ตลาดวิชาและบางสิ่งที่มองข้าม
คงไม่สายนะครับ ถ้าจะสวัสดีปีใหม่
พบกันสัปดาห์แรกของการรายงานวรรณกรรม มกราคม ๒๕๕๐ จึงย้อนทั้งเรื่องแต่ค้างคาไว้ตั้งแต่เมื่อปลายปี ๒๕๔๙ ที่ยังไม่ได้รายงาน
ขอเล่าเรื่องบรรยากาศค่ำคืนที่ไร่ประคอง***ล ลาดหญ้า กาญจนบุรี เมื่องานกิจกรรม มองเส้นทางวรรณคดี มีประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๓ ๒๔ ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดย สโมสรมิตรภาพวัฒนธรรมสากล โดยการสนับสนุนของ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ที่มี ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ เป็นผู้อำนวยการสำนักฯ
ค่ำคืนนั้นเป็นเสวนารอบกองไฟแบบสบายๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของปลายปี
คืนนั้นมีคุณประสาร มฤคพิทักษ์ เป็นพิธีกร หลังจากรับประทานอาหารค่ำและฟังดนตรีจากวงเครื่องสายวิสุทธรังสีแล้ว จึงเป็นการเสวนาพูดคุยเรื่องรสทางวรรณศิลป์ ซึ่งเป็นเวทีเปิดให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นกันเต็มที่ไม่มีพิธีการใดๆ หลักๆ ที่ร่วมแสดงความคิดได้แก่ เจ้าของสถานที่ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ แล้วมีคณะวิทยากรที่มาจากกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น ผศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์,ทองแถม นาถจำนง,โชคชัย บัณฑิต,จรูญพร ปรปักษ์ประลัย,พิเชฐ แสงทอง,นันทพร ไวศยสุวรรณ รวมทั้ง ขุน รำยอง
ประเด็นอยู่เรื่อง เสภาขุนช้าง ขุนแผน ฉากและสถานที่บริเวณลาดหญ้า เมืองกาญจนบุรี และอีกประเด็นหนึ่งคือเรื่อง ความเปลี่ยนแปลง ของ นายผี อัศนี พลจันทร์
ความเปลี่ยนแปลง ของนายผี นั้นเป็นงานเขียนที่นายผีเขียนขึ้นก่อนจะตัดสินใจเข้าป่าถือว่าเป็น มหากาพย์ เรื่องหนึ่งของวรรณคดีไทยเรื่องหนึ่ง
อนึ่งกวีนิพนธ์เรื่องนี้ นายผี เขียนถึงความเป็นมาประวัติของต้นตระ***ลของนายผี ตั้งแต่ พระยาพล ซึ่งเป็นต้นตระ***ล พลจันทร์ พลกุล ซึ่งเป็นลีลาของ กาพย์
เสน่ห์ของ กาพย์ คือความกระชับ และรัดกุมความหมาย กวีหลายท่านที่เชี่ยวชาญในการอ่านบทกวีตามเวทีม็อบต่างๆ มักจะนำกาพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ยานี ๑๑ หรือว่า ฉบัง ๑๖ มาเป็นหลักในการอ่าน (อันนี้ไม่ได้หมายความเป็นมาตรฐานในการอ่านกวีนิพนธ์) ต่างกับกลอนสุภาพที่นิยมไว้ขับร้อง
ประหนึ่งว่ากวีนิพนธ์ กาพย์ นั้นเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ เห็นได้ชัดจากบทกวี อีศาน ของ นายผี ถูกนำมาใช้ในเวทีเรียกร้องเรื่องความทุกข์ยากของคนแผ่นดินตะวันออกเฉียงเหนือ
