พูดถึงวรรณคดีไทยแล้ว ใครๆ ก็ต้องยอมรับว่าทรงความวิเศษ เพราะว่าไพเราะทั้งรสถ้อย,รสความ และสัมผัส เช่น ;-
อันมนุษย์สุดดีที่ลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
หรือ
อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา
หรือ
ดูทองคำน้ำเม็ดเพ็ชรรัตน์ พอรู้ชัดชัดไม่ลำบากยากตาหู
แต่ปัญญานั้นไม่แน่ด้วยแลดู แม้นจะรู้ต้องปรากฏต้องทดลอง
ในบทเข้าพระเข้านางหรืออย่างที่สมัยใหม่เรียก บทรัก นั้นการพรรณนาโวหารธรรมดาอย่างเราๆ ไม่อาจกล่าวให้ลึกซึ้งถึงแก่นได้โดยไม่หยาบคาย, แต่ในวรรณคดีนั้นท่านหลีกไปได้อย่างสะดวก. เช่น;-
เอนอิงพิงประทับลงกับหมอน
สะอื้นอ้อนอ่อนแอบลงแนบหน้า
กระเดือกเสือกดิ้นอยู่ไปมา
เกิดมหาเมฆมืดโพยมบน
ฮือฮืออื้อเสียงพยุพัด
กลิ้งกลัดเกลื่อนกลุ้มชอุ่มฝน
เป็นห่าแรกแตกยับโพยมบน
ไม่ทานทนทั่วกระทั่งทั้งแดนไตร
นี่เป็นเหตุการณ์ของหนุ่มรุ่นและสาวน้อย เมื่อร่วมภิรมย์เป็นครั้งแรก คือพลายแก้วกับนางพิม. พอครั้งที่สอง;
กำเริบราคเสียวกระสันประหวั่นจิตต์
หวุดหวิดวุ่นวายกายกระฉ่อน
พระพายพัดซัดคลื่นในสาคร
กระท้อนกระทบกระทั่งฝั่งกระเทือน
เรือไหหลำแล่นล่องเข้าคลองน้อย
ฝนปรอยฟ้าลั่นสนั่นเลื่อน
ไต้ก๋งหลงบ่ายศีรษะเชือน
เบือนเข้าติดตื้นแตกกับตอ
นี่เป็นรสสวาทจากสาวน้อย คือนางพิม.
ที่นี้ลองมาดูรสสวาทของสาวใหญ่บ้าง คือนางสายทอง
ทำตาปริบปรอยม่อยประวิง
เจ้าพลายอิงเอนทับลงกับเตียง
ค่อยขยับจับเขยื้อนน้อยน้อย
ฝนปรอยฟ้าลั่นสั่นเปรี้ยง
ลมพัดซัดคลื่นสำเภาเอียง
ค่อยหลีกเลี่ยงแล่นเลียบตลิ่งมา
พยุหนักชักใบได้ครึ่งรอก
แต่เกลือกกลอกกลับกลิ้งอยู่หนักหนา
ทอดสมอรอท้ายเป็นหลายครา
เภตราหยุดแล่นเป็นคราวคราว...
นอกจากบรรยายเหตุการณ์แล้ว ท่านก็สรุปเปรียบเทียบไว้อย่างสวย;
สมพาสพิมดุจริมแม่น้ำตื้น
ไม่มีคลื่นแต่ระลอกกระฉอกฉาว...
