษย์สุดลึกล้ำ                          มีเวรกรรมกล้ำกรายหมายเข่นฆ่า
เพราะตัวเราไร้สมองตรองปัญญา                    จนชีวาแทบดับลับโลกันต์
๏ ความเป็นคนควรถึงซึ่งสติ                             สมาธิเป็นหนึ่งจักถึงฝัน
หากกิเลสครอบงำซ้ำชีวัน                                  คอยห่ำหั่นเหยียบย่ำย่อมนำภัย
๏ ดั่งภาษิตบอกเรื่องราวเกิดฉาวโฉ่                เมื่อคนโง่ตกเป็นเหยื่อคนหัวใส
เขลาปัญญาจึงสังเวชพิษเลศนัย                        สังคมไม่ยอมรับชีพอับจน
๏ ชายสองคนเป็นเพื่อนซี้ที่สนิท                     คนหนึ่งคิดเร่งศึกษาพาเพริศผล
เฝ้าร่ำเรียนเขียนอ่านสร้างงานตน                   มีแต่คนนับถือล้วนลือนาม
๏ เพื่อนอีกคนคิดหมายอบายมุข                      มีแต่ทุกข์ในตนคนเหยียดหยาม
กระทำชั่วมั่วกิเลสเหตุเลวทราม                       ทั้งเรื่องกามเหล้ายาต้องจาบัลย์
๏ เมื่อถึงคราวเข้าทำงานเลี้ยงชีวิต                   ควรรู้คิดทางปัญญาพาสุขสันต์
หากยังเขลาเบาความรู้สู่ตนนั้น                        คิดไม่ทันคนหัวหมอล่อหลุมพราง !
..................................... (18. ภาณุเดช)......................................
 
(19. ภาณุเดช แก้ไขครั้งที่ 1)
 
เขลา (19. ภาณุเดช แก้ไขครั้งที่ 1)
 
๏ ถึงจิตใจของมนุษย์สุดลึกล้ำ                          มีเวรกรรมกล้ำกรายหมายเข่นฆ่า
เพราะตัวเราไร้สมองตรองปัญญา                    จนชีวาแทบดับลับโลกันต์
๏ ความเป็นคนควรถึงซึ่งสติ                             สมาธิเป็นหนึ่งจักถึงฝัน
หากกิเลสครอบงำซ้ำชีวัน                                  คอยห่ำหั่นเหยียบย่ำย่อมนำภัย
๏ ดั่งภาษิตบอกเรื่องราวเกิดฉาวโฉ่                  เมื่อคนโง่ตกเป็นเหยื่อคนหัวใส
เขลาปัญญาจึงสังเวชพิษเลศนัย                        สังคมไม่ยอมรับชีพอับจน
๏ ชายสองคนเป็นเพื่อนซี้ที่สนิท                     คนหนึ่งคิดเร่งศึกษาพาเพริศผล
เฝ้าร่ำเรียนเขียนอ่านสร้างงานตน                   มีแต่คนนับถือล้วนลือนาม
๏ เพื่อนอีกคนคิดหมายอบายมุข                      มีแต่ทุกข์ในตนคนเหยียดหยาม
กระทำชั่วมั่วกิเลสเหตุเลวทราม                       ทั้งเรื่องกามเหล้ายาต้องจาบัลย์
๏ เมื่อถึงคราวเข้าทำงานเลี้ยงชีวิต                   ควรรู้คิดทางปัญญาพาสุขสันต์
หากยังเขลาเบาความรู้สู่ตนนั้น                        คิดไม่ทันคนหัวหมอล่อหลุมพราง !
..................................... (19. ภาณุเดช แก้ไขครั้งที่ 1)......................................
 
20. ภาณุเดช
 
เขลา (20. ภาณุเดช)
 
๏ คำว่าเขลาแปลได้คือ “ไม่รู้”                         หนวกทั้งหูบอดทั้งตาจึงว่าเขลา
ลมหายใจ แว่วเสียงเพียงแผ่วเบา              ทุกค่ำเช้าดึกเย็นไม่เห็นอะไร
๏ ตาเนื้อจับรับภาพจากภายนอก                 มิอาจบอก “ลวงจริง” ทุกสิ่งได้
สัมผัสภาพที่รับมาจากตาใน                                     คือหัวใจตีความตามเป็นจริง
๏ โลกภายนอกกว้างไกลไร้สิ้นสุด               โลกภายในใจมนุษย์นั้นแคบยิ่ง
โลภ โกรธ หลง เกลียด รัก หลบพักพิง       เวียนสร้างสิ่งมัวหมองครองจิตใจ
๏ ทางสะอาดทางสว่างทางสงบ                  ย่อมหาพบหากมุ่งธรรมสำเร็จได้
“ดับสาเหตุแห่งทุกข์” สุขข้างใน                โลกกว้างใหญ่จะแคบแท้แค่กำมือ
๏ เพื่อชีวิต-สังคม ร่มเย็นสุข                                     ดับไฟทุกข์ด้วยธรรมนำยึดถือ
เปิดจิตอันโง่เขลาเฝ้าฝึกปรือ                        “รู้ตน”คือรู้ทั้งหมด... กำหนดลม
๏ สติมาปัญญาเกิดเลิศล้ำค่า                        รู้ชีวาต้องทำคุณบุญสั่งสม
ดับความเขลาด้วย “การรู้” คู่ควรชม            บัวพ้นตม ช่อไสว ไม่เขลาเอย...
..................................... (20. ภาณุเดช)......................................
 
