หน้าหลัก | ข้อมูลสมาคม | บทความ | บทร้อยกรอง | ข่าวสารประชาสัมพันธ์ | กิจกรรม | กระทู้ | หนังสือ | ร้อยกรองออนไลน์ |
ความเป็นไทย ทำลายความเป็นมนุษย์? | ||
คอลัมน์ สยามประเทศไทย โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ "ความเป็นเลิศทางวิชาการ" คืออุดมคติของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ที่ลอกแบบจากโลกตะวันตกอย่างทื่อมะลื่อ เลยส่งผลให้ "ความเป็นมนุษย์ลดลง" เห็นได้จากพฤติกรรม "เก่งทางวิชาการ แต่โคตรโกง หรือโกงทั้งโคตร" เอาเปรียบเบียดเบียนคนอื่นเพราะ "ไร้จิตสำนึกสาธารณะ" จึงลักขโมยสมบัติสาธารณะไปเป็นของตนดังมีข่าวไม่ขาดสาย การศึกษาไทยเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่ความเป็นมนุษย์ลดลง จนไร้จิตสำนึกสาธารณะ พากันคดโกงออกหน้าออกตา จนเห็นว่าฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นความชอบธรรมตามคติมือใครยาวสาวได้สาวเอา คนแข็งแรงกว่าขาดเมตตาคนอ่อนแอ แล้วโกหกตัวเองและคนอื่น เช่น มีซ่องโสเภณีในนามอาบอบนวด สปา-สปี้ ข้างวัด ข้างโรงเรียน เต็มบ้านเต็มเมือง แล้วทำดัดจริตดีดดิ้นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่อย่างหน้าด้านๆ ว่าไม่มีขายบริการทางเพศ
สังคมที่ทำลายความเป็นมนุษย์อย่างนี้จะหน้าด้านอวด "ความเป็นไทย" ได้หรือ? หรือว่าแท้จริงแล้ว ความเป็นไทยคือเครื่องมือทำลายความเป็นมนุษย์? ความเป็นมนุษย์ควรอยู่เหนือความเป็นไทย เพราะความเป็นไทยเป็นเรื่องสมมุติ แต่ความเป็นมนุษย์เป็นเรื่องจริง (สมดังคติของท่านสิทธิพรว่า เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง) ความเป็นมนุษย์ต้อง "สั่งสม" ไม่ใช่ "สั่งสอน" "ศิลปศาสตร์" หรือ "มนุษยศาสตร์" คือวิชาความรู้พื้นฐานที่สั่งสมให้คนเรียนทุกสาขาวิชามีความเป็นมนุษย์ แต่การศึกษาไทยตัดขาดศิลปศาสตร์-มนุษยศาสตร์ ส่งผลให้ความเป็นเลิศทางวิชาการก็ทำไม่ได้ เพราะมาตรฐานต่ำกว่าเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย, เวียดนาม, ฯลฯ ความเป็นมนุษย์ก็ไม่มี เห็นได้จากทำลายและทำร้ายกันซึ่งหน้าหนักข้อขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน การสั่งสมศิลปศาสตร์หรือมนุษยศาสตร์ให้สังคม เป็นสิ่งอยู่ห่างไกลจากสำนึกของผู้มีอำนาจรัฐ ดูได้จากผู้ครองอำนาจรัฐให้ความสำคัญเศรษฐกิจการเมืองอยู่เหนือสังคมวัฒนธรรม จนความเป็นไทยแวดล้อมด้วย "พื้นที่เลว" เช่น ซ่อง อาบอบนวด ฯลฯ มากกว่า "พื้นที่ดี" เช่น มิวเซียม, ห้องสมุด, ลานดนตรี และกีฬา, ฯลฯ กระทรวงวัฒนธรรม กับกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มีภารกิจเดียวกันเพื่อความเป็นมนุษย์ ถ้าร่วมกันทำหน้าที่เพื่อความเป็นมนุษย์อย่างเอาจริงเอาจังและต่อเนื่อง ก็จะลดปัญหาบัดซบลงได้บ้าง ขอแนะนำให้กระทรวงวัฒนธรรม นำร่องเชิญศิลปินแห่งชาติ อย่างเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็น "แม่กอง" แบ่งปันเผยแพร่ "ศิลปศาสตร์" อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ดังมีตัวอย่างกิจกรรมของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยที่จะไปเมืองพิมาย (นครราชสีมา) และสุรินทร์ เพื่อความรู้ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จนถึงเพลงดนตรีวรรณคดีไทย เช่น ต้นแบบ "กลอนสุนทรภู่" มาจาก "กลอนอ่าน" ตำนานปราสาทพิมาย (พิมพ์ในสุวรรณภูมิสังคมวัฒนธรรมข้างล่างนี้) งานแบ่งปันเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะต้องใช้เวลานาน จะเอาผลในพริบตาไม่ได้ แล้วผู้ทำงานนี้ต้องมีรักและศรัทธาเป็นธงนำถึงจะสำเร็จ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ควรทำหน้าที่เป็นศูนย์สร้างสรรค์กิจกรรมอย่างนี้ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเป็นเบี้ยหัวแตกแหลกเหลวเลอะเทอะ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แล้วพากัน "เมา" หัวทิ่มหัวตำซากโบราณสถานในอยุธยาจนความรู้ฉิบหายหมด มติชน 21 มีนาคม หน้า 21 | ||
ผู้ตั้งกระทู้ ผู้สื่อข่าวบ้านไพร :: วันที่ลงประกาศ 2008-03-27 12:16:31 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1115154) | |
อ่านแล้วนึกให้คิด เคยเห็นและเคยทราบจากคนแม่กลองว่า "วัดป้อมแก้ว" ซึ่งหลายคนอาจจะรู้จักว่าเป็นวัดที่ตั้งเด่นในเมืองแม่กลอง แต่สิ่งที่น่าจดจำกลับอยู่ข้างวัดป้อมแก้วมากกว่าส่วนสาเหตุ..ต้องลองค้นหา | |
ผู้แสดงความคิดเห็น เทาแดง วันที่ตอบ 2008-03-27 16:05:53 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1117303) | |
อ่านแล้วเห็นภาพดีค่ะ การศึกษายุคใหม่ให้อะไรแก่ ผู้เรียน ? นักวิชาการที่เห็นแก่ตัว การศึกษาเชิงพาณิชย์ที่มุ่งเอาเปรียบผู้เรียน ความเป็นเลิศทางวิชาการจะมีคุณค่าตรงไหน ? จิตสาธารณะเป็นเรื่องของคุณธรรมที่ต้องใช้เวลาในการปลูกฝัง เริ่มจากผู้ปกครองที่มีจิตบริการ คิดถึงผู้อื่นมากกว่าคิดถึงตนเอง แต่จะมีผู้ปกครองสักกี่เปอร์เซ็นต์ในวันนี้ที่ชี้นำสังคมได้ ทำให้คิดถึงคำคมที่ว่า "สิบปีปลูกต้นไม้ ร้อยปีเสริมสร้างคุณภาพชีวิต" ขอบคุณค่ะ ที่นำเสนอสิ่งดี ๆ ให้ผู้อ่านได้ฉุกคิด
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ดอกไผ่ วันที่ตอบ 2008-03-27 21:39:19 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 875855 |