จากปากแพรกถึงท่าดินแดง
ทองแถม นาถจำนง เรียบเรียง
ปัจจุบันเราเดินทางตามถนนคอนกรีตหรือถนนลาดยาง กันจนลืมเส้นทางการเดินทางในสมัยโบราณไปหมดแล้ว การศึกษาเส้นทางการเดินทางของคนรุ่นก่อน ๆ ย้อนหลังไปจากประวัติศาสตร์ยุคใกล้ กลับไปสู่ยุคเก่าขึ้นเรื่อย ๆ หากย้อนไปได้มากขึ้นเท่าไร ประโยชน์ที่เราจะทำความเข้าใจเรื่องราวในอดีตของบรรพชนสยาม ก็ยิ่งจะมีมากขึ้น บทความนี้เป็นความพยายามเพิ่มเติมข้อมูลในเรื่องเหล่านี้ไว้เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่จะมีสติปัญญาทำได้
ตัวเมืองกาญจนบุรีปัจจุบันนั้น เดิมคือบ้านปากแพรก เป็นจุดที่แม่น้ำสองสบ ได้แก่ แม่น้ำแควใหญ่(ลำน้ำศรีสวัสดิ์)และแม่น้ำแควน้อย(ลำน้ำไทรโยค) มาบรรจบรวมกันเป็นแม่น้ำแม่กลอง
ตรงระหว่างแม่น้ำมาบรรจบกันนี้ ในสมัยก่อนเป็นหัวแหลมใหญ่ มีหาดทรายด้านหลังเป็นฉากทิวเขาใหญ่สลับซับซ้อนดูสวยงามมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า
๐ ลำน้ำสามแยกยั้ง เรือเรา
ชมฝั่งทั้งลำเนา หมู่ไม้
สลอนสลับซับซ้อนเขา เขียวชอุ่ม
แลเล่ห์นฤมิตให้ ติดต้องหทัย ๐
ความงามของลำน้ำไทรโยคนั้น เป็นความงามอย่างประหลาด มีความละเมียดละไม สองฝั่งและบนฝั่งมีต้นไม้นานาพรรณขึ้นเขียวชอุ่ม มีภุเขาขนาดเขื่องอยู่สองฝั่งลำน้ำ บางแห่งยื่นลงไปในแม่น้ำมีหน้าผาสูงชัน บางแห่งงุ้มมาทางลำน้ำ มีถ้ำรูปพรรณต่าง ๆ ตลิ่งทั้งสองข้างมีก้อนหิน แผ่นหิน แลสลับซับซ้อน เป็นหลืบเป็นคูหา มีน้ำพุ น้ำตก เป็นระยะ ๆ ในท้องน้ำอันใสมีแก่งหินและเรี่ยวเป็นตอน ๆ เป็นความงามที่เป็นไปอย่างมีจังหวะจังโคน คืองามจากธรรมดา จะค่อย ๆ เพิ่มความงามขึ้นทีละน้อย ๆ จนถึงงามสุดพรรณนาได้ แล้วก็ลดลงสู่ความงามปกติ สลับกันไป มีอย่างโน้นนิด อย่างนี้หน่อย ทำให้ดูงามดีไม่เบื่อตา ดังที่พระบาทมสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ฯ ทรงรับสั่งว่า เมืองกาญจนบุรีสนุกนัก ขึ้นไปทางแม่น้ำแควน้อย ยิ่งไปยิ่งสนุกขึ้นทุกที (ดูหนังสือ เสด็จประพาสไทรโยค โรงพิมพ์คุรุสภา พ.ศ ๒๕๐๔ หน้า ๑๕๗) นอกจากนั้นยังจะมีสัตว์ป่านานาชนิดออกมาปรากฏให้เห็นอยู่บ่อย ๆ เป็นที่ตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ได้ไปชมอย่างยิ่ง ดังที่กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงนิพนธ์ไว้ว่า
๐ หมู่ลิงโลดแล่นเลี้ยว ไล่กัน
ลูกกอดอกผายผัน สู่ไม้
บ้างโน้มเหนี่ยวเถาวัลย์ โหนจับ ไม้แฮ
เรือหลีกหาดเข้าใกล้ โดดเร้นป่าสูญ ๐
๐ โคกม้าจับหาดจ้อง จิกปลา
ยืนอยู่แต่เอกา คู่ไร้
เรามาเพื่อนมีมา เยาะนก เล่นแฮ
นกนึกอายเราไผล้ หลีกหน้าเลยหนี ๐