ทั้งนี้ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า บทกวีอีศาน ของนายผี นั้น พูดถึงความแห้งแล้วแต่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่นั้นด้วย อีสานจึงไม่ได้แห้งแล้งแต่อย่างเดียว มีห้วยหนองคลองบึงเต็มไปหมด ถ้าหน้าแล้งก็ย่อมจะแห้งแล้งเป็นธรรมดา ไม่ทำไมไม่ไปยามหน้าฝนหรือหน้าหนาวจะเห็นอีสานมีความอุดมสมบูรณ์
ฉะนั้น การต่อสู้ทางภาคประชาชนในการชูประเด็นกวีนิพนธ์ที่สะท้อนถึงความทุกข์ยาก จึงเป็นเงื่อนไขหนึ่ง สภาพภูมิศาสตร์จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำความเข้าหมากทั้งกระดานไม่ใช่มองแต่ด้านเดียว
แต่ต้องอาศัยหลักฐานจากวรรณคดีเพื่ออิงกับโบราณคดีในการทำความเข้าภูมิสังคมวัฒนธรรม เรื่องนี้การศึกษาในตำราเรียนไม่ค่อยให้ความสำคัญ
การที่นายผีเลือกเอากวีนิพนธ์ประเภท กาพย์ เขียนเรื่องความเปลี่ยนแปลง ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวของนายผีเอง แล้วเมื่ออ่านก็สะเทือนถึงอารมณ์ยิ่งนัก เรื่องราวเหล่านี้ถือเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งนอกเหนือไปจาก ประวัติศาสตร์แห่งชาติ ที่มีอยู่ในแบบเรียนตามหลักสูตรที่ใช้กันอยู่
เหตุผลหนึ่งที่ กวีนิพนธ์ร่วมสมัยขาดหายไปคือ ภูมิสังคมวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ ที่มีอยู่จึงเป็นแค่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ แล้วมองข้ามประเด็นทางสังคมประวัติศาสตร์
ถ้าจะกวีแล้งแหล่งสยามเพราะการมองข้ามเรื่องภูมิสังคมประวัติศาสตร์ก็คงไม่น่าแปลกประหลาดอันใดเลย เพราะนั่นคือผลสืบเนื่องจากหนึ่งที่เป็นความล้มเหลวของระบบจากศึกษาในระบบ
ทั้งนี้ ก็ใช้ว่าใครเกิดมาจะรู้จักลีลาการเขียนฉันทลักษณ์ ประกวดกลอนชนะเลิศมาแล้วเป็นสิบทิศจะเข้าถึงได้เป็นกวี อาจเป็นเพียงผู้รู้จักการเขียนกลอนแต่เขียนกลอนไม่เป็นก็ได้
กรณี นายผี ความเป็นกวีของนายผี จึงไม่ใช่อยู่ที่รางวี่รางวัลแต่เป็นผลงาน พี่เสมอ กลิ่นหอม หรือกวีนาม ขุน รำยอง เคยเขียนเป็นบทความจึงคัดมาให้อ่านดูนะครับ ชื่อเรื่องว่า กวีอมตะอยู่ที่ผลงาน ดังนี้
ผลงานของกวี คือ ตัวปัญหา ที่ผูกร้อยปรุงแต่งขึ้นมาด้วยตัวอักษร สอดประสานเป็นเกลียวคลื่นแห่งอารมณ์สุนทรี เป็นดั่งเวทมนต์ขลังสะกดจิตสะกดใจของผู้เสพให้พิศวงอัศจรรย์ดั่งได้ดื่มรสทิพย์ประเทืองปัญญารู้เท่าทันโลก ชีวิต จักรวาล.....
ผลงานของกวี จะเป็นพยานยืนยันในความแตกฉานภายในของกวีแต่ละคน ไม่มีใครลอกเลียนแบบจากใครได้ กวีแต่ละคนย่อม ปรากฏอยู่อย่างดวงตะวัน ลอยเด่นเป็นสง่า ณ ฟากฟ้านภากาศ เป็น ศูนย์กลางแห่งดวงดาว ในระบบสุริยะหนึ่ง ๆ ส่องแสงสว่างเจิดจ้าขับไล่ความมืดให้พ้นไป เพิ่มฟืนไฟความอบอุ่นและร้อนแรงแห่งสำนึกของมวลมนุษย์เพื่อฉุดรั้งไม่ให้ตกนรก.....
ผลงานของกวี คือ ตัวตนกวี ที่แท้จริง
ตัวตนกวีย่อมยืนยงเป็นอมตะตลอดไป
ไม่ขึ้นอยู่กับความชอบหรือความชังของผู้คน.....
