หน้าหลัก | ข้อมูลสมาคม | บทความ | บทร้อยกรอง | ข่าวสารประชาสัมพันธ์ | กิจกรรม | กระทู้ | หนังสือ | ร้อยกรองออนไลน์ |
เมืองบนกับบ้านโคกไม้เดนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ยุคทวารวดีเกือบ 1,500 ปีมาแล้ว ที่ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอพ | ||||
เมืองบนกับบ้านโคกไม้เดนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ยุคทวารวดีเกือบ 1,500 ปีมาแล้ว ที่ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม/มติชนรายวัน พฤ.30.เมษา.52
ณ ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ มีหมู่บ้านติดต่อใกล้เคียงกันหนาแน่นหลายหมู่บ้าน เช่น บ้านโคกไม้เดน, บ้านท่าน้ำอ้อย, บ้านหางน้ำบ้านบน, บ้านหางน้ำหนองแขม ฯลฯ ณ บริเวณหมู่บ้านโคกไม้เดน, หางน้ำบ้านบน และท่าน้ำอ้อยนั้น ได้พบโบราณสถานและพบบริเวณคูเมืองเก่าอยู่ใกล้วัดบ้านบน ระหว่างถนนพหลโยธินและวัดพระปรางค์เหลือง เมื่อสอบถามชาวบ้านดู ก็ได้รับบอกไปตามชื่อหมู่บ้านและวัดว่า "เมืองบน" ถ้าเป็นเมืองบน ก็น่าจะมีเมืองล่างเป็นของคู่กัน บังเอิญมีผู้จำคำพังเพยเก่าแก่พูดกันมาติดปากว่า "ฝูงกษัตริย์เมืองบน ฝูงคนลพบุรี..." (จากความจำของ ร.ต.ท.แสง มนวิทูร) ถ้าเมืองลพบุรีเป็นเมืองล่างได้ เมืองที่พบโบราณสถานและคูเมืองนี้ ก็อาจเป็นเมืองบนได้กระมัง แต่ก็มีท่านผู้สูงอายุบางท่านเล่าว่า เดิมบริเวณนี้เป็นอู่เรือสำเภา เรียกกันว่าอู่บน คู่กับ อู่ล่าง คือบ้านอู่ตะเภา ในอำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เพราะเหตุนี้กระมัง ผู้ฟังที่ไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด จึงทึกทักเรียกเสียใหม่ว่า เมืองอุบล โบราณสถานและคูเมืองดังกล่าวนี้ ตั้งอยู่ตรงฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยาและตะวันตกของเทือกภูเขาโคกไม้เดน (ไม้เดน เป็นชื่อของไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง มีขึ้นอยู่ทั่วไปตามภูเขา) ระหว่างกิโลเมตรที่ 307-308 ถนนพหลโยธิน เส้นทางถนนพหลโยธินแล่นผ่านทับคูเมืองชั้นนอกด้านตะวันออกไปบางตอน และมีโบราณสถาน เข้าใจว่าเป็นฐานของพระสถูปเจดีย์อยู่ทางเชิงเขาโคกไม้เดน ด้านตะวันออกและบนยอดเขาปกล้น เท่าที่สำรวจพบแล้วมี 16 แห่ง ต้นเหตุที่จะพบคูเมืองและโบราณสถานแห่งนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อกลางปีที่แล้ว ดร.ควอริตซ์ เวลส์ (H.G. Quaritch Wales) นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ได้มีหนังสือมาถึงข้าพเจ้าว่า จะเข้ามาสำรวจโบราณวัตถุสถานในประเทศทางตะวันออก และจะเข้ามาประเทศไทยในราวปลายเดือนธันวาคม 2506 หรือราวต้นเดือนมกราคม 2507 แล้วดอกเตอร์เวลส์ กับภรรยาก็เดินทางผ่านประเทศมาเลเซีย และเข้ามาเมืองไทยทางปักษ์ใต้เมื่อต้นเดือนมกราคม เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ได้พบกับข้าพเจ้าและขอร้องให้จัดเจ้าหน้าที่พาไปตรวจดูโบราณวัตถุสถานหลายแห่ง เช่น ที่คูบัว จังหวัดราชบุรี อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ และที่ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อปลายเดือนมกราคม 2507 ข้าพเจ้าก็จัดเจ้าหน้าที่และพาหนะให้นำไปทุกแห่งตามประสงค์ ณ ที่ตำบลท่าน้ำอ้อยนั้น ดอกเตอร์เวลส์มีภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งทหารอังกฤษและอเมริกันได้ถ่ายไว้เมื่อครั้งมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 แสดงให้เห็นแผนที่ตั้งเมืองและโบราณสถาน เมื่อดอกเตอร์เวลส์ได้ไปตรวจดูแล้ว ก็ขอขุดค้นที่บริเวณคูเมืองเพื่อพิสูจน์ดู และได้โทรเลขมาขออนุญาตขุดดูที่โบราณสถานริมวัดโคกไม้เดนด้วย