จากหน้าเมืองไปก็จะถึงหมู่เขาน้ำตก เป็นที่ตั้งกองผสมสัตว์และทำหญ้าแห้งของทหารบก หมู่เขานี้มีถ้ำที่สวยงามอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่า ถ้ำมังกรทอง ( จากหนังสือ ที่ระลึกในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฏรและถวายผ้าพระกฐิน ณ จังหวัด กาญจนบุรี ๒๖ ตุลาคม ๒๕๐๖ )
ถ้าอ่านจาก เพลงยาวนิราศรบพม่าท่าดินแดง พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ พระองค์ทรงบรรยายภาพหลังจากออกจากปากแพรก ไว้ดังนี้
๐ ครั้นได้ศุภวารเวลา
ให้ยกขึ้นตามทางไทรโยคสถาน
ทั้งบกเรือล้วนทหารอาสา
จะสังหารอริราชพาลา
อันสถิตอยู่ยังท่าดินแดง
ย่ำรุ่งสี่บาทอรุณแสง
จึงให้ยกพหลรณแรง
ล้วนกำแหงหาญเหี้ยมสงครามครัน
ไปโดยพยุหบาตรรัถยา
พลนาวาตามไปเป็นหลั่นหลั่น
สะพรึบพร้อมหน้าหลังดั้งกัน
โห่สนั่นสะเทือนท้องนทีธาร ๐
จากนั้นก็จับเนื้อความถึง แก่งหลวง ไม่ได้กล่าวถึง ถ้ำมังกรทอง เข้าใจว่า ถ้ำมังกรทอง เป็นสถานที่ซึ่งมาเป็นที่นิยมเที่ยวกันภายหลัง
วัดถ้ำมังกรทอง สร้างเมื่อ พ.ส ๒๔๔๗ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ อยู่ในตำบลบ้านแหลม อำเภอเมืองกาญจนบุรี ในหมู่เขาน้ำตก ห่างจากแม่น้ำแควน้อยเข้าไปประมาณ ๓ กิโลเมตร ที่ไหล่เขาสูงจากพื้นดินขึ้นไปประมาณ ๑๐๐ เมตร ทางขึ้นมีบันไดก่ออิฐถือปูนประมาณ ๙๐ ขั้น สองข้างทำเป็นรูปมังกรชูศรีษะ เมื่อขึ้นไปข้างบนมรีศาลาและกุฏิสงฆ์ปลูกไว้ตามไหล่เขา มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเรียกว่า ถ้ำมังกรทอง มีหินก้อนใหญ่ตรงปากถ้ำ ทำเป็นรูปหน้าสิงโตขนาดใหญ่ติดกับแท่งหินซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ภายในถ้ำมีซอกหินสลับซับซ้อน
จากแถบถ้ำมังกรทอง ก็ไปถึง บ้านยายญวณ ฝั่งตะวันออกของแควน้อยเป็นทุ่งนาคราช ในท้องทุ่งสมัยก่อนโน้นเต็มไปด้วยเม็ดกรวดกลม ๆ ขนาดเล็ก มีสีคล้ายสีเหล็ก จากนั้นต่อไปก็ถึงแก่งหลวง ซึ่งในพระราชนิพนธ์ ร.๑ มีว่า
๐รีบเร่งพลพายให้เร่งพาย ฝืนสายชลเชี่ยวฉ่าฉาน
ถึงตำแหน่งแก่งหลวงศิลาดาล ชลธารไหลเชี่ยวเป็นเกลียวมา
แต่จำเพาะเพราะเตราะตรอกซอกทาง แก่งเกาะขัดขวางอยู่หนักหนา
แสนลำบากยากใจที่ไคลคลา ใครจะเห็นเวทนาบรรดามี ๐
จากนั้นอีกสองวันกองทัพสยามไปรบพม่าท่าดินแดงจึงเดินทางถึงวังยาง
ที่แก่งหลวงนี้ ร.๕ ทรงโปรดมาก ทรงพระราชนิพนธ์ อุปเปนทรฉันท์ ๑๑ บรรยายแก่งหลวง ไว้ว่า
๐ ลุแหล่ง ณ แก่งหลวง ก็ระลวงระลุงลาญ
ละน้องนิราสถาน จะสนุกสนานใด
อุทกกระทบผา ดุจมากระทบใน
อุรา บ ราไหล ประทะกับประทุกแด
จะชมนทีธาร ก็ บ บานกระมลแล
จะนึกสนุกแปร จิตรเศร้า บ โดยจง ๐
ต่อจากแก่งหลวง ผ่าน แก่งน้อย ท่ากระบือ วังอ้ายหมู ท่าเสา ท่าเสด็จ จระเข้เผือก ถึง วังหมึกซึ่ง ร.๕ ทรงประทับแรมคราวเสด็จประพาสไทรโยค ที่วังหมึกนี้ ขึ้นฝั่งตะวันออกเดินทางไปไม่ไกลนักก็จะถึงปราสาทเมืองสิงห์
