*****ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (กลอนสุภาพ) : หัวข้อ “เขลา” *****
(รวม 25 ชิ้น)
1. (วิจิตร พิสดาร)
ควรขาดเขลา (1. วิจิตร พิสดาร)
๏ เมื่อยังเล็กเด็กน้อยด้อยความคิด ประกอบผิดถูกบ้างตามประสา
เมื่อเติบใหญ่เริ่มรู้คิดจิตปัญญา แล้วจะมามัวเมาเขลาอย่างไร
๏ อันความเขลาเขาว่าคือไม่รู้ ต้องมีครูสอนสั่งปลูกฝังให้
จึงจะเป็นผู้ขาดเขลาบรรเทาใจ ให้รู้ได้แจ้งจิตคิดปัญญา
๏ ประดุจเราเหล่านักเรียนเพียรฝึกฝน สร้างตัวตนเป็นคนมีคุณค่า
มีคุณครูอบรมบ่มจรรยา มีราคาดุจมณีเจียระไน
๏ อันโบราณว่าไว้ในบึงกว้าง แดดกระจ่างบัวบานก้านไสว
บนใบบัวมีกบกระโดดไว หาเลยได้ลิ้มชิมรสปทุมมา
๏ แต่ภุมมรร่อนบินผินเวหน ชื่นกมลกลั้วเคล้ารสนาสา
ดุจมาพบของดีด้วยปัญญา ที่เพียรหามาให้ใส่ท้องตน
๏ แม้นเจ้ากบอาศัยใกล้บัวแก้ว กับคลาดแคล้วมิอาจเอื้อมน่าแปลกล้น
เพราะโง่เขลาเบาปัญญาพาอับจน เกิดเป็นคนอย่าเป็นเช่นนั้นเลย
๏ จงอุตส่าห์หาความรู้มาสู่ใส่ อย่าปล่อยให้กาลผันวันเปลี่ยนเฉย
เร่งเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ไม่เคย และละเลยความชั่วหมองมัวใจ
๏ ใช้ปัญญาพาสติเป็นที่ตั้ง อย่าได้หวังวาสนานำพาให้
จงอย่าเขลาหลงอารมณ์ระทมใจ ควบคุมได้คือฉลาดปราชญ์อารมณ์
๏ คนที่เขลาที่สุดในโลกนี้ คือคนที่คิดว่าเก่งหาใครสม
แต่คนที่เราควรจะชื่นชม คือคนก้มรับว่าเราเบาปัญญา
๏ จงรีบเร่งนำธรรมนำความคิด เป็นชีวิตน่าชื่นชมสมคุณค่า
มีความรู้ประดับตนล้นกายา ดีเสียกว่าพร้อมเพชรพลอยนับร้อยเอย
..................................... (1. วิจิตร พิสดาร)......................................
2. (รุเธียร)
ขลาดเขลา (2. รุเธียร)
๏ ฉันขลาดเขลายิ่งนักเลยเธอจ๋า เฝ้าใฝ่หาความฝันอันล้าหลัง
ยิ่งเวลาผ่านไป ทุกคราครั้ง ใจดวงนี้ผุพังฝังร่างกาย
๏ ช่างโง่เขลายิ่งนักนะตัวฉัน แม้ผ่านฝันวันคืนที่สูญหาย
แม้นตระหนักในความจริงไม่เสื่อมคลาย แต่สุดท้ายฝันใฝ่ในความลวง
๏ อับจนหม่นหมองเลยเธอจ๋า ถูกผู้คนปวงประชามาทักท้วง
ขัดข้องแตกแยกคนทั้งปวง ทุกถิ่นที่ตะขวงตะขิดใจ
๏ ฉันโง่แน่หรือตัวฉัน ถูกคำพูดกรอกบั่นจนหวั่นไหว
ฉันโง่เง่าขลาดเจลาเกินผู้ใด เป็นความจริงหรือไม่ช่วยบอกที
๏ โง่เง่า โศกเศร้า โอ้เธอจ๋า อ่อนแอ อ่อนล้า อยากหลีกหนี
ถูกผู้คนก่นด่า ถูกทุบตี ถูกชำแรก แหวกฤดี ร้าวลั่นไป
๏ ฉันผิดหรือที่เป็นเช่นตัวฉัน ความแตกต่างบิดผันย่อมเป็นได้
แต่ทำไมถูกกล่าวหาคร่าดวงใจ โอ้ ฉันทำผิดอะไร ใยฟาดฟัน
๏ ฉันสงสัยในโลกนะเธอจ๋า ตั้งคำถามใฝ่หาด้นดั้น
ใยมนุษย์พวกพ้องต้องกีดกัน หรือคำถามของฉันทำร้ายใคร
๏ ทรรศนะอันนี้เป็นของฉัน ถูกบีบคั้น ถูกกดดัน ถูกผลักไส
ทรรศนะที่แตกต่างผิดอะไร ใยผลักไสตัวฉันเป็นศัตรู
..................................... (2. รุเธียร)......................................
เขลา (3. สืบอักษร)
๏ คิดว่าฟ้าลิขิตชีวิตหรือ คิดว่ามือลิขิตชีวิตไหม
คิดว่าวันพรุ่งนี้มีหรือไร คิดว่าใจอ่อนแอแน่หรือเรา
๏ แน่หรือนั่นทุกปัญหามีทางแก้ สง่าแท้แลล้ำเลิศเฉิดเฉลา
จริงหรือไรที่ไม่ควรจะด่วนเดา ควรจะเฝ้าพินิจความให้เหมาะควร
๏ ไฉนเล่าเฝ้าแต่ครวญเฝ้าแต่คิด จมแต่จิตติดเวียนวนทนกำสรวล
เมื่อฝนมาฟ้าก็หม่นคำรนรวน ฟ้าก็ควรกระจ่างงามยามฝนซา
๏ ชีวิตนี้ถือกำเนิดเกิดแต่ไหน จะหาใครให้คำตอบที่ปรารถนา
อันโลกนี้ใครสร้างสรรค์บันดาลมา ที่สงกายังสงสัยในกมล
๏ อีกหลายข้อครวญคงพะวงคิด สร้างประสิทธิ์เสกแสร้งให้สับสน
นี่แหละคือความคิดจิตของคน เฝ้าเวียนวนค้นทายจวบปลายทาง
๏ ไม่มีใครไม่เคยพลาดไม่เคยผิด ไม่เคยคิดหวั่นเกรงเยงโลกกว้าง
เกิดครั้งหนึ่งถึงสุดท้ายเมื่อวายวาง ย่อมล้มบ้างลุกบ้างเป็นธรรมดา
๏ ล้มใช่ล้มแต่จะฟื้นยืนผงาด ขลาดใช่ขลาดแท้จริงอหิงสา
เขลาใช่เขลาเราบ่มเพาะก่อปัญญา กล้าใช่กล้ากระทำความไปตามกาล
๏ มิใช่เราหรือเขาที่เขลากว่า ล้วนเกิดมาเวียนวนวัฏฏสงสาร
ทำดีเถิดเพื่อคุณพระอภิบาล เมื่อวันวานเราและเขาเขลาทุกคน
..................................... (3. สืบอักษร)......................................
