พลันที่คณะกรรมการคัดเลือกรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียนหรือซีไรต์ ประกาศผลหนังสือกวีนิพนธ์ที่เข้ารอบ จำนวน 8 เล่ม เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เสียงอื้ออึงก็ดังไปทั้งวงการ
ภาพกวีรุ่นใหม่ตามรายชื่อที่เข้ารอบนั้นไม่เพียงสะดุดตานักเขียนด้วยกัน แต่นักอ่านเองก็ออกอาการงงๆ ด้วยเหตุที่ว่าบางเล่มยังไม่เคยเห็น แต่นั่นก็ยังน้อยกว่าข้อที่ว่า ชื่อของนักเขียนทั้ง 7 คน ล้วนเป็นกวีหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งนั้น
บรรยากาศที่คุกรุ่นเริ่มขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ เมื่อมีการกล่าวถึงคุณสมบัติของกรรมการบางคน และความเกี่ยวข้องกับนักเขียน รวมไปถึงการให้สัมภาษณ์ของกรรมการบางคน ที่ว่าถึงเวลาที่จะสอยกวีนิพนธ์ลงมาจากหิ้งได้แล้ว ยิ่งทำให้อะไรๆ ปะทุแรงขึ้น
กระทั่ง "ประชาคมวรรณกรรมแห่งประเทศไทย" กลุ่มวรรณกรรมชื่อใหม่ล่าสุดก็เกิดขึ้นเพื่อโอกาสนี้โดยเฉพาะ ด้วยแกนนำอย่าง วรภวราภา กานติ ณ ศรัทธา และวิสุทธิ์ขาวเนียม พร้อมๆกับการร่างหนังสือเพื่อตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของคณะกรรมการ และอื่นๆ รวมถึงการล่ารายชื่อนักเขียน ที่มีความคิดเห็นทำนองเดียวกันนี้
ในโอกาสที่เยือนถิ่นใต้จึงนัดแนะกับ 1 แกนนำ กานติณ ศรัทธา ที่ประจวบเหมาะกับที่เขามาเยี่ยมเยือนนักเขียนรุ่นใหญ่อย่างจำลอง ฝั่งชลจิตร บรรยากาศการพูดคุยจึงเกิดขึ้น ณ บริเวณหน้าบ้าน กลางเมืองลิกอร์ (นครศรีธรรมราช) โดยที่เจ้าบ้านมิได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น
0 ทำไมถึงลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับกรรมการซีไรต์ครั้งนี้
หลายคนมีความเห็นตรงกัน กวีภาคใต้ เหนือ อีสาน มีความเห็นตรงกันว่าเกิดพิลึกพิลั่นขึ้นมา ในการคัดเลือกผลงานที่เข้ารอบมานั้น มันสะท้อนภาพแปลกพิสดารอยู่ ทุกคนมาคุยกันว่ามันคืออะไร คุยกันแล้ว มันตรงกัน 5 ข้อ ข้อที่ 1 ทำไมกลุ่มหน้ารามฯ มีกรรมการ 2 คน แล้วมีกลุ่มหน้ารามเข้ารอบมา 4 เล่ม กลุ่มหน้ารามฯ ประเด็นนี้ไม่ใช่เราเขียนเองด้วย แต่มิสเตอร์คิวซี ที่เขียนในจุดประกายวรรณกรรม ก็บอกถึงข้อมูลวงใน ถึงกลุ่มนักเขียนหน้ารามด้วย
