หน้าหลัก | ข้อมูลสมาคม | บทความ | บทร้อยกรอง | ข่าวสารประชาสัมพันธ์ | กิจกรรม | กระทู้ | หนังสือ | ร้อยกรองออนไลน์ |
ศาสนาพื้นเมือง กับ ศาสนาสากล ในสุวรรณภูมิ | |||
ศาสนาพื้นเมือง กับ ศาสนาสากล ในสุวรรณภูมิ คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม
เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม 2550 ณ ศาลาลานต้นโพธิ์ วัดสระมรกต ตำบลโคกไทย อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเข้ามาของศาสนาต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะดินแดนแถบนี้ แต่ว่ารวมทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือที่เรียกว่าอุษาคเนย์ทั้งหมด เดิมทีเดียวในดินแดนแถบบ้านเรานี้ อุษาคเนย์หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหล่านี้มีศาสนามาก่อนเป็นเวลานานแล้ว ขอเรียกว่าศาสนาพื้นเมือง ศาสนาพื้นเมือง ศาสนาพื้นเมืองประกอบด้วยอะไรบ้าง ขอสรุปหัวใจสำคัญสั้นๆ 3 อย่างด้วยกัน อันแรกก็คือมีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย คือคนเราพอตายแล้ว ไม่ได้หายไปเฉยๆ แต่ว่ามันมีชีวิตที่หลังจากความตาย แล้วยังมีชีวิตอีกชีวิตหนึ่ง ที่สืบต่อมาด้วย เห็นได้ในหลุมฝังศพโบราณทั้งหลาย เช่น เครื่องประดับ, ถ้วยชามรามไห, เครื่องใช้ไม้สอย เป็นต้น ถ้าคนเราคิดว่าคนเราตายแล้วสูญหายไปเลยคงไม่มีใคร ลูกหลานก็ไม่รู้จะเอาถ้วยชามรามไหฝังไปกับศพทำไม แสดงว่ามันต้องมีความเชื่อในชีวิตหลังความตาย อีกอย่างหนึ่งก็คือความเชื่อว่าคนที่ตายแล้วกลายเป็นบรรพบุรุษ แล้วคนที่มีชีวิตอยู่ลูกหลานที่มีชีวิตอยู่ สามารถติดต่อกับบรรพบุรุษได้ ติดต่อโดยผ่านพิธีกรรม ติดต่อผ่านบุคคลอะไรก็แล้วแต่ แต่ติดต่อได้ เป็นการติดต่อที่มีความสำคัญด้วย เพราะความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลของแผ่นดิน ของทุกอย่างมันมาจากการที่วิญญาณบรรพบุรุษได้ให้พลังแห่งชีวิตลงมายังแผ่นดินตลอดเวลา เราพบเรื่องร่องรอยของความเชื่อว่าวิญญาณบรรพบุรุษหรือตัวบรรพบุรุษเองได้ให้พลังแห่งชีวิตลงมายังโลกเราหลายแห่งด้วยกัน ในวรรณคดีโบราณเรื่อง ขุนเจือง เป็นต้น พูดถึงสายสะดือคือฟ้ากับแผ่นดิน มันสืบเนื่องกันต่อกันด้วยสายสะดือ ก็เหมือนกับทารกในครรภ์ถูกเลี้ยงดูจากแม่ผ่านสายสะดือลงไปยังทารก ฟ้าก็เหมือนกับเป็นที่อยู่ของบรรพบุรุษก็ส่งทอดความอุดมสมบูรณ์ลงมายังพื้นโลกด้วยผ่านสายสะดือที่ว่านี้ ในเมืองทางเหนือบางแห่งยังมีจุดที่เรียกว่าสะดือเมืองเป็นที่ซึ่งมีการทำพิธีกรรมในการรับความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ลงมา ไม่ใช่พบเฉพาะพวกไทย-ลาว พบในชนชาติพันธุ์ต่างๆ เยอะแยะไปหมด ในแถบนี้ในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างความอุดมสมบูรณ์กับการประทานให้มาของบรรพบุรุษ อย่างที่สามคือต้องมีพิธีกรรมที่จะต้องติดต่อสื่อสารกับบรรพบุรุษ พิธีกรรมเหล่านั้นอาจจะแสดงออกในด้านดนตรี อาจจะแสดงออกในด้านการร่ายรำ อาจจะแสดงออกมากับเรื่องของการแสดงแบบอื่นๆ เป็นต้นว่า การแสดงหนังชวา คงเคยเห็นว่าหนังชวาเขาจะไม่แกะรูปของตัวละคร เช่น เขานิยมเล่นเรื่องมหาภารตะ ตัวละครที่เล่นในมหาภารตะนั้นหน้าตาจะไม่เหมือนคน แต่หน้าตาจะจมูกยาวบ้าง