4.ณรงค์ศักดิ์
เขลา (4. ณรงค์ศักดิ์)
๏ ฉลาดล้นความสามารถมากมายยิ่ง แต่ประวิงชอบนินทาพาคิดร้าย
ดุจคำขานฉลาดไปพาวอดวาย ฟังดูแล้วใจหายน่าอาดู
๏ คนโง่เขลาที่คนเฝ้าตำหนิ ดูเขาสิมีใจจริงเพื่อจะสู้
มีความเพียรนั้นคอยเฝ้าเชิดชู เป็นผู้รู้ความดีเปรมปรีจริง
๏ ที่โง่เขลาฉลาดล้นคำคนลือ เป็นแค่สื่อศึกษาหาอื่นยิ่ง
แต่ควรดูความดีคือความจริง ทุกๆสิ่งจะได้เลิศเปิดทางเดิน
๏ จะดูคนอย่าดูแค่ฉลาด ควรจะเปิดโอกาสมิห่างเหิน
คนโง่นั้นอาจจะเป็นตามดำเนิน จงสรรเสริญความดีว่าอย่างไร
๏ การศึกษามิอาจเด่นเป็นบ้าง งานอ้างว้างคนจ้างตามสมัย
คนเก่งดีมีงานก็ทำไป คนโง่ไซร้ใช้แรงงานประสานตน
๏ ฟังแล้วคิดเพื่อให้รู้ใจตน การเป็นคนดีนั้นรู้ทุกคน
เริ่มฝึกฝนขัดเกลาใจของตน ให้เป็นคนดีได้อย่างภูมิใจ
..................................... (4. ณรงค์ศักดิ์)......................................
5. อัศรา
เขลา (5. อัศรา)
๏ โง่งี้เง่าแสนเขลาดังคำอ้าง แสนอ้างว้างเมื่อได้ฟังกังวาลหู
คำดูถูกดูหมิ่นใคร่คิดดู แสนอดสูได้ฟังดังกะวาล
๏ เหนื่อยก็เหนื่อยได้ฟังนั่งครุ่นคิด ดวงใจจิตได้ฟังน่าสงสาร
คนแสนโง่ที่เราเฝ้าวิจารณ์ มิอาจหารห้ามถึงซึ่งคำคน
๏ มนุษย์นี้ที่เขาได้กำเนิด ถือว่าเลิศใช่แท้หรือสับสน
ว่าแต่เขาเพื่อนพ้องต่างใจตน คนสุขสันต์วิจารณ์หมานน้ำใจ
๏ เพื่อนผู้ฟังบทกลอนสอนใจคิด ดูถูกผิดการกระทำนำสมัย
โลกมนุษย์ใหญ่แสนแดนกว้างไกล อย่าทำให้คนรอบข้างต้องหมางเมิน
๏ เห็นว่าเพื่อนโง่เง่าดั่งเต่าตุ่น ต้องค้ำจุนช่วยเหลือไม่ห่างเหิน
ใช่ตอกย้ำนินทาเปิดทางเดิน มิสรรเสริญแต่ตอกย้ำช้ำใจจริง
๏ คนโง่นั้นอาจฉลาดอย่างปราชญ์ได้ เพียงแต่ให้การศึกษาพาใหญ่ยิ่ง
ทั้งยังเป็นกำลังใจอย่าประวิง ทุกๆสิ่งจะสำเร็จเกร็ดชีวี
..................................... (5. อัศรา)......................................
6. Pee-nu-d
3 ปี แห่งความตายของยุติธรรม (6. Pee-nu-d)
แด่ดินแดนแห่งลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟตริส กับ 3 ปี ที่ไม่พบอาวุธชีวภาพ
พบแต่ชีวิตที่ถูกพร่าโดย (ผู้ค้นหา) อาวุธ
๏ เมื่อลมแล้งโรยริ้วมารอนร้อน เราพักผ่อนหลบแดดที่แผดเผา
ในแล้งจัดร้อนจ้าไม่พลาเพลา ใครห่วงเขา 'คนแห่งทะเลทราย'
๏ สามปีแล้วที่เลือดไม่เคยแล้ง สามปีแห่งโหยหาน้ำตาหาย
สามปีแห่งชีวิตปลิดและวาย สามปีแห่งความตายของยุติธรรม
๏ ไม่มีรักให้อิรักสักรักหรือ เจ้าของมือลั่นปืนในคืนค่ำ
ร่างน้อยน้อยกับตาดวงดำดำ จะกลับช้ำรอยรดหยดแดงแดง
๏ ผิดใดหรือเด็กน้อยจึงถูกฆ่า บ้างแขนขาขาดสิ้นวะวิ่นแหว่ง
โลกตั้งท่าด่าทอแต่พอแรง และสาปแช่งผู้ก่อแต่พองาม
๏ เมื่อลมแล้งโรยริ้วมารอนร้อน สามปีก่อนยุติธรรมถูกย่ำหยาม
ครบรอบจึงโลกกล่าวป่าวประนาม ก่อนก้าวข้ามความอธรรมไปอีกปี
..................................... (6. Pee-nu-d)......................................