21. สถิตคุณ
 
เขลา (21. สถิตคุณ)
 
๏ มนุษย์โลกมีความคิดและทิฐิ                        ไม่ตรองตริเกลสด้วยเหตุผล
มีโมหะหลงผิดของจิตตน                                 เขลาเหลือล้นความคิดพิจารณา
๏ ไม่กลัวบาปไม่หาบบุญกุศลหนัก                 มัวไปรักมลทินถวิลหา
ผิดจากธรรมพระสรรเพ็ชญเทศนา                  ใช้ปัญญาไตร่ตรองครรลองกรรม
๏ ปัญญาเปรียบแสงสว่างกระจ่างโชติ           เรื่องวิโรจน์แจ่มโสภาเลขาขำ
ส่องความรู้ดูสิ่งยิ่งควรทำ                                   น่าจดจำตรองตัวทำชั่วดี
๏ โมหะนั้นแปลหลงคงจำได้                           หากคนใดถูกต้องหม่นหมองศรี
หน่อกิเลสเหตุหลักประจักษ์มี                          ทุกนาทีว้าวุ่นครุ่นคิดกัน
๏ นอกจากนั้นคือความเห็นผิด                         เป็นจริตบาปหนักสุดหักคั่น
เปรียบภูผาป่ารกดงพงไพรวัลย์                        ทางขวางกั้นไปสู่ประตูเมือง
๏ สลัดยากมากหลายสุดคลายสิ้น                     เป็นอาจิณคนเรานั้นพลันกระเดื่อง
ต้องตัดรากต้นเหตุชัดความขัดเคือง                คงรุ่งเรืองแน่นอนขจรไกล
๏ อาปานาสติจงดำรงมั่น                                   ฝึกทุกวันทุกเวลาอัชฌาสัย
สังหารเขลาเรานี้เถิดประเสริฐไว                     จนหมดไปจากสันดานกังวานชน
๏ โมหะนี้พระชี้บาลีเทศน์                                ลองสังเกตคอยท่าอย่าฉงน
ใช้อารมณ์คมคายคิดจิตใจตน                            สุดท้ายผลส่งกลับลำดับมา
๏ เหมือนบุคคลจนตรอกออกไม่ได้                โมหะไซร้หรือความเขลาเคล้ากังขา
ให้หลงทางผิดพลาดมิคลาดคลา                       จนคอยค้นพบทางเมื่อห่างธรรม
..................................... (21. สถิตคุณ)......................................
 
22. สถิตคุณ
 
ความเขลามาเยือน จงเตือนชีวา (22. สถิตคุณ)
 
๏ มีความเขลาเคล้าทุกข์ไม่สุขดอก                  ความหลงหลอกจิตใจให้หม่นหมอง
ยากสลัดหักห้ามดั่งใจปอง                 อดใจตรองถี่ถ้วนกระบวนธรรม
๏ คนฉลาดปราชญ์เปรื่องเรื่องใดเล่า          ความหลงเข้าบังสุขทุกเช้าค่ำ
หลงเย่อหยิ่งข่มใครเห็นเป็น                             มันน่าขำคนโง่อวดโก้เอง
๏ รู้แต่หลักตำราสารพัด                                     มิได้หัดจิตใจให้ดูเก่ง
ทฤษฎีตีความยามบรรเลง                                  เพื่อครื้นเครงด้วยความหลงคงอาลัย
๏ คงรู้แจ้งมีปัญญาหาเหตุผล                            อุบายกลทุกชนิดพิสมัย
ดูจิตรู้ดูลมที่หายใจ                                               ผ่องสดใสความหลงคงอัปรา
๏ โมหะไซร้ได้เปรียบเหมือนเดือนหม่น      ดั่งจิตตนตรมตรองลำพองหา
เปรียบป่ารกหวายหนามดูหยามตา                  คิดเถิดว่าจะแก้ไขอย่างไรพอ
๏ เมื่อจะหลงคงไว้จิตใจมั่น                              อย่าไหวหวั่นภัยพาลสาธารณ์หนอ
ชั่วชีวิตริบหรี่อย่ารีรอ                                         จงสู้ต่อด้วยใจมั่นในธรรม
..................................... (22. สถิตคุณ)......................................
 