อารมณ์ของผู้คนแห่งยุคสมัย เป็นเพียงกระแสแปรเปลี่ยนไปตาม สมัยนิยม หรือ แฟชั่น เป็นไฟไหม้ฟาง วูบ ๆ วาบ ๆ ไม่มีแก่นสารอันใดหลงเหลืออยู่.....
แต่ ตัวตนกวี คือ ตัวปัญญาสากล คือ สุนทรียารมณ์สง่างามข้ามยุคสมัย ฉะนั้น กวีที่แท้ ณ วันนี้ เขาจะกิน จะนั่ง จะยืน จะเดิน จะมี จะเป็น จะเล็ก จะใหญ่ จะอ้วน จะผอม จะทุกข์ จะสุข ฯลฯ อยู่ ณ สถานถิ่นใด .....มิใช่สาระสำคัญ เพราะตัวตนของกวีไม่มี ฟอร์ม เหลืออยู่ ตัวตนของกวีไม่ใช่ซากเปลือกหอยที่กลิ้งเกลือกอยู่ชายหาด ตัวตนของกวีคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งผสมผสานกันเป็นทิวทรรศน์ธรรมชาติเรียงรายอยู่รอบตัว ณ หาดทรายงามยามเช้า สาย บ่าย ค่ำ ฉะนี้แล
ธาตุกวี
กวี เป็นสถานะเป็น ธาตุ แทรกซึมซ่อนเร้นอยู่ใน.....นักคิด นักเขียน ศิลปิน นักการเมือง นักธุรกิจ นักวิทยาศาสตร์ เศรษฐี ยาจก ชาวไร่ ชาวนา กรรมกร ขอทาน คนตาบอด คนหูหนวก.....
ครับ ธาตุกวี มีอยู่ทั้งในศาสดาและซาตาน
มีกวีเอกของโลกยืนเดินนั่งนอนอยู่ตามทางเท้าทั่วไป ณ ถนนชีวิต
ตาดีได้ ตาร้ายเสีย เทอญ
พูดถึงการศึกษานอกระบบในระบบพอดีก็มีงานกิจกรรมที่ต่อเนื่องจากเมืองกาญจนบุรี คือ ตลาดวิชา มหาวิทยาลัยชาวบ้าน ณ สาขา สกายไฮ (ข้างๆ สยามรัฐนี่แหละ) เมื่อวัน ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ เป็นการเสวนาฮาเฮเรื่อง ป้องไพรมิให้ได้วิชา จากเรื่องพระอภัยมณี
เรื่องที่มาของหัวข้อนั้นมาจาก
ซึ่งดนตรีตีค่าไว้ถึงแสน เพราะหวงแหนกำชับไว้ขับขัน
ใช่ประสงค์ตรงทรัพย์สิ่งสุวรรณ จะป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา
ในพระอภัยมณี ของสุนทรภู่ ตรงนี้แหละน่าสนใจถึงประเด็นการศึกษาในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีการเล่าเรียนกันเฉพาะเจ้าขุนมูลนายหรือผู้ดีมีเงิน ชาวบ้านไพร่ไม่สิทธิ์ที่จะเรียนเพราะไม่มีเงิน
เรื่องนี้เป็นประเด็นหนึ่งของการศึกษาที่จำกัดอยู่นะรบบนอกระบบ การจัดตั้งมหาวิทยาลัยชาวบ้าน ตลาดวิชานี้ เป็นการเผยแพร่เรียนรู้โดยระบบการศึกษานอกระบบ
สุนทรภู่ นั้นถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการแสวงหาความรู้ ศึกษาได้จากงานเขียนเรื่องต่างๆ ทั้งพระอภัยมณี หรือ รำพันพิลาป นอกจากนี้ นิราศเรื่องต่างๆ ที่ท่านเขียนขึ้น สามารถนำมาถอดองค์ความรู้ ร่วมกันสั่งสมได้ในรูปแบบ ตลาดวิชา มหาวิทยาลัยชาวบ้าน นี้แหละครับ
อนึ่ง ใครสงสัยเรื่อง มหากวีกระฎุมพี สุนทรภู่ อธิบายโดย ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงษ์ แล้วไม่ได้ไปฟังที่วัดเทพธิดาราม ขณะนี้มี ซีดีจำหน่ายแล้ว (ขายตรง) สามารถสั่งซื้อได้ที่ กองทุนสุนทรภู่ 081-4306730
.................