7. ชาตรี
เขลาเท่ากัน (7. ชาตรี)
๏ สืบเอ๋ยสืบ สืบศรีกวีศิลป์ จะหลั่งรินดอกสร้อยร้อยภาษา
หยดน้ำหมึกพร่างพจน์รจนา สืบปัญญาสืบคำสืบน้ำใจ
๏ มโนภาพอักษรสัญจรสื่อ หน้ากระดาษหนังสือคือคำไข
แฝงความรักลิ้มรวงความห่วงใย เก็บความนัยปริศนาห้วงอารมณ์
๏ สืบเอ๋ยสืบสืบจักหายสลายแล้ว กวีแก้วทะเลาะไม่เหมาะสม
เพียงรางวัลไขว่คว้าค่านิยม เคยหยัดยืนชื่นชมอุดมการณ์
๏ ลืมคำว่า“พี่น้อง”ร้อยกรองหรือ? เมื่อวานซืนยังนับถือเขียนสื่อสาร
ลืมคำมั่นสัญญาต่ออาจารย์ ว่าจักสร้างผลงาน...เพื่อแผ่นดิน
๏ สุโขทัยผดุงถึงกรุงศรีฯ วรรณคดีถูกเผาแทบสูญสิ้น
พวกพม่าต่างแดนแคว้นไพริน เหยียบย่ำถิ่นรุกรานเผาบ้านเมือง
๏ โบราณว่าศึกไหนจักร้ายเท่า ศึกในเรามากมายยังหลายเรื่อง
มีผู้นำ ชื่อความโกรธโหดแค้นเคือง มีลูกน้อง นองเนืองชื่อว่าคน
๏ เชิญท่านเผางานเขียนไทยให้เต็มที่ คนละครั้งคนละทีจะกี่หน
เมื่อพอใจค่อยเก็บเศษกระดาษยล ที่เปื้อนปนน้ำตานักประพันธ์
๏ แบกตำราถือสายสะพายย่าม ไม่อยู่แล้วนิยามโลกความฝัน
สำนักนี้ที่อยู่ผู้ดึงดัน ทะนงกันเป็นปราชญ์ฉลาดเชาวน์
๏ ก่อนจะลาจากไปจนไกลแสน มอบตัวแทนของขวัญย้ำวันเก่า
เป็นคำพูดหนึ่งคำ...ระหว่างเรา “ถ้าเธอเขลา...ฉันก็เขลา เท่าเท่าเธอ!”
..................................... (7. ชาตรี)......................................
8.ชาตรี
เขลาไม่ขลาด (8. ชาตรี)
๏ คนเขลารับการศึกษาเรียนมาน้อย คนเก่งคอยขยันหมั่นศึกษา
คนเขลาจึงพื้นฐานเบาปัญญา คนเก่งกาจกะโหลกหนาตำรากอง
๏ คนเขลาพออ่านออกบอกเขียนได้ คนเก่งใฝ่เชี่ยวชาญอ่านเขียนคล่อง
คนเขลาเดินก้มหน้าไม่กล้ามอง คนเก่งรับการยกย่องจากผองชน
๏ คนเขลาอยู่ปากกัดและตีนถีบ คนเก่งมีอาชีพประโยชน์ผล
คนเขลาทำไร่นาประสาจน คนเก่งทำนาบนหลังคนทุกข์
๏ คนเขลาย่อมเสียเหงื่อเมื่อเสียเปรียบ คนเก่งเหยียบคนเขลาเอาความสุข
คนเขลาหรือจะกล้าท้ารบลุก คนเก่งบีบกระตุกก็ปางตาย
๏ คนเขลามีเงินน้อยด้อยรายรับ คนเก่งนับเงินบาทไม่ขาดสาย
คนเขลาค่าแรงต่ำระกำอาย คนเก่งหมายยังขูดรีดคอยกรีดเนื้อ
๏ คนเขลาตันหันหน้าพึ่งพาหวย คนเก่งรวยสวาปามโกยความเชื่อ
คนเขลาคลุกข้าวน้ำปลาพริกกับเกลือ คนเก่งซื้อกินเหลือเบื่อก็ทิ้ง
๏ คนเขลาสอนลูกด้วยไม้เรียวรัก คนเก่งจักเลี้ยงตามใจให้ทุกสิ่ง
คนเขลาปลูกคุณธรรมความดีจริง คนเก่งยิ่งปลูกเหลวไหลไม่รู้ตัว
๏ ลูกคนเขลาขยันหมั่นศึกษา เปิดตำรากระบวนดูถ้วนทั่ว
ตามคำสอนรับผิดชอบต่อครอบครัว ยอดดอกบัวพ้นน้ำงดงามนัก
๏ ลูกคนเก่งขยันหมั่นใช้สอย เงินจึงน้อยกว่าเดิมเริ่มคิดหนัก
ขายบ้านอยู่อู่นอนเคยผ่อนพัก ยอดดอกรักของแม่พ่อก็ร่วงลง
๏ มิใช่เรื่องแปลกประหลาดวาดอักษร เป็นละครกลอนโกหกให้โลกหลง
“ไม่ยืนยง”ศาสนา ว่า“ยืนยง” คนเขลาจงอย่าท้อสู้ต่อไป....
..................................... (8. ชาตรี)......................................
9.ชาตรี
เชิญเธออ่านความเขลาบนเก้าอี้... (9. ชาตรี)
๏ “เชิญเธออ่านความเขลาบนเก้าอี้ สวัสดีอีกคราผู้มาใหม่
หยุดเห่าก่อนเจ้าตูบลูบหัวไว้ จิบน้ำชาก่อนไหมผู้มาเยือน..?”
๏ ข้างนอกนั้นเหน็บหนาวอาจขาวซีด ข้างนอกนั้นมีมีดผู้ป่าเถื่อน
ข้างนอกนั้นหนทางยังลางเลือน ข้างนอกนั้นตะวันเดือนให้เพียงเงา
๏ ข้างในนี้ให้ไออุ่นละมุนพัก ข้างในนี้มีความรักหากเธอเหงา
ข้างในนี้มีฝันเมื่อวันเยาว์ ข้างในนี้แสงจะเร้าเจ้าดอกไม้
๏ ณ ที่นี้กระทำจากน้ำหมึก ที่รู้สึก นึก คิด ลิขิตไข
ฉันโง่“เขลา”เบาปัญญายิ่งกว่าใคร แต่หาใช่สุดสิ้น..“จินตนาการ”
๏ ฉันจึงเขียนความเขลาเป็นความคิด จึงเขียนถูกเป็นผิดผสมผสาน
เขียนด้วยรักด้วยศรัทธาเขียนมานาน เมื่อเธออ่าน..สัมผัสคงชัดเจน
๏ ฉันสร้างป่าผาภูหมู่ผีเสื้อ ฉันสร้างเรือสนามให้เด็กเล่น
สร้างทุ่งหญ้าเขียวขจีที่โอนเอน สร้างเขาพระสุเมรุไว้ดูดาว
๏ ตามแต่จิตคิดวาดปรารถนา ปล่อยไปสุดขอบฟ้าเวหาหาว
และบันทึกทุกเบื้องเป็นเรื่องราว ความปวดร้าวความงามตามบันทึก
๏ หากฉันเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องสรรพ ฉันคงนอนไม่หลับในกลางดึก
หลากปัญหาสารพันให้ฉันนึก ในส่วนลึกคงสับสนจนวุ่นวาย
๏ เขียนความเขลาเอาไว้ด้วยไฟฝัน ทั้งคำนี้และคำนั้นมุ่งมั่นหมาย
เชิญเธอมาพำนักนอนพักกาย ไร้ความโฉดโหดร้ายกระบอกปืน
๏ ด้วยความเขลาเท่านี้ก็มีค่า หว่านภาษาพรมน้ำ(ใจ) ให้ฉ่ำชื่น
ทะนุถนอมเมล็ดพันธุ์ทุกวันคืน “โน้น...มะรืนคงกล้าโตกว่านี้”
..................................... (9. ชาตรี)......................................
