๑
( ตัวอย่าง กลอนกลบท )
นาคเกี่ยวกระหวัด
ลายนาคเกี่ยวกระหวัดร่างช่างสวยสม สมสวยด้วยช่วยนิยมชมชื่นหมาย
หมายชื่นชวนเชิงช่างเสริมสร้างลาย ลายสร้างสรรค์นั้นละม้ายคล้ายเป็นจริง
จริงเป็นตัวตามตำนานท่านขานไข ไขขานคำจำไว้ให้ยอดยิ่ง
ยิ่งยอดศิลป์สืบสานการแอบอิง อิงแอบครูรู้ทุกสิ่งผลเพิ่มพูน
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน ลายพญานาค
- เป็นกลอน ๘ หรือกลอน ๙ ได้
- ใช้การสลับกลับคำติดต่อไป เริ่มจากสองพยางค์ (เสียงที่เปล่งออกไปครั้งหนึ่ง) สุดท้ายในวรรคที่ ๑ ไปสลับกับ
สองพยางค์แรกของวรรคที่ ๒ สองพยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๒ ไปสลับกับสองพยางค์แรกในวรรคที่ ๓ และ
สองพยางค์สุดท้ายในวรรคที่ ๓ ไปสลับกับสองพยางค์แรกในวรรคที่ ๔ เช่น สวยสม-สมสวย, ชื่นหมาย-หมาย
ชื่น, สร้างลาย-ลายสร้าง, เป็นจริง-จริงเป็น, ขานไข-ไขขาน, ยอดยิ่ง-ยิ่งยอด, แอบอิง-อิงแอบ เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระพยางค์ที่ห้าหรือหกในวรรค ๒ เช่น สวยสม นิยม, ขานไข-จำไว้ เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระพยางค์ที่ห้าหรือหกในวรรค ๔ เช่น สร้างลาย-ละม้าย, แอบอิง-ทุกสิ่ง เป็นต้น
นาคราชแผลงฤทธิ์
นาคราชแผลงฤทธิ์ซ่อนพิษร้าย หมายมาเปรียบเทียบคล้ายคนสุขุม
มุมมองท่านฉลาดรอบคิดครอบคลุม หนุ่มสาวควรเข้ากลุ่มวิชาการ
พาลชูหางอวดแสดงแมลงป่อง จ้องลดเลี้ยวเที่ยวท่องทั่วถิ่นฐาน
รานรุกล้ำทำชั่วตัวเป็นมาร ด้านดื้อไปไม่สงสารคนสิ้นคิด
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน สงบงามด้วยความรู้
- เป็นกลอน ๘ หรือกลอน ๙ ได้
- พยางค์สุดท้ายของแต่ละวรรค ต้องไปสัมผัสสระกับพยางค์แรกของวรรคต่อไป ติดต่อกันตลอดทั้งสำนวน
เช่น พิษร้าย-หมาย, สุขุม-มุม, ครอบคลุม-หนุ่ม, วิชาการ-พาล. แมลงป่อง-จ้อง, ถิ่นฐาน-ราน,
มาร-ด้าน เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระพยางค์ที่ห้าหรือหกในวรรค ๒ เช่น พิษร้าย-คล้าย, แมลงป่อง-จ้อง เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระพยางค์ที่ห้าหรือหกในวรรค ๔ เช่น ครอบคลุม-กลุ่ม, มาร-สงสาร เป็นต้น
๒
( ตัวอย่าง กลอนกลบท )
บัวบานกลีบขยาย
อย่าทำผิดรู้จักคิดใคร่ครวญก่อน อย่าทำร้อนเที่ยวรุกล้ำคำหยาบหยาม
อย่าทำเลอะป้ายเปรอะไปประณาม อย่าทำตามคนคดต้องอดทน
อย่าทำชั่วต้องรักตัวตั้งจิตมั่น อย่าทำฝันดื้อดึงอยู่ดูสับสน
อย่าทำหยิ่งรู้ไม่จริงจะอับจน อย่าทำตนต่ำช้าน่าอับอาย
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน อย่าต่ำตน