ระลอกนั้นไม่เป็นไรพอจะประคองเรืออกทะเลไปได้
ปะสายทองดุจต้องพายุว่าว
พอออกอ่าวก็พอจมล่มลงไป
แต่พอเจอพายุเข้า ไปไม่รอด,เรือต้องล่มลงเสียก่อนที่จะออกอ่าว และนี่แหละคือที่มาของคำ ล่มปากอ่าว ที่เราพูดกันอยู่
หรืออย่างตอนที่พระไวยไปลักนางวันทองมาให้พ่อ, นางวันทองไม่ลงใจด้วย ขุนแผนก็ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งจนสำเร็จกิจไปข้างเดียวโดยนางวันทองมิได้เสียหาย, ก็ว่าไว้ให้เห็นอย่างไม่มีกระดางลาง ;-
ว่าพลางเคลียเคล้าเข้าแนบข้าง
จูบพลางทางกอดประโลมขวัญ
ก่ายกอดสอดเกี่ยวพัลวัน
วันทองกั้นกีดไว้ไม่ตามใจ
พลิกผลักชักชวนให้ชื่นชิด
เบือนบิดแบ่งรักหาร่วมไม่
สยดสยองพองเสียวแสยงใจ
พระพายพัดมาลัยตระหลบลอย
แมลงภู่เคล้าไม้ในไพรชัด
ไม่เบิกบานก้านกลัดเกสรสร้อย
บันดาลคงคาทิพย์กะปริบกะปรอย
พรมพร้อยท้องฟ้านภาลัย
อสุนีครื้นครั่นสนั่นก้อง
น้ำฟ้าหาต้องดอกไม้ไม่
กระเซ็นรอบขอบสระสมุทไท
หวิวใจแล้วก็หลับกับเตียงนอน
สิ่งเหล่านี้นักวรรณคดีมือใหม่ๆ อาจจะชื่นชมแล้วหยิบยกเอาไปประดับไว้ในข้อเขียนของตนเพื่อให้ข้อเขียนของตนคมขำ,เพริศแพร้ว,ทรงคุณค่าขึ้น. แต่สำหรับนักวรรณคดีที่คร่ำหวอดแล้วออกจะรู้สึกอึดอัด.
เพราะอะไร
เพราะวรรณคดีมิได้ให้แต่ความเอมโอชอย่างเดียว แต่ยังเป็นจดหมายเหตุอีกส่วนหนึ่ง. อย่างเช่นอาจารย์สตรีท่านหนึ่งซึ่งเมื่อคราวประชุมซิมโปเซียมที่คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ ท่านได้เสนอผลงานค้นคว้าเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเชิงศรีปราชญ์ไม่ได้แต่งกำศรวล หรือกำศรวลไม่ใช่ศรีปราชญ์แต่งอะไรทำนองนี้.หนักฐานข้อหนึ่งที่ท่านอ้างก็คือ โคลงกำศรวลบทที่ ๙ ที่ว่า :-
ยามพลบเสียงกึกก้อง กาหล
เสียงแฉ่งเสียงสาวทรอ ข่าวชู้
อยุธยายิ่งเมืองทล มาโนช ***เอย
แตรตระหลบข่าวรู้ ข่าวยาม.
ท่านอ้างว่า แตร นี้มีมาก่อนศรีปราชญ์ ก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์แล้ว, ฉะนั้นจะเป็นศรีปราชญ์แต่งไม่ได้.
อันวรรณคดีไทยนั้น บรรดานักเลงหนังสือเราก็ย่อมทราบแล้วว่าต้นฉบับเดิมเป็นตัวเขียน, เขียนลงในสมุดข่อย. และแต่ละเรื่องก็มิได้มีเล่มเดียว. และแต่ละเล่ม ถ้อยคำและอักขรวิธีก็มิได้ตรงกัน.ทั้งนี้ก็เป็นเพราะการคัด-ลอก ซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจของเสมือนผู้ลอก. และในการพิมพ์ในเวลาเมื่อจะพิมพ์ก็หยิบเอามาแต่เล่มใดเล่มหนึ่งมาพิมพ์.จึงแน่ใจได้หรือว่าถูกต้อง.