10. ธนบัตร
ฉันไม่รู้ (10. ธนบัตร)
๏ พึ่บพับ! พึ่บพับ! ...ผืนม่านเปิด กำหนดเกิดตัวละครในตอนใหม่
บรรยากาศเคว้งคว้างและกว้างไกล เวทีใหญ่มโหฬารรูปขวานทอง
๏ เปิดฉากตำนานการต่อสู้ เหล่าคนดูเงียบฟังนั่งจ้อง
กลิ่นดินปืนเสียงเชือด...รอยเลือดนอง คนดูร้องไม่อยากยลบนเวที
๏ เสียงประกาศก้องมา “อย่ารีบท้อ” ต้องสู้ต่อเคียงพ้อง นะน้องพี่
ต้านลูกเหล็กด้วยมือเปล่าเข้าราวี กู้ศักดิ์ศรีย้ำเน้นความเป็นคน
๏ เสียงตะโกนกู่ร้องของอีกฝ่าย หยุดชี้นำทำลายไร้เหตุผล
เราไม่อยากเข่นฆ่าประชาชน เลิกเล่นกลหากบรรลุยุติพลัน
๏ . . . ปัง! ปัง! ตู้มต้าม! สงครามปะทุ ระเบิดดุ ควันไฟไกปืนลั่น
ตัวละครดับดิ้นสิ้นชีวัน ภาพความฝันเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
๏ เมื่อต่างฝ่ายต่างรั้นดันทิฐิ แผลที่ปริอักเสบจึงเจ็บเพิ่ม
รอบรอยแผลที่ช้ำโดนซ้ำเติม อาการเริ่มบ่งเห็นเป็นเพราะใคร ?
๏ เลือดเข้มข้น...สายเดียวกันแท้แท้ หยุดตั้งแง่ดึงดื้อได้หรือไม่
หยุดการเค้นน้ำตาแผ่นดินไทย หยุดละครได้ไหมไม่อยากดู
๏ ฉันไม่ทราบใครกำหนดบทเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่อัปยศแสนอดสู
ฉันเจ็บใจตัวชาน้ำตาพรู “เพราะไม่รู้ใครกำหนดบทละคร”
..................................... (10. ธนบัตร)......................................
11. สวรส
เขลา (11. สวรส)
๏ เอกลักษณ์เอกราชชาติสยาม อักขระถ้อยความงามศาสตร์ศิลป์
ประเพณีขึ้นชื่อระบือบิล ชนทั่วถิ่นรู้เคารพนบบูชา
๏ อนุชนคนรุ่นหลังจงตั้งจิต รู้พินิจพิทักษ์ชาติศาสนา
หลากสีสันวัฒนธรรมนำจรรยา ไทยลือค่ารุ่งเรืองเมืองคนดี
๏ ม่านกิเลสบังตาพาให้เศร้า ผู้นำเขลาใช้ความคิดผิดวิถี
เพียรหาทางก่อเรื่องเฟื่องราคี ทั่วธานีต้องทุกข์ทนคนจัญไร
๏ ขึ้นบัลลังก์นั่งเก้าอี้ชี้ประเทศ เกิดอาเพศน่าเศร้าโศกโลกยุคใหม่
เพราะผู้แทนนั้นโกงกินแผ่นดินไทย ยากแก้ไขไร้ความดีชี้อบาย
๏ เสียหยดเลือดหลั่งรินแผ่นดินเกิด ลูกเตลิดหลานลี้ภัยไร้จุดหมาย
น้อยความดีแพ้อธรรมมุ่งทำลาย ชาติสลายไทยระส่ำช้ำอุรา
๏ เสียแผ่นดินให้คนเลวทำเหลวแหลก คอยแบ่งแยกสูงต่ำนำปัญาหา
ยากเกินแก้ผู้นำไทยไร้เมตตา ชาวประชาต้องลำเค็ญมิเป็นไทย
..................................... (11. สวรส)......................................
12.ณัฐธิณี
เขลา (12. ณัฐธิณี)
๏ ใครกันเล่าทำให้โลกว้าวุ่น ชุนละมุนสับสนปนปัญหา
สารพัดสารพันสุดคณา ไม่รักษาไม่สนใจไม่ใยดี
๏ มัวโกธาว่าร้ายกันไม่เข้าท่า หยุดอัตตาวางตนข่มศักดิ์ศรี
เราก็คนเขาก็คนสมานไมตรี สามัคคีวันนี้เพื่อโลกเรา
๏ โลกจะสวยด้วยมือทุกคนสรรสร้าง ให้โลกกว้างใบนี้มิเหี่ยวเฉา
มาร่วมกันรวยรักขจัดเงา ความห่วงเหงาคลุกเคล้าเศร้าวกวน
๏ อันคนเราเกิดมาฉลาดคิด ไม่หลงผิดรู้กอปรชอบเหตุผล
ประกอบกรรมทำดีคนยินยล เป็นมงคลนำตนพ้นภัยพาล
๏ สรรพสิ่งเกิดแล้วมีแตกดับดับ เป็นประจักษ์ให้เห็นทุกสสาร
จงอย่าเขลาหลงคิดว่าพิสดาร มาประสานร่วมกันทำสิ่งดี
๏ ทำความดีเพื่อความดีในวันนี้ เพื่อชีวีไร้ทุกข์มีสุขี
โลกสุขสันต์พลันเกษมเปรมปรีดี และจะเป็นเช่นนี้สิ้นกาลนาน
๏ แต่นั่นมันก็เป็นแค่เพียงฝัน ที่รอวันเป็นจริงสมคำขาน
หากทุกคนช่วยผจญดลบันดาล อีกไม่นานฝันนั้นคงไม่ไกล...
..................................... (12. ณัฐธิณี)......................................