- เป็นกลอน ๘ หรือกลอน ๙ ได้
- ใช้กลุ่มคำที่นำต้นวรรคทุกวรรคเหมือนกัน เช่นใช้คำว่า อย่าทำ เป็นกลุ่มคำแรกของวรรคทั้งหมด เป็นต้น
- ใช้พยางค์ที่สามกับพยางค์ที่ห้าในวรรคที่ ๑ และวรรคที่ ๓ เป็นคำซ้ำ(คำเดิม) หรือใช้สัมผัสสระก็ได้ เช่น
ทำผิด-คิด, ทำเลอะ-เปรอะ, ทำชั่ว-ตัว, ทำหยิ่ง-จริง (อาจใช้ซ้ำ เช่น อย่าทำผิด-เผลอผิด ก็ใช้ได้) เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามในวรรค ๒ เช่น ก่อน-ร้อน, มั่น-ฝัน เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามในวรรค ๔ เช่น ประณาม-ตาม, อับจน-ทน เป็นต้น
อักษรสลับล้วน
กลการกลอน ซ่อนซึ้งซ่าน อ่านเอมอิ่ม ยั่วยวนยิ้ม พริ้มเพราะพริ้ง สิ่งสร้างสรรค์
คุณค่าคง จงจ้องจิต พิศเพ่งพลัน ยังยืนยัน มั่นมีหมาย ได้ดวงดาว
บอกเบื้องบน มนต์เมืองแมน แสนสุขสม เริงรื่นรมย์ ชมชื่นเช่น เห็นห้วงหาว
ฝากฝั่งฝัน วันวิวาห์ พาพริ้งพราว วับแวววาว ดาวเด่นดู คู่เคียงครอง
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน เคียงคู่ดาว
- เป็นกลอน ๙ ทั้งหมด ทุกวรรค วรรคหนึ่งมี ๓ ช่วง จัดเป็นกลุ่มคำ กลุ่มคำช่วงหนึ่งมี ๓ พยางค์
- แต่ละกลุ่มคำจะต้องใช้สัมผัสอักษรตัวเดียวกันทั้งหมด เช่น กลการกลอน, อ่านเอมอิ่ม, ยั่วยวนยิ้ม,
พริ้มเพราะพริ้ง, สิ่งสร้างสรรค์, คุณค่าคง, จงจ้องจิต, พิศเพ่งพลัน, ยังยืนยัน, มั่นมีหมาย, เป็นต้น
- พยางค์สุดท้ายของกลุ่มคำแต่ละช่วงภายในวรรค จะต้องไปสัมผัสสระกับพยางค์แรกของกลุ่มคำในวรรคต่อไป
เช่น กลอน-ซ่อน, ซ่าน-อ่าน, ยิ้ม-พริ้ม, พริ้ง-สิ่ง, คง-จง, จิต-พิศ, ยืนยัน-มั่น, หมาย-ได้ เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามในวรรค ๒ เช่น เอมอิ่ม-ยิ้ม, สุขสม-รื่นรมย์ เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามในวรรค ๔ เช่น เพ่งพลัน-ยืนยัน, พริ้งพราว-วาว เป็นต้น
- เป็นกลอน ๙ ที่มีความงาม ง่ายในเรื่องสื่อความ การสัมผัสและระดับเสียงได้ดี น่าชมอย่างยิ่ง
๓
( ตัวอย่างกลอนกลบท )
มยุราฟ้อนหาง
ดูดูอยู่ได้รู้เห็นเป็นชิ้นชิ้น จ้องจ้องหมายพอได้กินลิ้นเร่าเร่า
ร้อนร้อนซ่อนอยู่ภายในให้เบาเบา ค่อยค่อยคนคลุกเคล้าเข้าไวไว
เย็นเย็นก่อนอย่าตะกละจะยิ้มยิ้ม สบายสบายได้อิ่มชิมใกล้ใกล้
แบ่งแบ่งกันกล้วยแขกแจกใครใคร มองมองดูรู้ใจเป็นคนคน
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน ส่งกล้วยแขกแจกน้ำใจ
- เป็นกลอน ๘ หรือกลอน ๙ ได้
- สองพยางค์แรกของทุกวรรคต้องใช้คำซ้ำ เช่น ดูดู, จ้องจ้อง, ร้อนร้อน, ค่อยค่อย เป็นต้น