ตามลำน้ำแควน้อยต่อไปก็จะถึง ท่าตะกั่ว พุท้องช้าง
แต่ในเพลงยาวนิราศรบพม่าท่าดินแดน ร.๑ พระองค์ทรงเขียนว่า จากแก่งหลวงเดินทางสองวันถึง วังยาง แล้วถึง บางลาน จากนั้นถึงตรงที่มี
จึงรีบเร่งนาวาคลาไคล มาถึงไศลชลธีศีขรินทร์
สูงสง่าตรงโตรกโดดเดี่ยว อยู่ริมสายชลเชี่ยวกระแสสินธุ์
พรายแพร้วดังแก้วแกมนิล ปักษิณบินร้องระงมไพร ๐
แล้วก็ถึง ปากน้ำแห่งหนึ่ง มีศาลเทพารักษ์ประจำท่า
ต่อมา ร.๑ เดินทาง ถึง วังนางตะเคียน แล้วผ่านอีกหลายตำบลจนถึง เขาท้องไอยรารมย์ ในช่วงนี้ ความงดงามของสองฝั่งแควน้อยคือแมกไม้ ขอให้ลองเทียบเคียงคำบรรยายของ ร.๑ ในฉากการเดินทางจาก วังนางตะเคียน ถึง เขาท้องไอยรารมย์(หรือพุท้องช้าง) กับคำบรรยายของ ร.๕ จาก ท่าตะกั่วถึงพุท้องช้าง ดังนี้
๐ ครั้นมาถึงวังนางตะเคียน พิสเพี้ยนกิ่งไม้ใบหนา
คั่งเคียงเรียงเรียบริมชลา สาขารื่นร่มสำรายใจ
ต้นไม้เปลาเปลาอยู่สล้าง เหมือนไม้กระถางวางเรียงงามไสว
ชมพลางพลางรีบนาวาไป บรรลุมาได้หลายตำบล ๐
(เพลงยาวนิราศรบพม่าท่าดินแดง)
๐ แม่น้ำน้อยตอนนี้งามดีมาก ทั้งสองฟากเป็นเนินเทือกเทินผา
แม่น้ำไปในระหว่างบรรพตา ต้นพฤกษาเรียงกันเป็นหลั่นลด
ชายวารีมีต้นตะไคร้น้ำ ขึ้นประจำรายทางสองข้างหมด
ถัดขึ้นไปแถวไผ่ไม้ตะพด เห็นปรากฏเหมือนอย่างชั้นคั่นบันได
ที่ชั้นสูงฝูงทุมาพฤกษาชาติ เดียรดาษยางยูงสูงไสว
เห็นตลอดลำต้นจนข้างใน สูงขึ้นไปช้อนสลับลำดับกัน
ถัดไม้ใหญ่ไปแล้วจึงถึงตัวเขา ล้วนต่างเค้าต่างทีมีแผกผัน
บ้างเป็นเพิ้งเวิ้งผาบ้างน่าชัน ต้นไม้นั้นโกร๋นแห้งด้วยแรงร้อน
ไม่ปกคลุมหุ้มน่าศิลาเด่น แต่ใช่เช่นโกรนโกร๋นโกนฤาถอน
เหมือนไม้คัดจัดลำเนาเขาละคร เข้าข้างหลังซับซ้อนจนสุดตา ๐
(พระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ ๕)
พอมาถึง พุท้องช้าง ตรงนี้มีสิ่งมหัสจรรย์หลายสิ่ง ดูจากสภาพสมัย ร.๑ แล้วลองเปรียบเทียบดูกับสภาพปัจจุบันนี้เถิดว่า ชาติไทยได้สูญเสียอะไรไปมากมายอย่างไร
๐ มาทางพลางแสนคะนึงหา นัยนาแลลับไพรสณฑ์
ยิ่งแดดาลร่านร้อนทุรนทน จนลุดลเขาท้องไอยรารมย์
เป็นช่องชั้นเชิงผาศิลาลาด รุกขชาติรื่นรวยสวยสม
ไพจิตรพิศพรรณอยู่น่าชม ลมพัดพากลิ่นสุมาลย์มา
มีท่อธารน้ำพุดุดั้น ตลอดลั่นไหลลงแต่ยอดผา
เป็นโปลงปล่องช่องชั้นบรรพตา เซ็นซ่าดังสายสุหร่ายริน
บ้างเป็นท่อแถวทางหว่างบรรพต เลี้ยวลดไหลมาไม่รู้สิ้น
น้ำใสไหลซอกศิขรินทร์ แสนถวิลถึงสวาดิไม่คลาดคลา
เกษมสุขสรงสนานสำราญเริง บันเทิงจิตพิศวงหรรษา
ชะลอได้ก็ใคร่ชะลอมา ให้เป็นที่ผาสุกทุกนางใน ๐
(เพลงยาวนิราศรบพม่าท่าดินแดง)