13. (วิจิตร พิสดาร)
เขลาคือใคร (13. วิจิตร พิสดาร)
๏ เกิดมาแล้วเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ ถือกำเนิดเฉิดฉายในโลกกว้าง
แต่ละคนแต่ละจิตแต่ละทาง เกิดมาอย่างไม่เหมือนกันพลันเข้าใจ
๏ บ้างเกิดมาฉลาดเหลือเก่งเหลือล้ำ บ้างต้อยต่ำด้อยปัญญาหามิได้
แต่หากเรารู้ว่า "เขลาคือใคร" ย่อมแก้ไขข้อกังขาพาสุขกัน
๏ หากเราเชื่อคำนินทากล่าวว่าร้าย จากหญิงชายฉอเลาะเสนาะขัน
หากเราโกรธไร้เหตุผลหูออกควัน สิ่งเหล่านั้นคือโง่เขลาเศร้าอารมณ์
๏ หากพูดจาขาดสติมิประกอบ ถูกผิดชอบมิใส่ใจให้เหมาะสม
ไร้ไหวพริบปฏิภาณพาทุกข์ตรม คงเหมาะสมคำว่าเขลาเบาปัญญา
๏ หากเราคิดทำสิ่งชั่วมัวหมองจิต ไม่ใคร่คิดก่อนทำคงไร้ค่า
สร้างสิ่งชั่วมัวทำเลวเสียเวลา เห็นยิ่งกว่าคำว่าเขลาเราเข้าใจ
๏ หากเกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ พร้อมธรรมเลิศชี้ทางสว่างไสว
แต่กลับปลีกหลีกหนีหายไม่สนใจ เรียกว่าไร้ปัญญาพาควรคิด
๏ เป็นคนมีสิ่งดีที่ล้ำค่า ยิ่งดารามณีแววแพรววิจิตร
ยิ่งกว่าปวงเทวามาเนรมิต แต่มิคิดจิตใส่ใจใคร่เศร้าจริง
๏ อีกคุยโวโอ้ว่าตนคนฉลาด ว่าเปรื่องปราดเกินกว่าใครในทุกสิ่ง
แต่แท้แล้วเขาคือคน"เขลา"ตัวจริง ที่มิทิ้งโมหะหลงงุนงงใจ
๏ รู้จัก"เขลา"เขาเป็นใครควรใคร่คิด ธำรงจิตคิดถูกทางพบทางได้
อันความเขลาในใจจินต์ก็สิ้นไป ปัญญาไซร้ตามมาค่าอนันต์
๏ จึงจะสมเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ ปัญญาเลิศพร้อมค่ากว่าใครนั่น
แล้วรู้ว่าความเขลาคือใครกัน โอ้เธอนั้นรู้จัก "เขลา" เข้าใจเอย
..................................... (13. วิจิตร พิสดาร)......................................
14. ภาสกร
เขลา (14. ภาสกร)
๏ ลึกลงไปในจิตมืดมิดหมอง คือสีของความจนอันหม่นเศร้า
คล้ายโลกสิ้นแสงแผ่มาแลเงา จิตจึงเขลาเคว้งคว้างอย่างเลื่อนลอย
๏ จบชั้นเรียนประถมสี่ที่บ้านนอก จึงจนตรอกแต่ไม่จนใจถอย
สู้ปากกัดตีนถีบบีบมือน้อย ดิ้นรนไม่รอคอย...เวทนา
๏ แม้รำลึกก็รันทดและหดหู่ ผ่านชีวิตต่อสู้อย่างรู้ค่า
เพื่อผ่านร้อนและผ่อนหนาวเพียงผ่าวตา สอนชีวาไว้เพียงความเที่ยงตรง
๏ ไม่รู้เล่ห์กลลวงจึงกลวงเปล่า ชีวิตเขลาไร้ค่ากว่าฝุ่นผง
ถ้อยธุลีน้อยน้อยจึงลอยลง อยู่ใต้กรงต่างกรอบที่ครอบตัว
๏ มีบ้างไหมปัญญาราคาย่อม จักอดออมซื้อไว้ใช้โงหัว
อยากจะเป็นคนใหม่ใช่ควายวัว กระทืบรั้วเกรอะกรังให้พังพับ
๏ ถึงจะเขลาแต่ใจไม่เคยขลาด เกรงอำนาจอิทธิพลจนแตกดับ
แม้แห้งผากเนื้อใจไม่แคบคับ ถึงตกอับแต่ก็สู้ไม่รู้วาย
๏ คนฉลาดเรามิรู้อยู่ไหนบ้าง เพราะอยู่อย่างโง่เขลาทุกเช้าสาย
ไม่มีหรอกแสงสีที่พร่างพราย มีก็แต่กลิ่นอายคุณธรรม
..................................... (14.ภาสกร)......................................
15. (วิจิตร พิสดาร)
เกิดเป็นไทยอย่าให้ใครว่าเราเขลา (15. วิจิตร พิสดาร)
๏ ครั้งกรุงเก่าเล่าขานตำนานศึก อึกทึกครึกโครมโหมประหาญ
เสียงฝีดาบฉาบฟันประจัญบาน เลือดเดือดดาลแดงทั่วถิ่นแผ่นดินไทย
๏ ล่วงเลยกาลวันมหาวิปโยค พาทุกข์โศกเศร้าทรวงร่วงรินไห้
พฤษภาทมิฬผ่านสิ้นไป ยังฝากไว้ความบอบช้ำย้ำวันนี้
๏ แต่เหตุการณ์ผ่านมาน่าฉงน ไยผู้คนทุกหนไทยใส่เสื้อสี
แบ่งแยกกันหันหน้าหายไม่ปรานี สามัคคีที่เคยสร้างลางเลือนลง
๏ จากทั่วทิศทุกถิ่นไทยไหลท่วมท้น พลังคนพลังคิดจิตลุ่มหลง
หวังประชาธิปไตยไทยยืนยง จึงดำรงด้วยความหวังพลังใจ
๏ ไม่ร่วมมือร่วมฝันร่วมกันคิด ใช้พลังทางผิดจิตหมองไหม้
จับมือกันหันหน้าประชาไทย อย่าให้ใครใคร่หมิ่นแผ่นดินทอง
๏ "เกิดเป็นไทยอย่าให้ใครว่าเราเขลา" จงหยิบเอาประวัติศาสตร์ชาติไทยผอง
เป็นบทเรียนล้ำค่ามาปรองดอง เพื่อพี่น้องไทยทุกคนพ้นเวรกรรม
..................................... (15. วิจิตร พิสดาร)......................................