ประเด็นที่2 อย่างเครือข่ายนักเขียนแห่งประเทศไทย จัดพิมพ์งานของโกสินทร์ ขาวงาม ซึ่งปีนี้ก็มีพิเชฐ แสงทอง ซึ่งเป็นกรรมการฝ่ายวิชาการ มีสุภาพ พิมพ์ชน (วชิระ ทองเข้ม) เป็นรองกรรมการฝ่ายวิชาการ แล้ว 2 คนนี้เป็นกรรมการซีไรต์อีก แล้วงานของโกสินทร์เข้ามา งานดีไม่ดี เราไม่พูด แต่พูดถึงคุณเป็นกรรมการ แล้วมีงานเข้ามา จะหนีข้อครหาได้อย่างไร ข้อ 3 ทุกคนมีความเห็นว่า กรรมการบางคนไม่มีคุณภาพ คำว่าไม่มีคุณภาพ คือ ไม่มีอะไรแสดงให้เห็นเลยว่า คุณมีความสามารถ และรู้จริงด้านกวีนิพนธ์ เช่น พินิจ นิลรัตน์ แล้วเราจะรู้ได้ย่างไรล่ะ ว่าคุณมีความรู้จริงด้านกวีนิพนธ์หรือไม่ มีงานทางกวีนิพนธ์ให้คนยอมรับบ้างหรือไม่ คุณมีผลงานวิจัยด้านกวีนิพนธ์บ้างไหม นี่ไม่มีเลย
ผมไม่ได้บอกว่าเป็นไม่ได้เป็นได้บ้าง แต่ไม่ใช่เป็นทุกประเภท เป็นทุกปี นวนิยายก็อ่าน เรื่องสั้นก็อ่าน เซเว่นบุ๊ค อวอร์ดก็เขา พานแว่นฟ้าก็เขา ตอนนี้เกือบหมดแล้ว กรรมการพวกนี้เป็นนานมาก เหมือนผูกขาด อย่าง ธเนศ เวศร์ภาดา พินิจ นิลรัตน์ พิเชฐ แสงทอง ควรจะเปลี่ยนบ้าง อยู่นานๆ จะสั่งสมบารมี สั่งสมอิทธิพล หรือชี้นำ โน้มนำได้
ประเด็นต่อไปที่พิเชฐพูดรุนแรงมาก ปีนี้ก็คือว่า บทกวีที่เข้ารอบเป็นการดึงกวีลงมาจากหิ้ง เพราะกวีจะได้เป็นเรื่องง่ายๆ อัญเชิญกวีลงมาจากหิ้ง กวีลงมาจากฟ้า กวีเป็นใครก็ได้ ใครก็อ่านได้ ใครก็เขียนได้ ไม่ต้องไปเกร็งไปกลัว ไม่ต้องเป็นกวีมาตั้งแต่ชาติปางก่อน มีคำกล่าวว่า กวีเดินผ่านมา คนต้องลุกขึ้น และตบมือให้น่ะ จะทำให้สังคมถอยห่างจากบทกวีมากขึ้น ผมว่าเป็นทัศนะที่ผิด
0ผิดยังไง
การที่คุณบอกว่าให้บทกวีเป็นเรื่องที่ง่ายมันผิดเพราะบทกวีมีเรื่องที่ง่ายและยากในตัวเอง ไม่ใช่เป็นนักร้องร้องแบบคาราโอเกะ เพราะในความยากมีความง่าย ในความง่ายมีความยาก เมื่อพูดความง่ายอย่างเดียว ไม่พูดถึงองค์ประกอบอื่น พูดองค์วามรู้เรื่องจินตนาการความสะเทือนใจ พูดความง่ายอย่างเดียวเป็นเรื่องผิด คำว่าง่าย ง่ายแบบไหนด้วย ถ้าง่ายแบบเดียวแล้วเป็นพระเอก ไม่ใช่ ง่ายแล้วมีคุณค่าอย่างไร ต้องประเมินที่ตัวคุณค่า ไม่ใช่ประเมินที่ตัวรูปแบบ
ที่ยกย่องกวีเพราะกวีเป็นผู้รู้ เป็นนักปราชญ์ เป็นผู้ชี้นำทางสังคม คำว่ากวีในทีนี้ ไม่ใช่คนเขียนบทกวี แต่เป็นกวีจริงๆ เหมือน คาริล ยิบราน รพินทรนาถ ฐากูร เนรูด้า หรือท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขาถึงยอมรับ เป็นกวีที่แท้จริง อย่างท่านอังคาร เราต้องยอมรับแล้วว่าท่านเป็นกวีที่แท้จริง แล้วถ้าเราตบมือให้ท่าน จะทำให้สังคมถอยห่าง ตามวิธีคิดแบบพิเชฐ มันไม่ใช่ ผิดแล้ว ผมคิดว่ากรรมการที่มีความคิดผิดๆ แบบนี้มาตัดสินงานที่มีคุณค่าที่ลึกซึ้ง มันได้หรือเปล่า