23. สถิตคุณ
               
กำจัดสุดฤทธิ์ พิชิตความเขลา (23. สถิตคุณ)
 
๏ คนที่โง่รู้ตัวชั่วขณะ                                        ไม่ลดละฝึกตนไม่หม่นหมอง
ตรึกตรองตนคนอื่นเล่าช่างเขาปอง ดูยุบพองตรองดูรู้อารมณ์
๏ อย่าประมาทปราชญ์ยกดิลกเลิศ                   ยิ่งประเสริฐแก่ตนคนเหมาะสม
สมควรนับว่าฉลาดปราชญ์ชื่นชม                   เปี่ยมอุดมมากค่าน่าภูมิใจ
๏ คนที่โง่ดูผิดยิ่งคิดเบ่ง                                     ว่ากูเก่งกว่าใครยิ่งกว่าสิ่งไหน
หลงทะนงคงตัวเขลาโง่เง่าไป                          จะบรรลัยสักวันนั้นคอยดู
๏ จำไม่จำจดไม่จำคำอุเทศน์                             ยกผลเหตุมาวิจาร์น่าอดสู
แล้วไม่นำทำเราให้เขาดู                                     ได้แต่อวดรอบรู้กูเข้าใจ
๏ เป็นเชื้อโรคกินใจจนไข้ป่วย                         สุดจะช่วยแก้มาอัชฌาสัย
ยิ่งหลงตัวชั่วหยาบแม้ตราบใด                          ยิ่งเข้าใกล้ภัยเหตุวอดวาย
๏ ถ่อมชีวิตเสงี่ยมตนอดทนเถิด                       จะประเสริฐเลิศหล้าพาเฉิดฉาย
รู้ตัวเขลาเรามีชัยทั้งใจกาย                 เขลาสลายหมดสิ้นยินดีพอ
..................................... (23. สถิตคุณ)......................................
 
24. สถิตคุณ
               
ความเขลาย่างมา อาปานาย่างตอบ (24. สถิตคุณ)
 
๏ อันความหลอกลวงจิตชีวิตท่าน                    ก็ไม่ปานตรมทุกข์ไม่สุขศรี
มาบดบังชังโกรธถือโทษมี                                อวดกันทีข้าเก่งไม่เกรงใคร
๏ นั้นแหละเขลาเย้าหยอกมันตอกจิต             ให้สิ้นคิดเหตุผลกลวิสัย
ขาดสติยั้งยับระงับใจ                                          คงบรรลัยเวลาไม่ช้าที
๏ เปรียบหางเสือเรือใหญ่ที่ไวว่อง                   แล่นไลล่องสาคราทุกราศี
ดั่งใจชอบกอปรการณ์สำราญมี                         ไปด้วยดีแคล้วภัยสมใจครัน
๏ หากหางเสือขาดนี่สิน่าใจหาย                      คงวอดวายแน่หนาน่าโมหันต์
เรือคงอัปปางลงมาเวลาพลัน                            ไม่มีวันคืนสู่เหมือนอยู่มา
๏ เมื่อความเขลาเข้ามาอย่าไหวหวั่น               จงสู้มันให้รู้ขาดดั่งปรารถนา
กำหนดลมหายใจให้อาปานา                            ทุกชีวาเป็นอารมณ์อุดมพร
๏ ความเขลาคงลงลับดับไปแน่                        ให้เที่ยงแท้ดื่มด่ำตรงคำสอน
มองสติดำริตนทนอาวรณ์                                  สู่นครนิพพานสำราญเอย
..................................... (24. สถิตคุณ)......................................
 
25. พัชรีภรณ์
 
ทำตนให้พ้น “เขลา” (25. พัชรีภรณ์)
 
๏ พ่อแม่ส่งให้เล่าเรียนเพียรศึกษา                  ด้วยวิชาจะกูลเกื้อเมื่อเติบใหญ่
อนาคตของลูกถูกห่วงใย                                    ท่านจึงได้เล่าเรียนเพียรอบรม
๏ “การศึกษาพาให้ห่างไกลชั่ว                         ทั้งครอบครัวไร้ทุกข์พบสุขสม
เรียนให้รู้อยู่ให้ได้ในสังคม                               โลกนิยมทุกยามคือ “ความดี”
๏ ลูกลูกเอ๋ยมีวิชาค่าเลิศล้น                               ทำให้ตนมีหลักมีศักดิ์ศรี
เป็นมนุษย์ “สุดเขลา” ไม่เข้าที่                         เรียนเพื่อหนี โง่เขลาเบาปัญญา”
๏ หวังให้ลูกพ้น “เขลา” ท่านเฝ้าสอน            ฉันสังวร...เวี่ยไว้...ใฝ่ศึกษา
ยามเรียน...เรียน...ยามเล่น...เล่น...เป็นเวลา                ทุกวิชาช่วยเชาว์...เยาวชน
๏ แสงสว่างอยู่ข้างหน้าอย่าได้ท้อ                    เดินทางต่อไปเถิดจะเกิดผล
รู้ฉลาดปราดเปรื่องประเทืองตน                      ชีวิตพ้น...หลุมดำ...กอบกำชัย
๏ รังสรรค์ตนพ้นเขลามิเศร้าหมอง ชีพเรืองรองอนาคตสุขสดใส
เสริมสว่างทางปัญญาก้าวหน้าไกล                  เป็นคนไทยเฉียบฉลาดชาติเจริญ
..................................... (25. พัชรีภรณ์)......................................