- สองพยางค์สุดท้ายของทุกวรรค ต้องใช้คำซ้ำ เช่น ชิ้นชิ้น, เร่าเร่า, เบาเบา, ไวไว, เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระพยางค์ที่ห้าหรือหกในวรรค ๒ เช่น ชิ้นชิ้น-กิน, ยิ้มยิ้ม-อิ่ม เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระพยางค์ที่ห้าหรือหกในวรรค ๔ เช่น เบาเบา-เคล้า, ใครใคร-ใจ เป็นต้น
ยัติภังค์
พระท่านสอนสอนอะไรไม่รู้เรื่อง เรื่องความดีดีต่อเนื่องมองไม่เห็น
เห็นความชั่วชั่วว่าดีมีให้เป็น เป็นคนเมาเมาไม่เว้นเป็นประจำ
จำใส่ใจใจจะงามตามคำพระ พระให้ฝึกฝึกธรรมะละถลำ
ถลำตกตกอบายได้บาปกรรม กรรมที่ดีดีที่ทำนำสุขใจ
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน บาปบังตา
- เป็นกลอน ๘ หรือกลอน ๙ ได้
- พยางค์ที่สามกับพยางค์ที่สี่ ในแต่ละวรรคทุกวรรค ต้องใช้คำซ้ำ เช่น สอนสอน, ดีดี, ชั่วชั่ว, เมาเมา,
ใจใจ, ฝึกฝึก, ตกตก เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ต้องใช้คำซ้ำคำกับพยางค์แรกในวรรคที่ ๒ เช่น เรื่อง-เรื่อง, พระ-พระ เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๒ ต้องใช้คำซ้ำกับพยางค์แรกในวรรคที่ ๓ เช่น เห็น-เห็น, ถลำ-ถลำ เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ต้องใช้คำซ้ำกับพยางค์แรกในวรรคที่ ๔ เช่น เป็น-เป็น, กรรม-กรรม เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๔ ต้องใช้คำซ้ำกับพยางค์แรกในวรรคที่ ๑ ของบทต่อไป เช่น ประจำ-จำ เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่ห้าหรือหกในวรรค ๒ เช่น รู้เรื่อง-เนื่อง, พระ-ธรรมะ เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่ห้าหรือหกในวรรค ๔ เช่น ให้เป็น-ไม่เว้น, กรรม-ทำ เป็นต้น
๔
(ตัวอย่างกลอนกลบท)
ละเวงวางกรวด
คิดคำครู รู้กลอน สอนเสริมสร้าง ท่านทำทาง ย่างก้าว เหล่าลูกหลาน
ดีเด่นเดิน ตามครู ชูเชิงชาญ ข้อไขขาน ท่านแสดง แจ่มแจ้งจริง
รักเรียนรู้ เรื่องใด ไม่เมินหมอง ควรครอบครอง คุณธรรม ย้ำยอดยิ่ง
ให้หาเห็น เป็นหลัก พึ่งพักพิง ส่งเสริมสิ่ง ศรัทธา คุณค่าคน
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน คิดตามครู
- เป็นกลอน ๘ หรือกลอน ๙ ได้
- ช่วงหน้าของวรรคทุกวรรค ต้องใช้กลุ่มคำสัมผัสอักษรทั้งหมดสามพยางค์ เช่น คิดคำครู, ท่านทำทาง,
ดีเด่นเดิน, ข้อไขขาน, รักเรียนรู้, ควรครอบครอง เป็นต้น
- ช่วงหลังของวรรคทุกวรรค ต้องใช้กลุ่มคำสัมผัสอักษรทั้งหมดสามพยางค์ เช่น สอนเสริมสร้าง,