ขอแสดงความยินดีกับ มุกหอม วงษ์เทศ ที่ได้รางวัล ม.ร.ว.อายุมงคล โสฌกุล ประจำปี ๒๕๔๙ ซึ่งจะมีพิธีมอบในวันอาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๑๖.๐๐ น. ณ วังสวนผักกาด ถ.ศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ๑๗.๑๕ น. ชมสักวาบอกบท นำโดย ประยอม ซองทอง แห่งสโมสรสยามวรรณศิลป์ ประกอบดนตรีไทยคณะดุริยประณีต โดยอาจารย์สุดจิตต์ ดุริยประณีย์ ศิลปินแห่งชาติ
.
มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ขอเรียนเชิญร่วมสัมมนาและเปิดตัวหนังสือ ทหารกับการเมืองในอุษาคเนย์ :ศึกษาเปรียบเทียบกรณีของไทยพม่า อินโดนีเชีย และฟิลิปปินส์ อาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๐ เวลา ๑๒.๓๐ น.- ๑๗..๐๐ น. ณ ห้อง ๒๐๑ ชั้น ๒ คณะศิลปะศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
๑๓.๐๐ น. เปิดงานโดย ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ปาฐกถานำ พม่า โดย ศ.โรเบิร์ต เทเลอร์ ผู้เชียวชาญการเมืองพม่า และอดีต อธิการบดีมหาวิทยาลัยบัคกิ้งแฮม อังกฤษ (กล่าวเป็นภาษาอังกฤษ และมีสรุปความเป็นภาษาไทย และแนะนำหนังสือ รัฐพม่า โดย ผศ. ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ และ ผศ. พรรณงาม เง่าธรรมสาร ภาคบ่ายจึงเป็นการสัมมนาเรื่อง ทหารกับการเมืองในอุษาคเนย์ :ศึกษาเปรียบเทียบกรณีของไทยพม่า อินโดนีเชีย และฟิลิปปินส์ โดย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (ไทย) ดร.วิทยา สุจริตธนารักษ์ (อินโดนีเชีย) ดร.สุรชาติ บำรุงสุข (ไทย) รศ.สีดา สอนศรี (ฟิลิปปินส์) อ.พรพิมล ตรีโชติ (พม่า) พิธีกรประจำวัน อ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ งานฟรีไม่ต้องลงทะเบียนครับ
สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย มีเว็บไซต์ใช้แล้ว มิตรรักนักกลอนสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.thaipoet.net
Post : ซอกแซก
Date : 08-01-2007 17:48:09
IP : 58.9.135.175
หยัดอยู่
เติมสีฟ้าอีกนิดนะทะเล
แล้วจะเห่ลมให้ระลอกคลื่น
หลับอยู่ในความฝันทั้งวันคืน
ฉันอยากชื่นฉ่ำประกายกับสีฟ้า
เติมสีเขียวอีกนิดนะแผ่นดิน
แล้วจะรินฝนล้างฝุ่นหมอกฝ้า
ฉันอยากเห็นความเขียวเติมสายตา
เมื่อยามฉันตื่นมาพบความจริง
ขอฟังเสียงนกหน่อยได้ไหม
มาร้องเพลงแห่งไพรให้สรรพสิ่ง
ท่ามกลางกาลเวลาถูกทอดทิ้ง
ที่ป่าเถื่อนเกลื่อนกลิ้งอยู่รอบกาย
ขอดอกไม้บานหน่อยนะดอกไม้
แล้วจะให้ผีเสื้อมาฟ้อนส่าย
ฉันอยากเห็นสีสันพรรณราย
มาต้อนรับรุ้งสายวสันต์ฤดู
หยุดประเดี๋ยวได้ไหมพายุร้าย
หยุดส่งสายสุนีบาตรมาข่มขู่
กัมปนาทกราดเกรี้ยวอันเกรียวกรู
เพื่อสักครู่เจ้าจะหลั่งซึ่งฝนริน
เติมความรักสักหน่อยนะหัวใจ
เติมความหวังให้ไกลอย่าให้สิ้น
เพื่อหยัดอยู่สู้ท้าเถื่อนธรณิน
เพื่อแผ่นดินจะงดงาม...ด้วยความรัก