หน้าหลัก | ข้อมูลสมาคม | บทความ | บทร้อยกรอง | ข่าวสารประชาสัมพันธ์ | กิจกรรม | กระทู้ | หนังสือ | ร้อยกรองออนไลน์ |
กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) กับการใช้จ่ายในสังคมไร้เงินสด | |
โลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนในหลาย ๆ ด้านก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย หลายสิ่งอย่างถูกขยับขยายเข้าสู่ดิจิทัลไลฟ์สไตล์มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดเจนว่าเรากำลังปรับตัวกันอยู่ ก็คือรูปแบบของการเงินก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่าการทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มีบทบาทในสังคมไร้เงินสดมากขึ้น สืบเนื่องมาจากช่วงที่มีโรคระบาดรุนแรง เงินสดทั้งประเภทเหรียญกษาปณ์และธนบัตรที่ผู้คนใช้จับจ่ายใช้สอยในสังคมกลายเป็นแหล่งเชื้อโรคชั้นดี เนื่องจากเงินสดเหล่านี้ถูกเปลี่ยนมือกันไปมาแบบร้อยพ่อพันแม่เลยทีเดียว ทำให้ในช่วงเวลานั้น เพื่อหลีกเลี่ยงกับจับเงินสดและลดความเสี่ยงในกาสรับเชื้อโรคจากเงินสด ผู้คนจึงหันไปใช้จ่ายในรูปแบบที่ไม่ต้องใช้มือจับเงินสดกันมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ด/บาร์โค้ด การโอนเงินผ่านเลขบัญชีและระบบพร้อมเพย์ หรือวิธีการชำระรูปแบบอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบเงินสด แถมยังเสร็จจบง่าย ๆ ไม่กี่วินาทีด้วยสมาร์ตโฟนเพียงเครื่องเดียว เร็วกว่าการเทเศษเหรียญออกมานับให้ครบเสียอีก ทำให้คนหลายคนถือเงินสดติดตัวน้อยลงไปโดยปริยาย ขณะเดียวกัน สังคมไร้เงินสดก็เริ่มเติบโตอย่างก้าวกระโดด การใช้จ่ายแบบสังคมไร้เงินสดดูเป็นรูปธรรมขึ้นมากกว่าช่วงที่คนยังไม่รู้จักโควิด-19 ถึงเวลานี้ คนไทยส่วนมากคุ้นเคยกับการทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านสมาร์ตโฟน อินเทอร์เน็ต และแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่สามารถเก็บเงินของเราไว้ได้บนออนไลน์ ซึ่งแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันที่เราใช้ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านทางออนไลน์กันนี้ หากจะให้เปรียบเทียบ จะพบว่าฟังก์ชันของมันแทบไม่ต่างอะไรกับ “กระเป๋าเงิน” ของเรา เวลาจะจับจ่ายใช้สอย ก็แค่เปลี่ยนจากการหยิบกระเป๋าเงินมาหาเงินจ่าย เป็นการหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาไถ ๆ กด ๆ จ่อ ๆ แล้วกดยืนยันจ่ายเท่านั้นเอง กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) เป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยมาสักพักแล้ว นี่คือยุคที่ผู้คนในสังคมต่างก็มีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์กันหมดแล้วกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Wallet อาจดูจะเป็นศัพท์ใหม่ในสังคมไทย แต่จริง ๆ แล้วคนไทยจำนวนไม่น้อยมีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ใช้กันมานานแล้ว ที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือกระเป๋นเงินประเภท Mobile Wallet ซึ่งอยู่ในรูปของแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน ด้วยความที่เข้าถึงง่าย ทุกคนที่มีสมาร์ตโฟนใช้สามารถดาวน์โหลดแอปฯ กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์จากผู้ให้บริการต่าง ๆ มาใช้งานได้ตามต้องการ นั่นทำให้ในมือถือของหลายต่อหลายคนไม่ได้มีกันแค่แอปฯ เดียวเท่านั้น ที่มีใช้กันในประเทศไทยก็อย่างเช่น TrueMoney, Rabbit LINE Pay, ShopeePay (รีแบรนด์จาก AirPay), mPay, GrabPay, Google Pay, Samsung Pay และ WePay ดังนั้น กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) จึงเป็นเครื่องมือหรือตัวกลางที่ทำหน้าที่แทนกระเป๋าเงินที่เราเคยต้องพกไปไหนมาไหนกันในชีวิตประจำวัน ทุกวันนี้ เราสามารถไปไหนมาไหนโดยไม่จำเป็นต้องพกกระเป๋าสตางค์อีกต่อไป แค่มือถือเครื่องเดียวก็จบแล้ว เนื่องจาก e-Wallet มันอยู่ในรูปของแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถืออยู่แล้ว ทำหน้าที่ช่วยเก็บเงินสดที่โอนเข้ามาในระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่นวัตกรรมการจ่ายเงินโดยเพิ่มบัตรเครดิตของเราลงไปในสมาร์ตโฟน