คอยาวบ้าง คอสั้นบ้าง อะไรต่างๆ นานา แล้วมักมีคำอธิบายว่าเขานับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งห้ามมิให้ทำรูปมนุษย์ก็เลยต้องเปลี่ยนแปลงรูปมนุษย์เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะเขาพบรูปสลักของหนังชวาแบบนี้ในโบราณสถานของเขาก่อนหน้าที่ศาสนาอิสลามเข้าไปยังในอินโดนิเซียด้วยซ้ำไป แสดงว่าตัวหนังเหล่านั้นจริงๆ ก็คือ เงาของบรรพบุรุษนั่นเอง เงาหรือตัวของบรรพบุรุษ ตัววิญญาณของบรรพบุรุษ เราเอากลับมาฟื้นให้กลับมามีชีวิตเพื่อให้ความอุดมสมบูรณ์แก่โลกใหม่ วายัง หรือหนังชวาเหมือนหนังตะลุงบ้านเราเต็มไปด้วยพิธีกรรม การเล่นหนังชวาไม่ใช่ฝึกแล้วจะเล่นเลยเหมือนละครปัจจุบันนี้ มันต้องมีพิธีกรรมอยู่เบื้องหลังการแสดงเยอะมาก ผีบรรพบุรุษ ถ้าเราเชื่อในเรื่องของวิญญาณบรรพบุรุษจะมีข้อสังเกต 2 อย่าง ประการแรกก็คือว่าต้องเป็นลักษณะค่อนข้างจะท้องถิ่น เพราะบรรพบุรุษใครบรรพบุรุษมัน คนทางแถวนี้ท้องถิ่นนี้อาจจะประกอบด้วย 10-20-30 หมู่บ้านอะไรก็แล้วแต่ กับบรรพบุรุษของคนที่อยู่นครศรีธรรมราช จะเป็นอันเดียวกันไม่ได้ เพราะว่ามันอยู่ห่างไกล เพราะฉะนั้นความเชื่อในวิญญาณบรรพบุรุษในตัวมันเองนี่ย่อมจะค่อนข้างจำกัดพื้นที่ ไม่มีลักษณะเป็นสากล ประการที่สองคือที่ถ้าพิธีกรรมในการติดต่อสื่อสารกับบรรพบุรุษเป็นเรื่องของการร่ายรำดนตรีอื่นๆ จะสังเกตเห็นได้ว่า ใครๆ ก็สามารถทำได้แยะมาก ไม่ใช่ใครๆ ทุกคนนะครับ ก็อย่างน้อยต้องเล่นดนตรีเป็น ร่ายรำเป็น แต่คนที่สามารถทำได้จะแยะมาก คือไม่เหมือนกับพราหมณ์ การที่คุณจะเป็นพราหมณ์ได้จะสวดได้ต้องเรียนภาษาสันสกฤต การเรียนร่ายรำ การเล่นดนตรี หรือการแสดงหนังที่ใช้เงาก็แล้วแต่อะไรเหล่านี้ มันสามารถฝึกกันได้ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าไม่น่าจะมีนักบวชเป็นอาชีพ อยู่ๆ คุณเป็นนักบวชอย่างเดียวโดยไม่ต้องทำนา ไม่ต้องไปล่าสัตว์ ไม่ใช่ มันน่าจะเป็นคนที่สามารถจะทำหน้าที่อย่างนี้ได้ ในขณะเดียวกันก็มีอาชีพที่ไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ ในชุมชนมากนัก ถ้าเราไปดูในชีวิตของชาวกะเหรี่ยงในทุกวันนี้ คนที่เป็นหมอผีก็ไม่ได้เป็นหมอผีเฉยๆ แต่เป็นหมอผีด้วย เป็นชาวนาด้วย เป็นอื่นๆ ด้วย แต่เขามีความสามารถในการสวดมนต์อะไรก็แล้วแต่ เขาเลยมีหน้าที่เป็นหมอผีด้วย เพราะฉะนั้นเราจะพบได้ว่าไม่มีกลุ่มคนหรือกลุ่มชนชั้นที่เราเรียกว่าเป็น นักบวช ซึ่งอันนี้สำคัญ เพราะว่าจะพูดถึงข้างหน้าว่าใช้กลุ่มคนที่เป็นนักบวช มันจะเข้ามามีบทบาทในทางการเมืองอย่างไร ซึ่งจะพบได้ว่าจะสอดคล้องกับลักษณะทางการเมืองเดิมของคนที่อยู่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ พูดกว้างๆ ว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีการจัดองค์กรทางสังคมเพียงพอที่จะเก็บกักน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง ป้องกันตนเองได้ในระดับหนึ่งจากการถูกโจมตีโดยโจรโดยกลุ่มชนที่อื่นๆ มีการค้าทางไกลอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นทางบกหรือทางทะเลก็แล้วแต่ ซึ่งสามารถทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในรัฐเดียวกัน สามารถแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แลกเปลี่ยนสินค้าแก่กันได้ ศาสนาสากล ศาสนาใหม่ที่โผล่เข้ามา ขอเรียกว่าศาสนาสากลคือมีลักษณะที่ไม่เหมือนศาสนาพื้นเมือง เพราะมันมีลักษณะเป็นสากลคือสามารถข้ามจากท้องถิ่นหนึ่งไปยังอีกท้องถิ่นหนึ่งได้โดยไม่จำกัดอยู่กับชาติพันธุ์ใด ไม่เกี่ยวกับบรรพบุรุษ ไม่เกี่ยวกับชาติพันธุ์ใด หรือถ้ามันเกี่ยวกับบรรพบุรุษคุณก็ต้องทำให้บรรพบุรุษนั้นกลายเป็นพระเจ้าที่ใครๆ ก็นับถือได้ พระศิวะ ต้นกำเนิดเดิมอาจจะมาจากชาวพื้นเมืองในอินเดีย แต่เวลาเราพูดถึงพระศิวะในปัจจุบันนี้มันหมายถึงเป็นพระเจ้าที่ไม่ใช่แขก ไม่ใช่ฝรั่ง ไม่ใช่จีน ไม่ใช่มอญ ไม่ใช่ไทย อย่างนี้เรียกว่าสากล เป็นพระเจ้าที่มีลักษณะเป็นสากลข้ามชาติพันธุ์ ข้ามวัฒนธรรมและอื่นๆ ได้ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เรารู้จักศาสนาสากลเหล่านั้นก็คือศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาหรือคำสอนของขงจื๊อ คำสอนของลัทธิเต๋า อย่างนี้เป็นต้น ทั้งหมดต่างๆ นี้มีลักษณะเป็นสากล สามารถข้ามชาติพันธุ์ ข้ามวัฒนธรรมได้ทั้งสิ้น จะเห็นได้ว่าลักษณะสากลที่พูดถึงนี้ให้อำนาจผู้นำเพราะว่ามันสามารถผนึกเอาความเชื่อท้องถิ่นบรรพบุรุษของดินแดนแถบนี้ กับบรรพบุรุษของดินแดนแถบนี้มันเป็นคนละบรรพบุรุษกัน สืบเชื้อสายกันมาคนละกลุ่มเครือญาติ แต่ถ้าเกิดพระเจ้าแผ่นดินสามารถทำให้ทั้งสองแห่งนี้ยอมรับว่าบรรพบุรุษที่แท้จริงคือพระวิษณุนั่นเองมันก็หายไป ลักษณะท้องถิ่นมันก็หายไปกลายเป็นว่ามานับถือพระวิษณุร่วมกัน พระวิษณุของดินแดนแถบนี้อาจจะมีหนวด พระวิษณุของดินแดนตรงนี้ไม่มีหนวด ไม่เป็นไรขอให้เป็นวิษณุก็แล้วกัน ลักษณะนี้ก็จะช่วยทำให้ศาสนาสากลเข้ามาในช่วงที่ตัว ที่ผู้ปกครองเองอยากที่จะขยายอำนาจทางการเมือง เพราะมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็รับเอาศาสนาสากลเข้ามานับถือ รัฐเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุเหล่านั้นก็เป็นการเปลี่ยนศาสนามาสู่ศาสนาสากลนั่นเอง สามารถที่จะมีการจัดองค์กรทางสังคมได้ขนาดใหญ่ขึ้น พระเจ้าแผ่นดินสามารถเอาระบบศาสนาของพระองค์เข้ามาครอบระบบความเชื่อของชาวบ้าน คือไม่ได้บังคับให้เปลี่ยนศาสนา เขายังเชื่อผี เชื่อสาง เชื่อกันต่อไปตามเดิมแต่เชื่อในนามใหม่ ชื่อใหม่ อย่างที่พูดถึงว่าเจ้าแม่กลายเป็นพระอุมา ประสานสอดคล้องระหว่างความเชื่อของราชสำนักกับความเชื่อของชาวบ้านเกิดรัฐขึ้นมาได้ ศาสนาสากลเหล่านี้เข้ามาสู่ดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออุษาคเนย์อย่างไร เดิมนักวิชาการคิดว่าเข้ามาทางเดียวคือแขกหรืออินเดียเป็นคนแล่นเรือมาค้าขาย มาสอนศาสนาหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าแขกหรือจีนก็แล้วแต่ จีนก็อาจจะมาขยายอิทธิพลมาเวียดนามก็เลยส่งนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาสอนคนป่าเถื่อนที่อยู่ในเวียดนาม แต่ปัจจุบันเราพบว่าไม่ใช่แล้ว พอเราศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนถอยหลังไปจนถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะเกิดรัฐขึ้น เราพบว่ามันไม่ใช่ คือมันมีการติดต่อสัมพันธ์ทั้ง 2 ทาง คือคนในแถบดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีการส่งเรือไปค้าขายในอินเดีย คนอินเดียก็ส่งเรือมาค้าขายในบ้านเรา มันเป็นการจราจร 2 ทาง ไม่ใช่เป็นการจราจรทางเดียวอีกต่อไป แล้วก็ร่องรอยหลักฐานเกี่ยวกับการที่กษัตริย์บ้าง นักบวชบ้างจากดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เดินทางไปยังอินเดียเยอะแยะไปหมด กษัตริย์ศรีวิชัยถึงขนาดไปสร้างวัดมหึมาในอินเดีย เป็นต้น ก็แสดงให้เห็นว่าเพื่อจะให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตของศรีวิชัยเองเวลาเดินทางไปศึกษาศาสนาในอินเดียจะได้มีที่พักในอินเดียด้วย แสดงว่ามีการเดินทางไปๆ มาๆ ทั้ง 2 ฝั่ง เพราะฉะนั้นก็มีคนชั้นสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนชั้นสูงที่ลงทุนเดินทางไปเรียนเกี่ยวกับศาสนาในอินเดียเยอะแยะ หน้า 34 | |||
ผู้ตั้งกระทู้ ผู้สื่อข่าวบ้านไพร :: วันที่ลงประกาศ 2007-07-27 10:21:45 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (937536) | |
ขอบใจมากเลยครับที่ช่วยบอกน้องค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น น้องจุด วันที่ตอบ 2007-12-29 10:07:17 |
ความคิดเห็นที่ 2 (937537) | |
ขออะภับน้องจุดไม่ค่อยรู้กับคียบอร์ดมากขอแก่ตูอีกซะครั้งได้ไหม | |
ผู้แสดงความคิดเห็น น้องจุด วันที่ตอบ 2007-12-29 10:09:07 |
ความคิดเห็นที่ 3 (937538) | |
หิหิหิหิหิหิหิ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น หิ วันที่ตอบ 2008-01-03 19:03:33 |
ความคิดเห็นที่ 4 (937539) | |
เขียนไม่รู้เรื่องเลยควาย 5555555555555+++
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น เฮ้ วันที่ตอบ 2008-01-13 15:44:06 |
ความคิดเห็นที่ 5 (937540) | |
ทำไมต้องด่ากันด้วย ไม่ได้รับการอบรมที่ดีหรือไง
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ประสงค์ดี วันที่ตอบ 2008-01-20 15:08:45 |
ความคิดเห็นที่ 6 (957592) | |
ทำมัยเน้อหาน้อยจังเลย น่าจะมีรูปภาพบ้าง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น pooh - yoyo วันที่ตอบ 2008-02-14 14:33:12 |
ความคิดเห็นที่ 7 (1788496) | |
เขียนไม่รู้เรื่องเลย............................................................ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น เด็กพร.9 วันที่ตอบ 2008-06-29 19:28:28 |
ความคิดเห็นที่ 8 (1802210) | |
ขอบคุณที่บอกนะค่ะ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น น้องหญิง วันที่ตอบ 2008-07-15 15:49:41 |
ความคิดเห็นที่ 9 (1866959) | |
สะ หวัด ดี | |
ผู้แสดงความคิดเห็น สะ หวัด ดี วันที่ตอบ 2008-11-20 21:19:06 |
ความคิดเห็นที่ 10 (1886769) | |
ดี หวัด สะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น จากใจ วันที่ตอบ 2009-01-12 14:21:48 |
ความคิดเห็นที่ 11 (1886772) | |
กอ มา ดิ กู ก็ สด | |
ผู้แสดงความคิดเห็น จากใจ วันที่ตอบ 2009-01-12 14:26:48 |
ความคิดเห็นที่ 12 (2009559) | |
ขอบคุนค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น เด็กแสนซน วันที่ตอบ 2009-11-24 12:16:24 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 872974 |