0ที่ผ่านมา เห็นลุกขึ้นมาประท้วงอย่างนี้
เราต้องลุกขึ้นมาพูดบางคนบอกว่าขี้แพ้ชวนตี อะไรต่างๆ เราบอกว่าไม่ใช้ พวกผมมันแพ้ทุกปี ถ้าตี ตีนานแล้ว ทำไมต้องมาตีตอนนี้ ถ้าขี้แพ้ชวนตี ก็ตีกรรมการขี้โกง มันก็เพื่อนกันทุกคน น้องๆ พี่ๆ เราไม่ได้ทะเลาะกันว่าเป็นพี่ที่ดี น้องที่เลว ไม่ใช้อย่างนั้น เราพูดถึงบทบาทและหน้าที่ โฟกัสที่ตัวกรรมการ เราไม่ได้แตะเนื้องาน ถ้าพูด ก็พูดในแง่วิชาการ งานของศิวกานต์ ปทุมสูติ ประเมินแล้วดีกว่างานของโกสินทร์ ขาวงาม หรืองานของกุดจี่ ประเมินได้ พอประเมินเสร็จก็ว่า เป็นความเห็นที่แตกต่าง จบ เราเลยยังไม่พูดตรงนั้น เพราะแตกต่างกันได้ ยอมรับกันได้ บางปี งานบางเล่ม เราก็ยอมรับได้
หลายคนเสนอว่าอย่าประท้วงแบบนี้เลยว่างานนี้ดีกว่าเล่มนี้ งานนั้นตกทำไม พูดมาหลายปีแล้ว ไม่เห็นมีอะไรที่งอกเงยเลย แต่ปีนี้เรามาพูดเรื่องความไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมของกรรมการ ความไม่เหมาะสมของกรรมการ
0กรรมการคนอื่นมีความเห็นอย่างไรบ้างไหม
มีของเขาอยู่แล้วแต่เราพูดในแง่ที่ว่า เหตุผล 5 ข้อมีน้ำหนัก อย่างคุณเป็นผู้จัดพิมพ์แล้วมาเป็นกรรมการของเครือข่ายนักเขียน แล้วมาเป็นกรรมการ คุณก็ถอนตัวได้นี่ นี่เรียกว่าผลประโยชน์ทับซ้อน มีอคติกับงานบางอย่างกับกวีบางกลุ่ม ก็เป็นไปได้
0ถึงที่สุดแล้วต้องการอะไร
เราไม่ใช้ความโกรธ ความแค้นเคือง ใช้เหตุผลเสนอให้คนคิด ชี้นำทุกอย่าง แม้แต่ข้อเรียกร้องครั้งนี้ เรายังไม่เรียกร้องอะไรเลย เราไม่ได้ต้องการให้ครั้งนี้เป็นโมฆะ ตัดสินก็ตัดสินไป เราไม่ว่า แต่ปีหน้าควรมีหลักเกณฑ์ หรือหลักการอะไรขึ้นมา เพียงแต่เราชี้ประเด็น แล้วให้ประชาคมวรรณกรรม ที่มีทั้งผู้จัดพิมพ์ คนอ่าน คนเขียน เราจะเป็นศูนย์กลางรวบรวมให้ คุณบอกว่ามาคุณเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย รวบรวมไปรษณียบัตร เสนอไปทางเจ้าของรางวัล เสนอไปทางสมาคมภาษา ทางสมาคมนักเขียน แต่ถ้าคนไม่เห็นด้วยกับเรา เราก็ยอมเลยว่า โอเคผมผิดเอง เพราะไม่มีใครเห็นด้วย เอาไปประหารได้เลย แต่พอเราชี้ออกไปแล้ว เรามาดูกันว่าสิ่งที่ทุกคนเรียกร้อง สิ่งที่ทุกคนต้องการ คนที่กล้าออกมาพูด ชี้ประเด็น ส่งจดหมายไปแล้ว และจะจัดแถลงการตรวจสอบกรรมการรอบคัดเลือก เราไม่มีการยึดทรัพย์ ยึดตำแหน่ง ไม่มีแน่