เหล่าลูกหลาน, ชูเชิงชาญ, แจ่มแจ้งจริง, ไม่เมินหมอง, ย้ำยอดยิ่ง เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามในวรรคที่ ๒ เช่น สร้าง-ทาง, หมอง-ครอง เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามในวรรคที่ ๔ เช่น ชาญ-ขาน, พักพิง-สิ่ง เป็นต้น
กินนรรำ
จะเที่ยวท่อง จะจ้องจิต จะคิดใคร่ จะแจ้งใจ จะใฝ่ฝัน จะสรรค์สร้าง
จะเรียนรู้ จะชูเชิด จะเทิดทาง จะเยี่ยมย่าง ไปกลางกลอน สุนทรทาน
จะฝึกฝน จะค้นคิด ไม่ปิดป้อง เปิดแสงส่อง ให้จ้องใจ คำไขขาน
เรื่องกลกลอน สุดซ่อนซึ้ง คะนึงนาน ช่วยสืบสาน ให้ผ่านผัน ทุกวันเวียน
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน สืบสานการกลอน
- เป็นกลอน ๙ ทั้งหมด ทุกวรรค
- แต่ละวรรคแบ่งเป็น ๓ ช่วง ช่วงละ ๓ พยางค์ เป็นกลุ่มคำ ทุกกลุ่มคำต้องใช้สัมผัสอักษรสองพยางค์กำหนด
ให้อยู่ด้านท้ายของกลุ่มคำนั้น เช่น เที่ยวท่อง, จ้องจิต, คิดใคร่, แจ้งใจ, ใฝ่ฝัน, สรรค์สร้าง, เป็นต้น
- พยางค์สุดท้ายของช่วงต้นในวรรค ต้องไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สองของช่วงกลางในวรรคนั้น เช่น ท่อง-จ้อง,
ใจ-ใฝ่, รู้-ชู, ย่าง-กลาง, ฝน-ค้น, ส่อง-จ้อง, กลอน-ซ่อน, สืบสาน-ผ่าน เป็นต้น
blockquote{
border:1px solid #d3d3d3;
padding: 5px;
}
ความคิดเห็นที่ 1 (1912401) | |
๕
(ตัวอย่างกลอนกลบท )
เจ้าเซ็นเต้นต้ำบุด
หรีดหริ่ง กริ่งร้อง ครองคืนค่ำ ฟ้าฉ่ำ เดือนฉาย สายน้ำสอง
รวมกัน พลันกว้าง ทางสีทอง โสมส่อง ผ่องสม ชมชื่นชวน
เดือนหงาย หมายงาม ตามใจต่อ เฝ้ารอ ขอรัก หักใจหวน
ไม่มา พาหม่น ทนคร่ำครวญ รัญจวน ชวนใจ ไปหมายปอง
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน สายน้ำสีทอง
- เป็นกลอน ๗ ทั้งหมด ทุกวรรค
- การแบ่งพยางค์ในวรรค ช่วงแรกมีสองพยางค์ ช่วงกลางมีสองพยางค์ ช่วงหลังมีสามพยางค์
- พยางค์ที่สองในวรรคต้องไปสัมผัสอักษรกับพยางค์ที่สี่ในวรรคนั้น เช่น หริ่ง-ร้อง, ฉ่ำ-ฉาย เป็นต้น
- พยางค์ที่สี่ในวรรคต้องไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่ห้าของวรรคนั้น เช่น ร้อง-ครอง, ฉาย-สาย เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สองในวรรค ๒ เช่น ค่ำ-ฉ่ำ, ต่อ-รอ เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สองในวรรค ๔ เช่น ทอง-ส่อง, ครวญ-รัญจวน เป็นต้น
นารายณ์ประลองศิลป์
อย่าเบ่งเก่ง อย่าบ้ากล้า อย่าเบือนกล่าว มีข่าวคราว มาขานค้าน ไม่ขัดข้อง
คิดเห็นเป็น ค้นหาป่า คืนให้ปอง เหมือนมองทอง เมื่อมีที่ มากมีทาง
ตั้งจิตคิด ต้องจำคำ ตามใจเคร่ง เมื่อเพ่งเล็ง มีพร้อมล้อม ไม่พลาดล่าง
ป่าเราเก่า ป้องรู้กู้ เป็นแหล่งกลาง โครงสร้างวาง คอยใส่ไว้ คงสืบวัน