16. ภาสกร
เขลา (16. ภาสกร)
๏ สองมือกร้านผ่านวิถีสู้ชีวิต ไตร่ตรองคิดเสริมสร้างอย่างรู้ค่า
ประสบการณ์ปรับสรรค์เป็นปัญญา ถ่ายทอดมาหลายรุ่นร่มบุญไทย
๏ เปิดตำราลำนำธรรมชาติ บรรจุศาสตร์ยังชีพรอดตลอดสมัย
วิถีธรรม...เสรี...วิถีชัย ฝังแน่นในประวัติรัฐขจร
๏ คือเลิศล้ำตำนานการสร้างชาติ ร่างโดยปราชญ์ปางบรรพ์ผ่านคำสอน
ฉลุลักษณ์ถักสายทอลายซ้อน อรชรเอกลักษณ์ตำหนักไทย
๏ คำกล่าวขานภูมิปัญญาเลอค่าศิลป์ สยามถิ่นงามถ้วนล้วนขานไข
งามรอยยิ้มแย้มย้ำรอยน้ำใจ ทุกสิ่งได้สืบสานมานานนม
๏ อนิจจา! มองไปไทยวันนี้ เลือนภาพที่...ความหลังเคยสั่งสม
โมหะจิตหยาบช้า...ค่านิยม ที่ควรชมจึงชอกช้ำอยู่ตำตา
๏ ภูมิความคิดคนรุ่นเก่าเราทอดทิ้ง เชื่อตามสิ่งที่เมืองนอกบอกล้ำค่า
เชื่อทุกสิ่งเฉกสวรรค์สื่อบัญชา เชื่อเพราะว่าเขาเจริญเกินบ้านเรา
๏ เรามิได้พึ่งตนแล้วหนนี้ เพราะอวดดีอวดโก้แต่...โง่เขลา
ฝรั่งมันหมายหัวมามัวเมา ให้ลืมเงาลืมตนนะคนไทย
๏ เพื่อที่จะไม่สิ้นแผ่นดินก่อน ฟื้นคำสอนอย่าให้สิ้นแผ่นดินใหม่
“มาตุคาม”เฉิดฉายไม่อายใคร รักษาไว้คู่แผ่นดินก่อนสิ้นลม
..................................... (16. ภาสกร)......................................
17. (วิจิตร พิสดาร)
อย่าหลงเขลา (17. วิจิตร พิสดาร)
๏ เป็นคนจนตนด้อยน้อยทรัพย์สิน อยู่ติดดินกินข้าวแกงเรี่ยวแรงเหลือ
ใช้กำลังทั้งชีวิตคิดจุนเจือ เพื่อกอบเกื้อสร้างชาติตนเพื่อคนไทย
๏ เป็นข้าบาทมิเคยคิดจิตหักหลัง โกยเงินยังกระเป๋าตนคนชั่วไซร้
แม้สลึงพึงกระทำย้ำเงินใคร ภาษีได้ให้มาอยู่อย่าดูแคลน
๏ จงทำงานสนองคุณเกื้อหนุนชาติ อย่าบังอาจเอื้อมคิดจิตหวงแหน
ธำรงไว้ประเทศชาติมาดเมืองแมน ธำรงแผ่นผืนดินไทยให้เนิ่นนาน
๏ อาจคิดว่าโกงเงินรัฐชัดฉลาด ช่างเก่งกาจวางแผนหวังสุขศานต์
บนกองเงินเหงื่อราษฎร์ร่วมเจือจาน เพื่อหวังวานวันหน้าข้าสบาย
๏ แสนโง่เขลาเจ้าด้อยน้อยความคิด ปัญญาปิดชี้ทางลางเลือนหาย
เมื่อนำเงินผองล้วนมวลหญิงชาย ก็จะพาลฉิบหายไทยทุกคน
๏ ฉ้อราษฎร์ชังบังหลวงห่วงตนสุข ย่อมเกิดทุกข์ทุกทั่วคนคนทุกหน
แผ่นดินไทยต้องเดือดดาลพาลอับจน เพราะกลุ่มคนโง่เขลาเบาปัญญา
๏ คิดแต่ได้ไร้สติตริตรองคิด ถึงชีวิตคนไทยในภายหน้า
ทั้งลูกหลานของเราเล่าพารา ย่อมนำพาสู่ตกต่ำช้ำฤดี
๏ คิดเถิดคิดคิดคิดใหม่คิดสร้างสรรค์ ร่วมมือกันสร้างชาติสร้างศักดิ์ศรี
ไม่คิดโกงชาติตนพ้นราคี เกิดสิ่งดีต่อทุกคนสู่คนไทย
๏ อย่าได้เขลาเบาจิตคิดแต่ตัว พาหมองมัวหมดทางสว่างไสว
ประเทศชาติจะอยู่ในมือใคร ถ้ามิใช่มือเราทั้งเผ่าพันธุ์
..................................... (17. วิจิตร พิสดาร)......................................
18. ภาณุเดช
เขลา (18. ภาณุเดช)
๏ ถึงจิตใจของมนุษย์สุดลึกล้ำ มีเวรกรรมกล้ำกรายหมายเข่นฆ่า
เพราะตัวเราไร้สมองตรองปัญญา จนชีวาแทบดับลับโลกันต์
๏ ความเป็นคนควรถึงซึ่งสติ สมาธิเป็นหนึ่งจักถึงฝัน
หากกิเลสครอบงำซ้ำชีวัน คอยห่ำหั่นเหยียบย่ำย่อมนำภัย
๏ ดั่งภาษิตบอกเรื่องราวเกิดฉาวโฉ่ เมื่อคนโง่ตกเป็นเหยื่อคนหัวใส
เขลาปัญญาจึงสังเวชพิษเลศนัย สังคมไม่ยอมรับชีพอับจน
๏ ชายสองคนเป็นเพื่อนซี้ที่สนิท คนหนึ่งคิดเร่งศึกษาพาเพริศผล
เฝ้าร่ำเรียนเขียนอ่านสร้างงานตน มีแต่คนนับถือล้วนลือนาม
๏ เพื่อนอีกคนคิดหมายอบายมุข มีแต่ทุกข์ในตนคนเหยียดหยาม
กระทำชั่วมั่วกิเลสเหตุเลวทราม ทั้งเรื่องกามเหล้ายาต้องจาบัลย์
๏ เมื่อถึงคราวเข้าทำงานเลี้ยงชีวิต ควรรู้คิดทางปัญญาพาสุขสันต์
หากยังเขลาเบาความรู้สู่ตนนั้น คิดไม่ทันคนหัวหมอล่อหลุมพราง !