ความตรงที่พระราชนิพนธ์ไว้ว่า ท่อธารน้ำพุดุดั้น นั้น มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ไว้โดยกรมโลหิจ (พ.ศ ๒๕๐๕) ว่า เป็นเรื่องของน้ำใต้ดิน ที่อยู่ในระดับสูงทำให้มีแรงกด เมื่อใดมีช่องว่างจะปรากฏตัวออกมาได้ น้ำที่ถูกแรงกดนั้นจะพุออกมาทางรู ถ้ารูเล็กแรงกดสูง น้ำก็จะพุดุดั้น ถ้าแรงกดต่ำ น้ำก็จะซึมเป็นน้ำซึมออกมา
มีอีกความหนึ่งที่น่าสังเกตคือ ชะลอได้ก็ใคร่ชะลอมา ให้เป็นที่ผาสุกทุกนางใน ธารน้ำตกและป่าเขาธรรมชาติยกมาตั้งในวังหลวงไม่ได้ แต่ภายในพระราชวังก็มีเขามอที่ช่างตกแต่งขึ้นเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงวิจารณ์ไว้ในเรื่อง เสด็จประพาสไทรโยคว่า นายช่างที่ทำเขามอเหล่านั้น น่าจะได้เคยมาเห็นสภาพจริงที่แควน้อย
ลำธารน้ำพุดุดั้นที่ ร.๑ ทรงประทับพระทัยมากนั้น ปรากฏว่า ร.๒ ก็ทรงประทับพระทัยมากเช่นกัน ดังพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา ตอนประพาสป่าตอนหนึ่ง บทกลอนบรรยายสภาพธรรมชาติของแควน้อยช่วงนี้นั่นเอง
ร.๒ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า
๐ ครั้นถึงจึงลงในท้องธาร สรงสนานน้ำพุที่เงื้อมผา
ย้อยหยัดดังสหัสธารา ไหลออกจากศิลาซ่าเซ็น
พร้อย ๆ ต้องกายดังสายฝน เมื่อไรนฤมลจะมาเห็น
จะแสนสุขทุกวันไม่วายเว้น ลงเล่นชลธารสำราญใจ
ไหนจะชมคณามัจฉาชาติ ล้วนประหลาดว่ายคล่ำในน้ำใส
แล้วจะเก็บกรวดแก้วแววไว จะเที่ยวไปประพาสหาดทรายทอง ๐
จากพุท้องช้าง เดินทางต่อไปถึง แก่งละว้า เขาน้ำโจน(ไทรโยค) ตัวแก่งละว้า และเขาน้ำโจน(น้ำตกไทรโยค)นั้น ร.๕ ทรงบรรยายไว้ในพระราชนิพนธ์เสด็จประพาสไทรโยค แต่ในพระราชนิพนธ์รบพม่าท่าดินแดง ตัดความกล่าวถึงไทรโยคเลย
๐ ชมเขาลำเนาพนาวาส แสนสวาดิไม่วายถวิลหา
ถึงไทรโยคปลายแดนนัครา มิให้หยุดโยธาเร่งคลาไคล
แต่เห็นทางท่าชลานั้น เป็นเกาะแก่งขัดขั้นล้วนเนินไศล
ยากที่นาวีจะหลีกไป จึงรับสั่งให้รอรั้งยั้งนาวา
เร่งรีบคชสารอัสดร บทจรตามแถวแนวพฤกษา
ชมพรรณมิ่งไม้นานา บ้างทรงผลปนผกาเขียวขจี ๐
กองทัพสยามเดินบกไปตั้งทัพตามเชิงเขาที่ ด่านท่าขนุน สมัยนั้นเป็นหนึ่งในเจ็ด หัวเมืองมอญในพื้นที่กาญจนบุรี ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอทองผาภูมิ
จากนั้นเข้าโจมตีค่ายพม่า โดย ร.๑ นำทัพหลวงเข้าโจมตีค่ายหลวงของพม่าที่ท่าดินแดงส่วนกรมพระราชวังบวรฯ ทรงนำทัพเข้าตีค่ายทัพหน้าของพม่าที่สามสบ(ดูแผนที่) รบกันอยู่สามวัน กองทัพพม่าแตกพ่ายยับเยิน และนับแต่นั้นมา พม่าก็อ่อนเปลี้ยลงเรื่อย ๆ
น่าเสียดายที่ปัจจุบัน ท่าดินแดง จมอยู่ใต้น้ำเสียแล้ว เราจึงไม่อาจมองเห็นสมรภูมิสำคัญได้อีกต่อไป สิ่งที่จะมองเห็นได้ก็มีแต่จินตนาการจากการอ่านวรรณคดีเรื่อง เพลงยาวนิราศรบพม่าที่ท่าดินแดงเท่านั้น