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน คืนป่าให้ชุมชน
- เป็นกลอน ๙ ทั้งหมด ทุกวรรค แบ่งเป็นสามช่วง ช่วงละสามพยางค์
- พยางค์แรกในวรรคช่วงต้น ช่วงกลาง และช่วงท้ายในวรรค ใช้คำเดิม หรือสัมผัสสระ เช่น อย่า-อย่า-อย่า,
มี-มา-ไม่, คิด-ค้น-คืน, เหมือน-เมื่อ-มาก, ตั้ง-ต้อง-ตาม, เมื่อ-มี-ไม่, ป่า-ป้อง-เป็น, โครง-คอย-คง เป็นต้น
- พยางค์ที่สองในวรรค ช่วงแรก ใช้สัมผัสสระกับพยางค์ที่สามในวรรค เช่น เบ่ง-เก่ง, ข่าว-คราว, เป็นต้น
- พยางค์ที่ห้าในวรรคช่วงกลาง ใช้สัมผัสสระกับพยางค์ที่หกในวรรค เช่น บ้า-กล้า, ขาน-ค้าน, เป็นต้น
- พยางค์ที่สอง ที่ห้า และที่แปด ใช้สัมผัสอักษร เช่น เบ่ง-บ้า-เบือน, ข่าว-ขาน-ขัด, เห็น-หา-ให้ เป็นต้น
- พยางค์ที่สาม ที่หก และที่เก้า ใช้สัมผัสอักษร เช่น เก่ง-กล้า-กล่าว, คราว-ค้าน-ข้อง, เป็น-ป่า-ปอง, เป็นต้น
- พยางค์ท้ายในวรรค ๑-๒ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามในวรรค ๓-๔ เช่น กล่าว-คราว, ปอง-ทอง เป็นต้น
ข้อคิดเห็น ควรปรับการใช้สัมผัสสระในช่วงแรกและช่วงกลางของวรรค เช่น เบ่ง-เก่ง, บ้า-กล้า เป็นสัมผัสอักษรได้ เพื่อลดความยากในการแต่ง พิจารณาแล้วเห็นว่าเมื่อปรับเป็นสัมผัสอักษรแล้ว จะไม่ทำให้ระดับเสียงขาดความไพเราะไปกว่าเดิมเท่าใดนัก
๖
( ตัวอย่างกลอนกลบท )
พระจันทร์ทรงกรด
ไหว้พระดี ดีย่อมได้ เมื่อไหว้พระ มั่นหมายบุญ บุญไม่ละ จะมั่นหมาย
ผ่อนคลายเครียด เครียดร้อน ให้ผ่อนคลาย ดับทุกข์ลับ ลับหาย ได้ดับทุกข์
กุศลสร้าง สร้างเถิด เกิดกุศล เป็นสุขมาก มากล้น ผลเป็นสุข
เคล้าคลุกกรรม กรรมชั่วดี มีเคล้าคลุก พากเพียรชอบ ชอบปลุก สุขพากเพียร
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน สร้างกุศลผลเป็นสุข
- เป็นกลอน ๘ หรือกลอน ๙ ได้
- สองพยางค์แรก ต้องเหมือนสองพยางค์สุดท้ายของวรรคนั้น เช่น ไหว้พระ-ไหว้พระ, มั่นหมาย-มั่นหมาย,
ผ่อนคลาย-ผ่อนคลาย, ดับทุกข์-ดับทุกข์ เป็นต้น
- พยางค์ที่สามกับพยางค์ที่สี่ ต้องใช้คำซ้ำ เช่น ดีดี, บุญ-บุญ, เครียดเครียด, ลับ-ลับ, สร้างสร้าง เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่ห้าหรือหกของวรรค ๒ เช่น พระ-ละ, กุศล,-มากล้น เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่ห้าหรือหกของวรรค ๔ เช่น คลาย-หาย, คลุก-ปลุก เป็นต้น
อักษรสังวาส
ร่ำคำนึงถึงกามความใฝ่ใคร่ ยังฝังใจให้เพ้อพะวงหลง
ดูรู้จักเพียงพอก็จงปลง ไม่ใหลหลงถ้าสงสัยให้ลองตรอง
กามความใคร่มีให้ควรชวนชื่นมื่น พอต่อตื่นชื่นใจไม่ต้องหมอง