..................................... (18. ภาณุเดช)......................................
(19. ภาณุเดช แก้ไขครั้งที่ 1)
เขลา (19. ภาณุเดช แก้ไขครั้งที่ 1)
๏ ถึงจิตใจของมนุษย์สุดลึกล้ำ มีเวรกรรมกล้ำกรายหมายเข่นฆ่า
เพราะตัวเราไร้สมองตรองปัญญา จนชีวาแทบดับลับโลกันต์
๏ ความเป็นคนควรถึงซึ่งสติ สมาธิเป็นหนึ่งจักถึงฝัน
หากกิเลสครอบงำซ้ำชีวัน คอยห่ำหั่นเหยียบย่ำย่อมนำภัย
๏ ดั่งภาษิตบอกเรื่องราวเกิดฉาวโฉ่ เมื่อคนโง่ตกเป็นเหยื่อคนหัวใส
เขลาปัญญาจึงสังเวชพิษเลศนัย สังคมไม่ยอมรับชีพอับจน
๏ ชายสองคนเป็นเพื่อนซี้ที่สนิท คนหนึ่งคิดเร่งศึกษาพาเพริศผล
เฝ้าร่ำเรียนเขียนอ่านสร้างงานตน มีแต่คนนับถือล้วนลือนาม
๏ เพื่อนอีกคนคิดหมายอบายมุข มีแต่ทุกข์ในตนคนเหยียดหยาม
กระทำชั่วมั่วกิเลสเหตุเลวทราม ทั้งเรื่องกามเหล้ายาต้องจาบัลย์
๏ เมื่อถึงคราวเข้าทำงานเลี้ยงชีวิต ควรรู้คิดทางปัญญาพาสุขสันต์
หากยังเขลาเบาความรู้สู่ตนนั้น คิดไม่ทันคนหัวหมอล่อหลุมพราง !
..................................... (19. ภาณุเดช แก้ไขครั้งที่ 1)......................................
20. ภาณุเดช
เขลา (20. ภาณุเดช)
๏ คำว่าเขลาแปลได้คือ “ไม่รู้” หนวกทั้งหูบอดทั้งตาจึงว่าเขลา
ลมหายใจ แว่วเสียงเพียงแผ่วเบา ทุกค่ำเช้าดึกเย็นไม่เห็นอะไร
๏ ตาเนื้อจับรับภาพจากภายนอก มิอาจบอก “ลวงจริง” ทุกสิ่งได้
สัมผัสภาพที่รับมาจากตาใน คือหัวใจตีความตามเป็นจริง
๏ โลกภายนอกกว้างไกลไร้สิ้นสุด โลกภายในใจมนุษย์นั้นแคบยิ่ง
โลภ โกรธ หลง เกลียด รัก หลบพักพิง เวียนสร้างสิ่งมัวหมองครองจิตใจ
๏ ทางสะอาดทางสว่างทางสงบ ย่อมหาพบหากมุ่งธรรมสำเร็จได้
“ดับสาเหตุแห่งทุกข์” สุขข้างใน โลกกว้างใหญ่จะแคบแท้แค่กำมือ
๏ เพื่อชีวิต-สังคม ร่มเย็นสุข ดับไฟทุกข์ด้วยธรรมนำยึดถือ
เปิดจิตอันโง่เขลาเฝ้าฝึกปรือ “รู้ตน”คือรู้ทั้งหมด... กำหนดลม
๏ สติมาปัญญาเกิดเลิศล้ำค่า รู้ชีวาต้องทำคุณบุญสั่งสม
ดับความเขลาด้วย “การรู้” คู่ควรชม บัวพ้นตม ช่อไสว ไม่เขลาเอย...
..................................... (20. ภาณุเดช)......................................
21. สถิตคุณ
เขลา (21. สถิตคุณ)
๏ มนุษย์โลกมีความคิดและทิฐิ ไม่ตรองตริเกลสด้วยเหตุผล
มีโมหะหลงผิดของจิตตน เขลาเหลือล้นความคิดพิจารณา
๏ ไม่กลัวบาปไม่หาบบุญกุศลหนัก มัวไปรักมลทินถวิลหา
ผิดจากธรรมพระสรรเพ็ชญเทศนา ใช้ปัญญาไตร่ตรองครรลองกรรม
๏ ปัญญาเปรียบแสงสว่างกระจ่างโชติ เรื่องวิโรจน์แจ่มโสภาเลขาขำ
ส่องความรู้ดูสิ่งยิ่งควรทำ น่าจดจำตรองตัวทำชั่วดี
๏ โมหะนั้นแปลหลงคงจำได้ หากคนใดถูกต้องหม่นหมองศรี
หน่อกิเลสเหตุหลักประจักษ์มี ทุกนาทีว้าวุ่นครุ่นคิดกัน
๏ นอกจากนั้นคือความเห็นผิด เป็นจริตบาปหนักสุดหักคั่น
เปรียบภูผาป่ารกดงพงไพรวัลย์ ทางขวางกั้นไปสู่ประตูเมือง
๏ สลัดยากมากหลายสุดคลายสิ้น เป็นอาจิณคนเรานั้นพลันกระเดื่อง
ต้องตัดรากต้นเหตุชัดความขัดเคือง คงรุ่งเรืองแน่นอนขจรไกล
๏ อาปานาสติจงดำรงมั่น ฝึกทุกวันทุกเวลาอัชฌาสัย
สังหารเขลาเรานี้เถิดประเสริฐไว จนหมดไปจากสันดานกังวานชน
๏ โมหะนี้พระชี้บาลีเทศน์ ลองสังเกตคอยท่าอย่าฉงน
ใช้อารมณ์คมคายคิดจิตใจตน สุดท้ายผลส่งกลับลำดับมา
๏ เหมือนบุคคลจนตรอกออกไม่ได้ โมหะไซร้หรือความเขลาเคล้ากังขา
ให้หลงทางผิดพลาดมิคลาดคลา จนคอยค้นพบทางเมื่อห่างธรรม
..................................... (21. สถิตคุณ)......................................