และโดยเฉพาะเรื่องนี้ (กำศรวล) กรมศิลปากร โดยคุณธนิต อยู่โพธิ์ ได้ชำระจากต้นฉบับตัวเขียน ๙ ฉบับ ซึ่งพิมพ์ออกมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้ความออกมา (เฉพาะบาทที่ ๔) ว่า เขตรตระหลบข่าวรู้ ข่าวยาม. อย่างนี้แล้วจะอิงได้อย่างไร
นี้ข้อที่ ๑
ข้อที่ ๒ อักขรวิธีของไทยเราแต่สมัยสุโขทัยมามีวรรณยุกต์แค่ไม้เอก,ไม้โท,ไม้ตรี,ไม้จัตวา,ไม่มี. นี่เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปในบรรดานักอักษรศาสตร์ เพราะมีโคลงในหนังสือจินดามณีอันเป็นตำราซึ่งแต่งเมื่อครั้งสมเด็จพระนารายณ์บอกไว้:-
สมุห์เสมียนเรียนรอบรู้ วิสัญ ชะนีนา
พินธุ์เอกพินธุ์โททัณฑ- ฆาตคู้
ฝนทองอีกฟองมัน นฤคหิต
แปดสิ่งนี้ใครรู้ จึ่งให้เป็นเสมียน
วิสัญชนี, ไม้เอก,ไม้โท,ทัณฑฆาต,ไม้ไต่คู้,ฝนทอง,ฟองมัน,นฤคหิต,รวมเป็น ๘.ไม่มีมีไม้ตรี ,ไม้จัตวา.
แต่ว่าในหนังสือสมุทรโฆษคำฉันท์ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันก็มีความว่า :-
นกกรอดลอดตับคาเคียง ช่างเหล็กเต๊กเสียง
กระวานกระแวนแกลนกลัว
โอะโอ๋มาทนทุกข์ทำงาน เพราะว่าพรากพธูสมร
จะเห็นว่ามีทั้งไม้ตรีและไม้จัตวา. อย่างนี้แล้วจะเชื่อไหน.
ข้อที่ ๓ ในบรรดานักโหราศาสตร์ย่อมทราบกันอยู่ทั่วไปว่าดาว เคราะห์แต่เดิมมีเพียง ๘ ดวง คือ อาทิตย์,จันทร์,อังคาร,พุธ,พฤหัส,ศุกร์,เสาร์,ราหู. รวมเรียกอัฐเคราะห์ ดังปรากฏในตำราชั้นโกสินทร์ นี่เอง, แต่ในหนังสือไตรภูมิพระร่วงอันเป็นหนังสือในสมัยสุโขทัยกลับกล่าวว่า:-
เท่าแต่พระอาทิตย์พระจันทร์กับแลดาว ๖ ดวงคือดาวอังคารและพระพุทธ, พระพฤหัสบดี,พระศุกร,พระเสาร์,พระเกตุ,อันเป็นนพเคราะห์ หากรู้คลาดกันไส้ไปในทักษิณวรรตนั้น.
ในนี้ของท่านมีพระเข้าแล้ว,แต่ราหูหายไปเพราะลอกตก,คำนพเคราะห์บอกอยู่.
อย่างนี้แล้วจะเชื่อใคร.
ในไตรภูมินั้นมีคำวิปลาสเป็นอันมาก. แต่คำที่ถูกๆ ต้องๆ ยังอ่านกันไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่แล้ว ยังไปวิปลาสเสียอีก แล้วจะเข้าใจได้อย่างไร. หนังสือมีไว้ไม่อ่านมีไว้ทำไม. ความรู้อยู่ในตู้สมุดมีประโยชน์อะไร.
เมื่อสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านได้แต่งตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่งในสำนักนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้ชำระเอกสารและประวัติศาสตร์ ในความมุ่งหมายนั้นก็มีวรรณคดีอยู่ด้วย. แต่ผลงานที่มีออกมาก็มีแต่ประวัติศาสตร์,กรรมการชำระเอกสารก็กลายเป็นกรรมการจัดพิมพ์เอกสารไป,ผลงานที่ปรากฏออกมาก็มีแต่จดหมายเหตุ
เมื่อไหร่หนอเราจะได้วรรณคดีที่บริสุทธิ์พอจะอ้างอิงได้ถนัดสักที.
หอสมุดแห่งชาติเองก็ได้เคยจัดสัมมนาศิลาจารึกมาแล้วถึง ๒ หลัก. จะเอาวรรณคดีที่มีแง่งงเหล่านี้ไปต่อหางแถวเข้าบ้างจะไม่ได้เชียวหรือ.
(คัดจาก ภาษาใหม่ เขียนโดย ภาษิต จิตรภาษา.สำนักพิมพ์มติชน.พิมพ์ครั้งที่ ๑ กุมภาพันธุ์ ๒๕๔๘)