ข้าพเจ้าได้ตอบโทรเลขว่า ยินดีอนุญาตให้ขุดค้นได้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องขุดค้นให้ตลอด จะทิ้งไว้ครึ่งๆ กลางๆ มิได้ และถ้าทุนรอนไม่พอ กรมศิลปากรยินดีช่วยเหลือ ดอกเตอร์เวลส์เดินทางมาครั้งนี้ โดยทุนของสำนักโบราณคดีและประวัติศาสตร์ให้มาสำรวจเพื่อไปแสดงปาฐกถา คงจะไม่มีทุนรอนเพียงพอ และอยู่ไม่ได้นาน จึงมิได้ดำเนินงานขุดค้นตามที่ขออนุญาต ข้าพเจ้าได้ออกปากยืมภาพถ่ายทางอากาศจากดอกเตอร์เวลส์ให้เจ้าหน้าที่คัดลอกไว้ ต่อมาได้ปรึกษากันกับท่านผู้รู้ในกรมศิลปากร ต่างก็อยากให้สำรวจขุดค้นให้เป็นที่เปิดเผย เพื่อประโยชน์เป็นความรู้ก้าวหน้าในทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดีบนผืนแผ่นดินไทย กรมศิลปากรจึงจัดส่งเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากร มีนายบรรจบ เทียมทัด หัวหน้าแผนกขุดแต่งและบูรณะ กองโบราณคดี ในกรมศิลปากรเป็นหัวหน้า ไปสำรวจและดำเนินการขุดแต่ง ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2507 โดยเริ่มขุดแต่งฐานพระสถูปเจดีย์ ข้างวัดโคกไม้เดนเป็นแห่งแรก (ได้ขุดแต่งมาจนถึงเดือนกรกฎาคม 2507 เข้าฤดูฝนก็หยุด และต่อมาได้มอบให้นายระพีศักดิ์ ชัชวาลย์ เป็นหัวหน้าไปดำเนินการขุดแต่งอีกใน พ.ศ.2507 ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2508 จึงงดไว้ก่อน) ข้าพเจ้าพร้อมด้วยหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ และคณะ ได้เดินทางไปตรวจการขุดค้นและพิจารณาศิลปโบราณวัตถุ เมื่อวันที่ 8 และที่ 9 พฤษภาคม 2507 นี้ ปรากฏว่าโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ขุดพบเป็นศิลปแบบสมัยทวารวดี เช่น ที่พบที่จังหวัดนครปฐม, ที่คูบัว จังหวัดราชบุรี, ที่พงตึก จังหวัดกาญจนบุรี และที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี แต่สิ่งของที่ได้พบซึ่งไม่มากนัก ฝีมือไม่ประณีตเท่าของที่พบ ณ สถานที่ดังกล่าวข้างต้น ถึงกระนั้นก็เป็นหลักฐานสำคัญยิ่งในการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีสมัยทวารวดี @@@@@@ เศษตะเกียงดินเผา ขนาดยาว 8 นิ้ว พบที่เมืองบน เป็นตะเกียงแบบโรมัน เช่นพบที่จังหวัดนครปฐม ตะเกียงสำริด พบที่ตำบลพงตึก อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี และตะเกียงดินเผา ที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อเปรียบเทียบกับตะเกียงของชาวโรมัน อายุราว 1,900 ปี ซึ่งขุดพบที่กรุงโรม ประเทศอิตาลีแล้ว ลักษณะเป็นอย่างเดียวกัน อันเป็นหลักฐานส่วนหนึ่งยืนยันจดหมายเหตุของชาวกรีก ชาวโรมันสมัย พ.ศ. 600-700 ซึ่งกล่าวว่าได้มีการคมนาคมติดต่อมายังแว่นแคว้นสุวรรณภูมิ