22. สถิตคุณ
ความเขลามาเยือน จงเตือนชีวา (22. สถิตคุณ)
๏ มีความเขลาเคล้าทุกข์ไม่สุขดอก ความหลงหลอกจิตใจให้หม่นหมอง
ยากสลัดหักห้ามดั่งใจปอง อดใจตรองถี่ถ้วนกระบวนธรรม
๏ คนฉลาดปราชญ์เปรื่องเรื่องใดเล่า ความหลงเข้าบังสุขทุกเช้าค่ำ
หลงเย่อหยิ่งข่มใครเห็นเป็น มันน่าขำคนโง่อวดโก้เอง
๏ รู้แต่หลักตำราสารพัด มิได้หัดจิตใจให้ดูเก่ง
ทฤษฎีตีความยามบรรเลง เพื่อครื้นเครงด้วยความหลงคงอาลัย
๏ คงรู้แจ้งมีปัญญาหาเหตุผล อุบายกลทุกชนิดพิสมัย
ดูจิตรู้ดูลมที่หายใจ ผ่องสดใสความหลงคงอัปรา
๏ โมหะไซร้ได้เปรียบเหมือนเดือนหม่น ดั่งจิตตนตรมตรองลำพองหา
เปรียบป่ารกหวายหนามดูหยามตา คิดเถิดว่าจะแก้ไขอย่างไรพอ
๏ เมื่อจะหลงคงไว้จิตใจมั่น อย่าไหวหวั่นภัยพาลสาธารณ์หนอ
ชั่วชีวิตริบหรี่อย่ารีรอ จงสู้ต่อด้วยใจมั่นในธรรม
..................................... (22. สถิตคุณ)......................................
23. สถิตคุณ
กำจัดสุดฤทธิ์ พิชิตความเขลา (23. สถิตคุณ)
๏ คนที่โง่รู้ตัวชั่วขณะ ไม่ลดละฝึกตนไม่หม่นหมอง
ตรึกตรองตนคนอื่นเล่าช่างเขาปอง ดูยุบพองตรองดูรู้อารมณ์
๏ อย่าประมาทปราชญ์ยกดิลกเลิศ ยิ่งประเสริฐแก่ตนคนเหมาะสม
สมควรนับว่าฉลาดปราชญ์ชื่นชม เปี่ยมอุดมมากค่าน่าภูมิใจ
๏ คนที่โง่ดูผิดยิ่งคิดเบ่ง ว่ากูเก่งกว่าใครยิ่งกว่าสิ่งไหน
หลงทะนงคงตัวเขลาโง่เง่าไป จะบรรลัยสักวันนั้นคอยดู
๏ จำไม่จำจดไม่จำคำอุเทศน์ ยกผลเหตุมาวิจาร์น่าอดสู
แล้วไม่นำทำเราให้เขาดู ได้แต่อวดรอบรู้กูเข้าใจ
๏ เป็นเชื้อโรคกินใจจนไข้ป่วย สุดจะช่วยแก้มาอัชฌาสัย
ยิ่งหลงตัวชั่วหยาบแม้ตราบใด ยิ่งเข้าใกล้ภัยเหตุวอดวาย
๏ ถ่อมชีวิตเสงี่ยมตนอดทนเถิด จะประเสริฐเลิศหล้าพาเฉิดฉาย
รู้ตัวเขลาเรามีชัยทั้งใจกาย เขลาสลายหมดสิ้นยินดีพอ
..................................... (23. สถิตคุณ)......................................
24. สถิตคุณ
ความเขลาย่างมา อาปานาย่างตอบ (24. สถิตคุณ)
๏ อันความหลอกลวงจิตชีวิตท่าน ก็ไม่ปานตรมทุกข์ไม่สุขศรี
มาบดบังชังโกรธถือโทษมี อวดกันทีข้าเก่งไม่เกรงใคร
๏ นั้นแหละเขลาเย้าหยอกมันตอกจิต ให้สิ้นคิดเหตุผลกลวิสัย
ขาดสติยั้งยับระงับใจ คงบรรลัยเวลาไม่ช้าที
๏ เปรียบหางเสือเรือใหญ่ที่ไวว่อง แล่นไลล่องสาคราทุกราศี
ดั่งใจชอบกอปรการณ์สำราญมี ไปด้วยดีแคล้วภัยสมใจครัน
๏ หากหางเสือขาดนี่สิน่าใจหาย คงวอดวายแน่หนาน่าโมหันต์
เรือคงอัปปางลงมาเวลาพลัน ไม่มีวันคืนสู่เหมือนอยู่มา
๏ เมื่อความเขลาเข้ามาอย่าไหวหวั่น จงสู้มันให้รู้ขาดดั่งปรารถนา
กำหนดลมหายใจให้อาปานา ทุกชีวาเป็นอารมณ์อุดมพร
๏ ความเขลาคงลงลับดับไปแน่ ให้เที่ยงแท้ดื่มด่ำตรงคำสอน
มองสติดำริตนทนอาวรณ์ สู่นครนิพพานสำราญเอย
..................................... (24. สถิตคุณ)......................................
25. พัชรีภรณ์
ทำตนให้พ้น “เขลา” (25. พัชรีภรณ์)
๏ พ่อแม่ส่งให้เล่าเรียนเพียรศึกษา ด้วยวิชาจะกูลเกื้อเมื่อเติบใหญ่
อนาคตของลูกถูกห่วงใย ท่านจึงได้เล่าเรียนเพียรอบรม
๏ “การศึกษาพาให้ห่างไกลชั่ว ทั้งครอบครัวไร้ทุกข์พบสุขสม
เรียนให้รู้อยู่ให้ได้ในสังคม โลกนิยมทุกยามคือ “ความดี”
๏ ลูกลูกเอ๋ยมีวิชาค่าเลิศล้น ทำให้ตนมีหลักมีศักดิ์ศรี
เป็นมนุษย์ “สุดเขลา” ไม่เข้าที่ เรียนเพื่อหนี โง่เขลาเบาปัญญา”
๏ หวังให้ลูกพ้น “เขลา” ท่านเฝ้าสอน ฉันสังวร...เวี่ยไว้...ใฝ่ศึกษา
ยามเรียน...เรียน...ยามเล่น...เล่น...เป็นเวลา ทุกวิชาช่วยเชาว์...เยาวชน
๏ แสงสว่างอยู่ข้างหน้าอย่าได้ท้อ เดินทางต่อไปเถิดจะเกิดผล
รู้ฉลาดปราดเปรื่องประเทืองตน ชีวิตพ้น...หลุมดำ...กอบกำชัย
๏ รังสรรค์ตนพ้นเขลามิเศร้าหมอง ชีพเรืองรองอนาคตสุขสดใส
เสริมสว่างทางปัญญาก้าวหน้าไกล เป็นคนไทยเฉียบฉลาดชาติเจริญ
..................................... (25. พัชรีภรณ์)......................................