โดย อัศนี พลจันทร
อ้าพ่อลำเภาพักตระพำนักพนาลี (นายผี) กูเองเป็นคนรูปหล่อ(มีใบหน้างาม) อ้าพ่อรำพึงพีรยะภาพะอันเพ็ญ กูเองรำพึงรำพันถึงความกล้าหาญ/ความพากเพียร อันมีอยู่เต็มเปี่ยม (พิรย อาจแปลว่า เพียร หรือ กล้า วีระ/พีระ ก็ได้)
อ้าพ่อมหาภัคะสุภาพะเปลี่ยวเปน กูเองเคยเป็นคนร่ำรวย(เพราะเกิดในตระกูลขุนนางมีคนแวดล้อม)แต่ต้องมาเปลี่ยนเป็นอยู่คนเดียว
อ้าพ่อผิลำเค็ญครุราวพนาลัย กูเองแม้ยามนี้ลำเค็ญอย่างหนัก(ครุ)ต้องมาอยู่ราวป่า อยู่เดียวบดูดายดละภาพะอันไพ- ถึงอยู่คนเดียวแต่ก็อยู่อย่างสร้างภาวะอันไพโรจน์
โรจน์เรืองประเทืองในนรลักษณะเล็งลาน ลานแดประดาสดวงอดิรัตนะเดียวดาล สร้างภาวะอันไพโรจน์ให้เกิดขึ้นในหมู่นรชน ซึ่งกูได้มองเห็นอยู่เต็มลานกว้าง แต่ก็เกิดความลนลานในจิตใจอันตกต่ำ (ประดาษ ว. ตกต่ำ เช่น โอ้ครั้งนี้มิได้เห็นเช่นฉลอง เพราะตัวต้องตกประดาษ วาสนา. (นิ. ภูเขาทอง). (ข. ผฺฎาส ว่า ผิดระเบียบ นอกรีตนอกรอย) เพราะบัดนี้กูถูกลดอำนาจลง ไม่ได้เป็น "สหายนำ" หรือผู้นำใน หมู่ผู้ก่อการปฏิวัติเสียแล้ว ทำให้ อดิรัตน์ =ดวงแก้วอันงามเลิศล้น/ความหวังที่จะสร้างสังคมใหม่ อันเป็นจุดมุ่งหมายหนึ่งเดียว ที่เคยบันดาลขึ้นในจิตใจ
คือเจตนะจำราญจะริแล้วและรังไฉน จุดมุ่งหมายหนึ่งเดียวนั้นคือเจตนาที่จะสร้างสังคมใหม่ ตอนนี้คงต้องแหลกราญลงเสียแล้ว จะสร้างขึ้นมาใหม่ได้ไฉน
คิดควรบควรทำทุรโทษะอยู่ไย แต่กูก็ไม่ควรมานั่งคิดให้เป็น ทุรโทษ อยู่ไปใย คนคือกระบือไบสุตะศัพทะส่ายเศียร คนอย่างพวกมันก็เหมือนควายที่ฟังภาษาคนไม่ออกได้แต่ส่ายหัว
อ้าควายบเคยคิดและคำนึงจำเนียรเพียร สุขเพื่อจะพาเกวียนรึกำเริบประดุจเรา
แต่จะไปเปรียบกะควายก็ไม่ถูกเพราะควายมันก็ไม่เคยคิดกำเริบเสิบสานเหมือนอย่างมนุษย์เรามันพอใจที่จะลากเกวียนเท่านั้น
ควายคนรึคนควายผิมลายและเหลือเขา ไม่ว่าจะควายหรือคน หรือคนที่โง่เหมือนควาย ก็ต้องตายทั้งนั้น แต่ควายตายแล้วยังเหลือเขา(และหนัง)
ควายคนคนาเนา- พะบ่สุขะสำนาน ไม่ว่าจะควายหรือคน หรือคนที่โง่เหมือนควาย และผู้มาใหม่ (เนาพ=เนาว แปลว่า 9 และแปลว่าใหม่ก็ได้) ตอนนี้ก็อยู่รวมกันอย่างไม่มีความสุขมานานพอแล้ว
คนควายมลายยังศพะย่อมจะรำคาญ ไม่ว่าจะควายหรือคน หรือคนที่โง่เหมือนควาย ตายแล้วศากศพย่อมมีกลิ้นเหมือนรำคาญ
คนควายมลายมานก็เสมอกะหมาแล ฯ ไม่ว่าจะควายหรือคน หรือ คนที่โง่เหมือนควายคือคัวกูเอง ตอนนี้คงต้องตายเหมือนหมา แล้วกระมัง
(ไม่ปรากฏวาระการพิมพ์ - รวมบทกวีนายผี)
ปล.ฉันท์บทนี้เป็นฉันท์บทแรกที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสอ่านในสมัยที่เรียนอยู่ชั้น ป.4 คำฉันท์บทนี้ข้าพเจ้ายังท่องจำได้ขึ้นใจ เรียกได้ว่าเพราะฉันท์บทนี้นี่เองทำให้ข้าพเจ้าหันมาสนใจกวีนิพนธ์ สาเหตุน่ะหรือ ก็เพราะอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ก็เลยอยากอ่านให้รู้เรื่อง อีกทั้งเห็นว่าคำที่ใช้ในคำฉันท์บทนี้ไพเราะจับใจเหลือเกิน (สมัยนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เป็น อินทรวิเชียรฉันท์ 11) อีกทั้งมีความรู้สึกที่ว่าอยากที่จะแต่งอยากที่จะเขียนคำเพราะๆแบบนี้ได้เองบ้าง แม้กระทั่ง เรียนถึงชั้น ม.6 พยามเปิดพจนานุกรมของราชบัณฑิต ดู พอรู้ศัพท์บางศัพท์ แต่ก็ยังไม่รู้บริบท ที่ฉันท์บทนี้พยามที่จะสื่อ สาเหตุเพราะในขณะนั้นข้าพเจ้ายังไม่มีโอกาสได้ศึกษาประวัติของ คุณอัศนี พลจันทร (นามปากกาว่า "นายผี") อย่างถ่องแท้ มาบัดนี้ข้าพเจ้าพอที่จะทราบประวัติของ คุณคุณอัศนี พลจันทร บ้าง เล็กน้อย จึงเริ่มแปลและพอจะที่จะเข้าใจเนื้อหาของอินทรวิเชียรฉันท์บทนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าถูกต้องเพียงใด เพราะนายผี ได้ล่วงลับไปแล้ว ไม่มีโอกาส อรรถาธิบาย วัตถุประสงค์ ในการแต่งฉันท์บทนี้ว่า ต้องการสื่อถึงอะไร การแปลฉันท์ ของนายผีบทนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสดุดีนักรบแห่งประชาชน นั่นก็คือ นายผี หรือสหกายไฟ ไหม้ฟ้า ผู้ประพันธ์เพลง เดือนเพ็ญ ก็เท่านั้น อีกทั้งเป็นการตอกย้ำความคิดมิจฉาทิฐฐิ ที่ว่า คำประพันธ์ที่เคร่งขรึม อยู่บนหอคอยงาช้าง นั้นน่าเบื่อหน่ายไม่น่าศึกษาสำหรับชนรุ่นหลังข้าพเจ้าคิดว่า ความคิดเยี่ยงนั้นเป็นความคิดที่ดูถูก ศักยภาพของ เยาวชนรุ่นหลังเอามากๆทีเดียว เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
|