ร่านพล่านไปไฟจะลนคนจ้องมอง มั่นครรลองจะครองสุขทุกข์หายคลาย
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน เพลงกาม
- เป็นกลอน ๘ หรือกลอน ๙ ได้
- สองพยางค์หน้าของทุกวรรค ใช้สัมผัสสระ เช่น ร่ำคำ, ยังฝัง, ดูรู้, ไม่ไหล, กามความ, พอต่อ เป็นต้น
- สองพยางค์ท้ายของวรรคทุกวรรค ใช้สัมผัสสระ เช่น ใฝ่ใคร่, วงหลง, จงปลง, ลองตรอง, ชื่นมื่น,
ต้อง-หมอง, จ้อง-มอง, หาย-คลาย, เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามของวรรค ๒ เช่น ใคร่-ใจ, ชื่นมื่น-ชื่น เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามของวรรค ๔ เช่น ปลง-หลง, มอง-ครรลอง เป็นต้น
๗
(ตัวอย่างกลอนกลบท )
ธงนำริ้ว
เรื่อยเรื่อย ล่องลำน้ำยามเย็นย่ำ รินริน ฉ่ำสายชลล้นหลากไหล
แว่วแว่ว เสียงนกกาพาเพลินใจ ร่ำร่ำ ไรรอนแรงแสงสุรีย์
พรูพรู ลมพัดชื่นแพรคลื่นพลิ้ว พรายพราย ริ้วแลระยับจับแสงสี
ฝันฝัน ฝากจากใจให้คนดี วันวัน นี้มีเวลามองฟ้างาม
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน สายชล-สนธยา
- เป็นกลอน ๘ หรือกลอน ๙ ได้
- สองพยางค์แรกของทุกวรรค ต้องใช้คำซ้ำตลอดทุกวรรค เช่น เรื่อยเรื่อย, รินริน, แว่วแว่ว, ร่ำร่ำ,
พรูพรู, พรายพราย, ฝันฝัน, วันวัน, เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามของวรรค ๒ เช่น เย็นย่ำ-ฉ่ำ, พลิ้ว-ริ้ว เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามของวรรค ๔ เช่น เพลินใจ-ร่ำไร, คนดี-วันนี้ เป็นต้น
วิสูตรสองไข
เฉลิมฉลอง ครองสุข สนุกสนาน สมัครสมาน มวลมิตร สนิทสนม
อย่าบ่นอย่าว่า ด่าใคร ไม่ชื่นไม่ชม พอเหมาะพอสม สิ่งหมาย ได้หน้าได้ตา
อะลุ่มอล่วย ช่วยกัน ให้มั่นให้เหมาะ พินิจพิเคราะห์ ความดี มีคุณมีค่า
จะติดจะตรึง ซึ้งใจ ไม่สร่างไม่ซา จะเพลินจะพา พ้องเพื่อน มาเยือนมายล
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน สมานฉันท์
- เป็นกลอนกลบทที่มีจำนวนพยางค์มากที่สุดถึง ๑๐ พยางค์ (อนุโลมให้เป็นกลอนแปดมาตรฐานได้)
- สี่พยางค์แรกและสี่พยางค์หลังในวรรค จัดเป็นกลุ่มคำ ใช้คำควบกล้ำ หรือคำสี่พยางค์ที่มีคำซ้ำเป็นแกนหลัก
เช่น เฉลิมฉลอง, สนุกสนาน, สมัครสมาน, สนิทสนม, อย่าบ่นอย่าว่า, ไม่ชื่นไม่ชม, พอเหมาะพอสม,
ได้หน้าได้ตา, อะลุ่มอล่วย, ให้มั่นให้เหมาะ, พินิจพิเคราะห์ มีคุณมีค่า เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สี่ของวรรค ๒ เช่น สนาน-สมาน, ให้เหมาะ-พิเคราะห์ เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สี่ของวรรค ๔ เช่น ไม่ชม-พอสม, ไม่ซา-จะพา เป็นต้น
