จงตื่นเถิด..อย่าหากิเลสเพิ่มเลย
อันสังขาร ไม่มี รีรอ มีมาพอ ให้เห็น แค่เศษเสี้ยว
กี่ทางเลี้ยว จะวก หรือคดเคี้ยว บิดบิด เบี้ยวเบี้ยว ดวงวิญญาณ์
ดั่งนี้เหมือน กายดับ สิ้นท่า เหมือนว่า ปลิ้นปล้อน ร้อนตัณหา(ของลูกใช้-ร้อนวิชา)
ไม่มี เหมือนหาย ตลอดกาลมา แก่ชรา ร่ายเวท ก็มิได้
ใช้มันให้ คุ้มค่า ยิ่งนัก ทักถามถึง อมตะ ฤทธิไกร
อิทธิฤทธิ์ มิช่วย มีสิทธิ์ให้ เพราะใจ มีฤทธิ์ ช่างน้อย
คิดจะทำ ความตาย ให้อมตะ อิสรภาพ ไม่ท้อ ถดถอย
ที่มี ไม่มี หรือมี มากน้อย เฝ้าคอย คิดถาม เวียนวน
คิดปล่อยวาง ปล่อยนิ่ง กันเถิด เกิดใหม่ ชาติหน้า อีกหน*
ดวงแก้ว ดวงชีวา ขวางผจญ* วาสนาดล* ก่อเกิด กิเลส
มันไม่มุ่ง ทำร้าย ทำลาย หรือมุ่ง? หรือสลาย? พิเศษ
อาจเศร้า โศกสลด พูนเทวษ* เบิกเนตร เห็นธรรม์ ครรลอง
วันที่ลูกมานอนเฝ้าแม่ผ่าตัด คุณครูให้การบ้านคือเขียนกลอนสี่ หรือ กลอนหก ก็ได้
วันก่อนผ่าและหลังผ่า แม่นอนฟังแผ่นซีดี "ธรรม-ของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช" อยู่เป็นส่วนใหญ่
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ลูกฟังไปด้วย หรือเขาฟังเทศนาธรรม มาบ่อย ๆ จากโรงเรียน จึงเกิดบทกลอนนี้ขึ้น
เขาเขียนของเขาเอง ได้ยาวกว่านี้ จำได้ว่าแปดบท แม่ช่วยตัดออกไปส่วนหนึ่ง
จำนวนคำในแต่ละวรรคนั้น ไม่แน่ไม่นอนประสาเด็ก แต่ที่แน่ ๆ คือเกินสี่คำ และเกินหกคำ
ข้างบนนี้คือ ที่แม่ช่วยดูช่วยปรับคำให้แล้ว(สีน้ำตาล)
มิน่า พ่อเขาดูตื่นเต้นมาก ๆ
บอกว่ามีอะไรให้แปลกใจเล่น ถ้าแข็งแรงดีขึ้น
เมื่อ แม่-ดิฉันน่ะ บรรเทาอาการท้องอืด ตอนนั้นประมาณครบยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังผ่าตัด
คุณพ่อก็ยื่นเศษกระดาษยับยู่ยี่เล็กน้อย ให้แผ่นหนึ่ง แม่ตะลึงเช่นกัน
แม้บางคำมันผิดสัมผัส ตามหลักฉันทลักษณ์ แต่ได้ใจของแม่ค่ะ
โดยเฉพาะ วรรคที่ ดิฉันขีดเส้นใต้ไว้นั้น เป็นของเจ้าตัวเดิม ๆ
แต่งได้อย่างไร แม่ก็..งง ๆ ..เช่นกัน