ศาสตราจารย์ Ch. Picard ได้เขียนบทความเรื่องตะเกียงสำริดซึ่งค้นพบที่ตำบลพงตึก ในประเทศไทย ลงเป็นภาษาฝรั่งเศสตีพิมพ์ในวารสาร Artibus Asiae, Vol. XVIII 2 ซึ่ง มจ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงแปลและเรียบเรียงว่า เรื่องตะเกียงสำริดนี้ ศาสตราจารย์ G.Coed?s เป็นผู้เขียนขึ้นเป็นคนแรก ตีพิมพ์ใน Journal of the Siam Society, Vol.XXI, Pt.2 บทความของศาสตราจารย์ Ch. Picard มีทั้งคล้อยตามและขัดแย้งกับบทความของศาสตราจารย์ G.Coed?s ศาสตราจารย์ Picard กล่าวว่าตะเกียงสำริดที่พงตึกนี้เป็นแบบที่ทำขึ้น ณ เมืองอเล็กซานเดรีย ในประเทศอียิปต์ ในสมัยปโตเลเม คือสมัยที่ชาวกรีกเข้าปกครองประเทศอียิปต์ตั้งแต่ พ.ศ. 220-513 เหตุนั้นตะเกียงนี้คงมีอายุอยู่ก่อนคริสตกาล คือก่อนพุทธศตวรรษที่ 6 เป็นแน่ ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ Picard ได้อ้างถึงภาพสลักรูปหน้าชายชราคือเทพเจ้า Silenus ซึ่งสลักอยู่อยู่บนฝาที่เปิดใส่น้ำมัน หน้านี้มีเถาวัลย์เป็นเครื่องประดับอยู่ข้างบน Silenus เป็นครูผู้เฒ่าของเทพเจ้า Dionysus ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่น ศาสตราจารย์ Picard กล่าวว่า ลัทธิการเคารพบูชา Dionysus นี้แพร่หลายอยู่ในประเทศอียิปต์ ตั้งแต่สมัยปโตเลเมลงมา เหตุนั้นจึงเป็นพยานอีกอย่างหนึ่งว่า ตะเกียงนี้คงจะได้สร้างขึ้นในสมัยนั้น ในตอนนี้ศาสตราจารย์ Picard ได้แสดงความเห็นแตกต่างกับศาสตราจารย์ เซเดส์ ได้กล่าวว่าตะเกียงนี้คงจะใช้จุดในที่ฝังศพ เพราะเหตุว่ารูปปลา Dolphin สองตัวบนด้ามถือนั้น นอกจากจะใช้เป็นเครื่องหมายของเมืองที่อยู่ริมทะเลแล้ว ยังถือกันว่าเป็นพาหนะที่จะนำผู้ที่พระเจ้าประทานความเป็นผู้ไม่ตายให้ไปยังเกาะแห่งความสงบสุขด้วย นอกจากนี้ Silenus เองก็เป็นลูกของแผ่นดิน และเกี่ยวข้องกับกิจพิธีในการศพ ศาสตราจารย์ Picard ยอมรับความหมายของปลา Dolphin แต่กล่าวว่า Silenus นั้นมีชื่อเสียงในการเป็นทหารเอกของ Dionysus ยิ่งกว่า และยังเป็นทหารเอกของ Dionysus ในการยกทัพไปอินเดียด้วย ศาสตราจารย์ Picard กล่าวว่า ถ้าตะเกียงโรมันที่พงตึกนี้ใช้สำหรับแขวนในที่ฝังศพจริง ก็คงจะไม่ได้เป็นสินค้าส่งออกมานอกประเทศ และคงจะไม่ได้พบกันในประเทศไทยเป็นแน่ ต่อจากนั้น ศาสตราจารย์ Picard ได้กล่าวยืนยันถึงการที่ตะเกียงโรมันนี้ได้เดินทางมาจากประเทศอียิปต์ โดยเทียบเคียงกับตะเกียงแบบ Copte ในประเทศอียิปต์ เลขที่ E.II. 685 ในพิพิธภัณฑสถาน Louvre กรุงปารีส ศาสตราจารย์ Picard กล่าวว่า ตะเกียงที่พงตึกนี้คงเก่ากว่าตะเกียง Copte ในพิพิธภัณฑสถาน Louver เพราะด้ามที่ตะเกียง Copte มีลวดลายเป็นรูปพรรณพฤกษามากกว่า ตะเกียงแบบนี้พบกันแพร่หลายทั่วไปในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ศาสตราจารย์ Picard กล่าวว่าในสมัยปโตเลเมนี้ ได้มีการค้าขายอย่างกว้างขวางไปจนถึงประเทศอัฟกานิสถาน และแหลมอินโดจีน เมืองอเล็กซานเดรียในประเทศอียิปต์ ก็ได้มีส่วนสำคัญในการค้าขายสมัยนี้ ศาสตราจารย์ Picard ได้กล่าวย้ำถึงข้อความที่ศาสตราจารย์เซเดส์ได้กล่าวไว้แล้วว่า ภายหลังที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้บุกรุกเข้ามาในประเทศอินเดียราวต้นพุทธศตวรรษที่ 3 แล้วก็เกิดมีการค้าขายทางเรืออย่างกว้างขวางระหว่างเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ประเทศอินเดีย และภาคตะวันออกไกล ท้ายสุด ศาสตราจารย์ Picard กล่าวว่า ที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า เมืองชื่ออเล็กซานดรา ดังที่ปรากฏอยู่ในหนังสือทางพระพุทธศาสนา น่าจะเป็น เมืองอเล็กซาน เดรียในประเทศอียิปต์นั้นก็เป็นของน่าคิดอยู่เหมือนกัน ศาสตราจารย์ Picard กล่าวว่า ตะเกียงสำริดนี้ คงมาในสมัยปโตเลเม (พ.