๘
( ตัวอย่างกลอนกลบท)
เสือซ่อนเล็บ
ดอกไม้บาน หวานจิต พิสมัย เย้ายวนใจ ให้หา มาสุขสม
ดอกไม้อยู่ คู่ภมร ร่อนเริงรมย์ ได้ดอมดม ชมไป ไม่เคลื่อนคลาย
คราวหมดดอก ออกเห็น เป็นลูกผล แต่งเต็มต้น ล้นหลาม ตามมุ่งหมาย
พันธุ์ไพรพง คงไว้ ไม่กลับกลาย เมื่อดอกไม้ ร่ายมนต์ ดลใจปอง
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน มนตร์ดอกไม้
- เป็นกลอน ๘ หรือกลอน ๙ ได้
- การแบ่งช่วงในวรรค ช่วงแรกสามพยางค์ ช่วงกลางนิยมสองพยางค์ ช่วงท้ายสามพยางค์
- พยางค์ท้ายช่วงแรกไปสัมผัสสระกับพยางค์แรกของช่วงต่อไป เช่น บาน-หวาน, จิต-พิศ, ใจ-ให้, เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามของวรรค ๒ เช่น พิสมัย-ใจ, ผล-ต้น เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สามของวรรค ๔ เช่น รมย์-ดม, กลาย-ดอกไม้ เป็นต้น
ข้อคิดเห็น - กลอนกลบทนี้ เป็นกลอนแปดที่สมบูรณ์งามพร้อม สัมผัสตรงตัว ไม่อนุโลมให้มีการใช้ตำแหน่งสัมผัสสระแทน
นาคบริพันธ์
เรื่องเล่าบอกออกพรรษาน่าฉงน ถึงวันดีมีคนค้นคำไข
พญานาคมากหลายได้บั้งไฟ จุดพลุส่งตรงขึ้นไปจากบาดาล
บูชาองค์ทรงพิสุทธิ์พระพุทธเจ้า จากแม่โขงโยงยาวกล่าวสืบสาน
ในหนึ่งปีมีหนึ่งวันท่านยืนกราน เรื่องที่เห็นเป็นตำนานผ่านเวลา
ข้อสังเกต ชื่อสำนวนกลอน บั้งไฟพญานาค
- เป็นกลอน ๘ หรือ กลอน ๙ ได้
- พยางค์ที่สามในวรรคต้องไปสัมผัสสระกับพยางค์ที่สี่ในวรรคนั้น เช่น บอกออก, ดี-มี, นาค-มาก,
ส่ง-ตรง, องค์-ทรง, โยง-โขง, ปี-มี, เห็น-เป็น เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๑ ไปสัมผัสสระพยางค์ที่ห้าหรือหกในวรรค ๒ เช่น ฉงน-คน, พระพุทธเจ้า-ยาว เป็นต้น
- พยางค์ท้ายวรรค ๓ ไปสัมผัสสระพยางค์ที่ห้าหรือหกในวรรค ๒ เช่น บั้งไฟ-ไป, ยืนกราน-ตำนาน เป็นต้น
|
ผู้แสดงความคิดเห็น สุดาวดีศรีสุนทรอักษรศิลป์ วันที่ตอบ 2009-03-11 05:36:47
|
ความคิดเห็นที่ 2 (4421009) | |
กลบทยัติภังค์คำสุดท้ายของวรรคไม่ได้ซ้ำกับคำขึ้นต้นของวรรคต่อไปนะครับแต่มันแบ่งคำออกจากกันต่างหากเช่น...
คน ดีไหนไหนเลยจะเอ่ย สุน-
ทร นินทาทารุณขุ่นจิต หมอง-
หม่น ก่นกล่าวกล่าวหวนทบทวน ตรอง-
ตรึก สอดส่องส่องตัวชั่วหรือ เลอ-
เลิศ กว่าใครใครเขาเอาแต่ อิจ-
ฉา อย่าบิดบิดเบือนเหมือนคน เย่อ-
หยิ่ง ลำพองพองขนพล่ามพ่น เปรอ-
ปรน หลงเพ้อเพ้อปองสนอง กาม-
คุณ ควรมองมองตัวตนจน ชัด-
เจน รู้จัดจัดการความอยาก ถาม-
ไถ่ ฝักใฝ่ใฝ่เฝ้าเรื่องเขา ตาม-
ติด ด่าหยามหยามว่านินทา คน.....
|
ผู้แสดงความคิดเห็น ปราป วันที่ตอบ 2021-04-04 05:18:15
|