กลอนสุภาพ 2553

ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (กลอนสุภาพ) : หัวข้อ “ห้วงแห่งมโนสำนึก”
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (กลอนสุภาพ) : หัวข้อ “ทางแยก” article



bulletผลร้อยกรองออนไลน์ 2558
dot
ประกวดร้อยกรองออนไลน์ครั้งที่ 7
dot
bulletข้อมูลการประกวดครั้งที่ 7, 2557
bulletผังร้อยกรอง
bulletอ่านโคลงประกวด 2557
bulletอ่านกลอนประกวด 2557
bulletอ่านกาพย์ยานีประกวด 2557
bulletผลการประกวดร้อยกรอง ปี 2557
dot
ข่าวสาร ข้อมูลสมาคม
dot
bulletกรรมการสมาคมสมัยที่ ๑๕-๑๖
bulletนายกสมาคมสมัยที่ ๑๗
bulletติดต่อนายกสมาคมนักกลอน
bulletติดต่อฝ่ายดูแลส่วนต่างๆ
bulletสมัครสมาชิกสมาคมนักกลอน
bulletนักกลอนตัวอย่าง ๒๕๕๓
dot
หัวข้อน่าสนใจ
dot
bulletรวมลิ้งค์เว็บไซต์น่าสนใจ
bulletส่งบทสักวา น.ส.พ. สยามรัฐ
bulletวารสารวิทยาจารย์ รับต้นฉบับ
bulletส่งข้อเขียนครูในดวงใจ
dot
แนะนำหนังสือ
dot
bulletหน้ารวมหนังสือ
bulletคู่มือเรียนเขียนกลอน
bulletกาสรคำฉันท์ - สมคิด สิงสง
bulletหนังสือสุรินทร์สโมสร
bulletฝากโลกนี้ไว้ในหัวใจเธอ - กอนกูย
bulletเลือน - อติภพ
bulletธาร ธรรมโฆษณ์
bulletนายทิวา
bulletกลอนเกียรติยศ
bulletอ้อมกอดแห่งท้องทุ่ง
bulletทองแถม นาถจำนง
bulletพงศาวดารพิภพ
bulletโป๊ยเซียน คะนองฤทธิ์
dot
โครงการประกวดต่างๆ
dot
bulletนายอินทร์อะวอร์ด ๒๕๕๖
bulletประกวดรางวัลซีไรท์ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลพานแว่นฟ้า ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลวรรณกรรมรามคำแหง ๒๕๕๖
dot
ผลตัดสินรางวัลต่างๆ
dot
bulletรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletผลรางวัลซีไรต์ ๒๕๕๗
bulletผลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ๒๕๕๗
bulletผลรางวัลแว่นแก้ว ๗ (๒๕๕๓)
bulletผลกลอนวิถีคนกับควาย
bulletผลร้อยกรอง “ผมจะเป็นคนดี”
bulletรางวัลนราธิป ๒๕๕๓
bulletนักเขียนอมตะ คนที่ ๖ (๒๕๕๕)
bulletนักเขียนรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletศิลปินมรดกอีสาน ๒๕๕๔
bulletผลรางวัลพานแว่นฟ้า ๒๕๕๕
bulletผลรางวัลรามคำแหง ๒๕๕๖
bulletศิลปินแห่งชาติ ๒๕๕๕
bulletผลประกวดหนังสือ ชีวิตใหม่ 2
dot
ข่าวคราวของลมหายใจ
dot
dot
Weblink
dot
bulletอ่านกลอนประกวด 2556

หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก
สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาภาษาไทย มศว
เว็บรวมกระทู้ อาศรมชาวโคลง ใน pantip.com
หนังสืออีศาน


Copyright © 2010 All Rights Reserved.
ติดต่อ นายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ทองแถม นาถจำนง
โทรศัพท์ ๐๘๙-๑๒๓๔๗๕๔ อีเมล์ tongtham.n@hotmail.com

สำนักพิมพ์แม่โพสพ