ศ. 220-503) ก่อนหน้าที่จะมีคณะทูตโรมันไปยังประเทศจีนใน พ.ศ. 709 ดังที่ศาสตราจารย์เซเดส์ได้กล่าวไว้ การค้นพบโบราณวัตถุที่เมืองออกแก้วในแหลมโคชินไชน่าและประเทศอินเดียเอง ก็ดูจะสนับสนุนความข้อนี้ I เรียบเรียงโดย บรรจบ เทียมทัด (พ.ศ. 2508) @@@@@@ เดิมทีวัดโคกไม้เดนเป็นสันรวก ซึ่งหลวงพ่อพระครูเงิน วัดพระปรางค์เหลือง ได้นำพระภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา มาธุดงค์ในที่นี้ 7 วัน แล้วจึงเดินทางกลับ ต่อมา พระอาจารย์หุ่น วัดเขาแก้ว กับผู้ใหญ่ยา ปานพรม ผู้ใหญ่บ้านและประชาชนบ้านโคกไม้เดน ได้ร่วมกันสร้างวัดโคกไม้เดนขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือน 12 พ.ศ. 2448 (อยู่ทางทิศตะวันออกของที่ตั้งวัดในปัจจุบัน) รวมอายุวัดโคกไม้เดน ถึง พ.ศ. 2552 นับได้ 104 ปี พ.ศ. 2462 พระปลัดเอี่ยม ได้สร้างเจดีย์บนเขาขึ้นมาองค์หนึ่ง ซึ่งเห็นอยู่บนยอดเขาไม้เดน ต่อมาได้ย้ายที่ตั้งวัดมาตั้งที่ปัจจุบันและเปลี่ยนชื่อเป็นวัดเขาไม้เดน ออกโฉนดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 ปัจจุบันมีพระอธิการธีรศักดิ์ ธีรธมฺโม เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาไม้เดน เก็บรวบรวมโบราณศิลปวัตถุที่พบบริเวณบ้านโคกไม้เดน ซึ่งมีทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ยุคสุวรรณภูมิ ราว 2,000 ปีมาแล้ว กับยุคทวารวดี ราว 1,500 ปีมาแล้วเตรียมจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ที่สร้างอาคาร 2 ชั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ขณะนี้ไม่มีทุนจะจัดแสดงให้เสร็จสมบูรณ์ได้ แล้วเกรงว่าโบราณศิลปวัตถุจะเสื่อมสูญไป จึงขอบอกบุญให้ผู้มีจิตศรัทธาสนับสนุนการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น วัดเขาไม้เดน บ้านโคกไม้เดน ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอพะยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ วัดเขาไม้เดน บ้านโคกไม้เดน ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์0 5626 7379 พระอธิการธีรศักดิ์ ธีรธมฺโม เจ้าอาวาสฯ 08 0116 8523 หน้า 20 | ||||
ผู้ตั้งกระทู้ นายสะพาน ทางเชื่อม :: วันที่ลงประกาศ 2009-04-30 14:35:21 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (4198643) | |
ปัจจุบัน ตะเกียงเจ้าพายุ มีให้เห็นไม่มากนัก ตะเกียงแบบนี้ เกิดปลายปี 2438 เป็นเครื่องใช้สำคัญทุกบ้าน ในช่วง 2473 - 2493 เมื่อผ่านไปมนุษย์หันไปใช้แสงจากหลอดไฟแทน ทำให้ตะเกียงเจ้าพายุเป็นของไร้ค่าและถูกลืมอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัณกลายเป็นโคมไฟตั้งโต๊ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น โคมไฟตั้งโต๊ะ วันที่ตอบ 2017-07-06 14:48:17 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 875613 |