แล้วเราก็สามารถนำเงินก้อนนั้นไปจับจ่ายใช้สอย จ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ซื้อของออนไลน์ ซื้อสินค้าตามห้างร้าน รับประทานอาหาร และบริการอื่น ๆ ได้อย่างอิสระ ตอบรับเทรนด์สังคมไร้เงินสดได้อย่างไร้ขีดจำกัด การมี e-Wallet ทำให้เราไม่จำเป็นต้องพกทั้งเงินสดและบัตรเครดิตไปไหนมาไหนอีกต่อไป เพราะเราสามารถใช้จ่ายทุกการใช้จ่ายได้ผ่านสมาร์ตโฟน (ถ้าปลายทางเขารับล่ะก็นะ) มันจึงช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี จ่ายเงินรวดเร็วได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องหยิบเงินสด ไม่ต้องพกบัตรเครดิตมารูด แถมยังได้ส่วนลดหรือโปรโมชันเมื่อชำระสินค้าและบริการอีกต่างหาก แต่สิ่งที่ผู้คนอยากรู้ก็คือ กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) มีความปลอดภัยแค่ไหน เพราะสิ่งสำคัญคือเรานำเอาเงินจริงของเราเปลี่ยนสภาพให้เป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่จับต้องไม่ได้ แต่มีมูลค่าที่ใช้ได้จริงและใช้ได้ทันที มันคือกระเป๋าเงินออนไลน์ที่เก็บเงินจริงของเราไว้ เพราะเป็นเทคโนโลยีรูปแบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ผู้ให้บริการจึงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานสากล มีการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล มีการให้เข้ารหัสส่วนตัวก่อนเปิดกระเป๋าใช้งาน เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นล้วงข้อมูลจากกระเป๋าเงิน (แอปฯ) ได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่คนจะเก็บเงินไว้ใน e-Wallet น้อยกว่าบัญชีเงินฝาก พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ มีไว้แค่พอใช้จ่ายเท่านั้น ใช้เกือบหมดแล้วค่อยเติมเข้าไปใหม่ เรื่องทำเรื่องหักจากบัญชีเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้แทน ยกเว้น e-Wallet ประเภทที่ผูกบัตรเครดิต/เดบิต ที่เราไม่ต้องเติมเงินเข้ากระเป๋า แต่เมื่อเราทำธุรกรรมเสร็จสิ้น ระบบถึงจะตัดเงินจากบัตรเครดิต/เดบิตของเราไป แต่สำหรับ Samsung Pay ได้นำเทคโนโลยี Tokenization ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยทางการเงินมาใช้ (แปลงหรือทำให้สินทรัพย์ต่าง ๆ อยู่ในรูปแบบดิจิทัล) ดังนั้น การใช้ Samsung Pay จะมีการแปลงบัญชีข้อมูลส่วนบุคคลของเราให้เป็น token ก่อน แล้วจึงค่อยนำ token ไปใช้ในการชำระเงินแทนเงินจากบัญชีโดยตรง และหมายเลขบัตรเครดิตของเราจะถูกแทนด้วย Device Card Number ตรงนี้จะเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเทคโนโลยีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Wallet ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องให้มีความปลอดภัยสูง ผู้ใช้สามารถควบคุมบัญชีของตัวเองได้อย่างอิสระ สามารถเติมเงินเข้าตามจำนวนที่ต้องการ ไม่จำเป็นต้องผูกกับบัตรใด ๆ รวมถึงมีระบบตรวจสอบบัญชีและยอดเงินเข้าออกที่รวดเร็ว หากพบปัญหา ก็สามารถแจ้งผู้ให้บริการได้ทันที ข้อดี-ข้อเสียของการใช้กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เนื่องจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการใช้จ่ายผ่านทางอินเทอร์เน็ต ทุกอย่างทำผ่านออนไลน์ ซึ่งแน่นอนว่ามันช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี แต่การทำธุรกรรมผ่านออนไลน์ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้น ผู้ใช้งานจึงต้องศึกษาให้ดีก่อนใช้งาน ข้อดี
ข้อเสีย
เงินอิเล็กทรอนิกส์กับเงินดิจิทัลไม่เหมือนกันนะ!อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนหนึ่งที่เข้าใจสับสนเรื่องเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) กับเงินสกุลดิจิทัล (Digital Currency) เนื่องจากเงินทั้งสองประเภทมีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันมีความแตกต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงการเงินการธนาคาร หรือแค่มีระบบให้ใช้ก็ใช้ ไม่ได้สนใจที่จะศึกษาจริง ๆ จะเข้าใจสับสนกันได้
| |
ผู้ตั้งกระทู้ bnm :: วันที่ลงประกาศ 2023-04-20 21:02:03 |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 872983 |