0ตอนนี้เสียงตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง
ทำมา5 วันแล้ว ผลมี 2 ส่วน คือ คนที่พร้อมจะลงชื่อ ก็มี คนยังไม่เห็นแถลงการณ์ โทรมาขอลงชื่อ ก็มี คนที่อ่านแล้วขอลงชื่อ ก็มี อ่านแล้วเห็นด้วย แต่บอกว่าอย่าลงชื่อผมเลย เพราะมีสถานภาพอะไรๆ ของเขา รวมทั้งนักเขียนใหญ่บางคนที่บอกว่าทำเลย เป็นสิทธิที่จะทำได้
0จากนี้จะดำเนินการอย่างไรต่อ
ตัวแถลงการณ์จริงจะออกประมาณวันจันทร์หรืออังคาร เราจะส่งชื่อถึงสื่อมวลชนเลย ฉบับจริงยังไม่เสร็จ เอาฉบับร่างมาปรับปรุงฉบับจริง มี 5 ข้อ ร่างมี 4 ข้อ เพราะมีผลต่อทิศทิศทางของสังคม แต่ละปีคนอ่านหนังสือซีไรต์กี่แสน ครูให้นักเรียนอ่าน ประชาชนเยอะแยะมากมายที่อ่าน ถ้าคุณได้หนังสือดี จะพาคุณไปสู่สังคมที่ดี ถ้าหนังสือไม่ดี ก็เฉไฉไป เราเป็นนักเขียนที่ตกรอบหรือไม่ตกรอบ มันเลยตรงนั้นไปแล้ว เราเอายอดขายบทกวีไปเทียบกับอย่างอื่น แล้วไม่ควรพูด เพราะบทกวีเป็นเรื่องปัญญาชนที่เข้มแข็ง
สิ่งที่คิดทั้งหมดคืออยากให้สังคมไทยที่บริโภคหนังสือ ได้รับหนังสือที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง แล้วประโยชน์ไปที่ตรงนั้น อยากทำให้การตัดสินโปร่งใส และสังคมยอมรับได้ ไม่มีระบบผูดขาด ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ไม่ใช่มีผลประโยชน์เชื่อมโยง
รายชื่อกวีนิพนธ์ที่เข้ารอบ 8 เล่ม จากผู้ส่งงานเข้าประกวด 76 เล่ม ดังนี้
เก็บความเศร้าไว้ให้พ้นมือเด็กๆของ ศิริวร แก้วกาญจน์,ที่ที่เรายืนอยู่ ของ อังคาร จันทาทิพย์, ปลายทางของเขาทั้งหลาย ของ กฤช เหลือลมัย, แมงมุมมอง ของ พรชัย แสนยะมูล, ฤดูมรสุมบนสรวงสวรรค์ ของ อุเทน มหามิตร, ลงเรือมาเมื่อวาน ของ ศิริวร แก้วกาญจน์, โลกในดวงตาข้าพเจ้า ของ มนตรี ศรียงค์ และหมู่บ้านในแสงเงา ของ โกสินทร์ ขาวงาม
สำหรับกรรมการรอบแรกประกอบด้วย ประธานกรรมการคัดเลือก อดุล จันทรศักดิ์ และกรรมการ 6 คน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา, พินิจ นิลรัตน์, พิเชฐ แสงทอง, วชิระ ทองเข้ม, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สายวรุณ น้อยนิมิต และรองศาสตราจารย์ อวยพร พานิช |