มรดกภาษา / โชติช่วง นาดอน
กลอนบทละคร
กล่าวถึง กลอนนิทาน กลอนอ่าน ยุคกรุงศรีอยุธยาไปแล้ว โดยยกกลอนจากเรื่อง เวตาลปกรณัมมาประกอบ อาจจะสั้นไปหน่อย เอาไว้เมื่อรวมพิมพ์เป็นเล่มจะได้อ่านสำนวนกลอนดี ๆ ให้จุใจ
วันนี้เล่าถึงเรื่องกลอนบทละครสักเล็กน้อย
กลอนบทละครมีมาแล้วตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา แต่จะมีบทละครจบเรื่องครบถ้วนอย่างที่มาแต่งกันในยุครัตนโกสินทร์หรือไม่ ก็ตัดสินยาก เพราะต้นฉบับสูญหายไปครั้งกรุงแตก
แต่หลักฐานมียืนยันได้ว่า มีการแต่งเป็น บทร้อง และก็น่าจะร้องเล่น(แสดงละคร)กันทั้งคืนเป็นเวลาหลายคืน
และถ้าเรื่องละครต่าง ๆ เหล่านั้นไม่มีครบจบเรื่องสมบูรณ์ ก็คงจะไม่มีแบบแผนมาให้ยุครัตนโกสินทร์สืบสานแต่งเพิ่มเติมขึ้นอีกมากมายหลายเรื่อง
กลอนร้องหรือกลอนบทละครที่มีหลักฐานยืนยันว่ามีแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาคือเรื่อง อิเหนา หรือ ดาหลัง (อิเหนาใหญ่)
ปุณโณวาทคำฉันท์ แต่งโดยมหานาค วัดท่าทราย สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ตอนที่บรยายถึงมหรสพสมโภชงานนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี มีความตอนหนึ่งว่า
๐ ร้องเรื่องระเด่นโดย บุษบาตุนาหงัน
พักพาคูหาบรร - พตร่วมฤดีโลม ๐
นี่เป็นเรื่อง อิเหนาเล็ก เพราะเรื่องดาหลังหรืออิเหนาใหญ่นั้นไม่มีฉากบุษบาถูกลักตัวไปไว้ในถ้ำ
ในเรื่องพระราชนิพนธ์อิเหนา (รัชกาลที่ ๑) มีความตอนหนึ่งว่า
๐อันอิเหนาเอามาทำเป็นคำร้อง สำหรับงานการฉลองกองกุศล
ครั้งกรุงเก่าเจ้าสตรีเธอนิพนธ์ แต่เรื่องต้นตกหายพลัดพรายไป ๐
เจ้าสตรีที่แต่งเรื่องอิเหนาและดาหลังในสมัยอยุธยาคือ เจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎ พระราชธิดาของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ดูจากคำกลอนข้างต้น ก็น่าจะคิดว่า เรื่องอิเหนาและดาหลังที่ทรงแต่งไว้นั้นเป็นบทละคร และต้องแพร่หลายเป็นที่นิยมมาก จนเมื่อรัชกาลที่ ๑ ทรงฟื้นฟูด้านอักษรศาสตร์ จึงทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องดาหลัง และรัชกาลที่ ๒ ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอิเหนา
เรื่องนี้ยังไม่จบครับ ติดตามสัปดาห์หน้า
มรดกภาษา / โชติช่วง นาดอน
กลอนบทละคร (๒)
สำหรับกลอนบทละคร ได้ยกเรื่องบทละครเรื่อง ดาหลัง และเรื่อง อิเหนา พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ เป็นตัวอย่าง ทั้งสองเรื่องเป็นสำนวนการประพันธ์ที่คล้ายคลึงกัน เพราะมีร่องรอยชัดเจน เช่น ตอนที่ท้าวกุเรปันให้สี่โหรทำนายความฝันของมะเดหวี (กำเนิดระเด่นมนตรี)
ในบทละครเรื่องอิเหนา (ร.๑) ว่า
ร่าย
๐ บัดนั้น ทั้งสี่พระโหราได้ฟังสาร
ก้มเกล้าเคารพกราบกราน ในยามอัฐกาลนี้ดีนัก
ปฤกษาเห็นพร้อมกันทั่งสี่ จึงทูลคดีพระทรงศักดิ
พระสุบินนี้ใหญ่หลวงนัก เป็นหลักในแว่นแคว้นแดนไตร ๐
ในบทละครเรื่องดาหลัง (ร.๑) ว่า
๐ บัดนั้น ทั้งสี่โหรามหาศาล
ได้ฟังบัญชาพระภูบาล กราบกรานแล้วพิเคราะห์ซึ่งนิมิต
เห็นพร้อมกันสิ้นทั้งสี่ มีความชื่นชมภิรมย์จิต
จึงกราบทูลพระทรงฤทธิ์ พระอย่าได้คิดสงกา ๐
อ่านกลอนบทละคร ดาหลัง อิเหนา หรือ รามเกียรติ พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ ได้รสกลอนบทละครยุคอยุธยาแน่แท้เทียว เพราะรัชกาลที่ ๑ ท่านคือคนยุคอยุธยานั่นเอง
ปัญหาที่จะคิดต่อหรือค้นต่อไปได้จุดหนึ่งคือ ในเรื่องดาหลังและอิเหนา ของรัชกาลที่ ๑ นี้ มีสำนวนเก่าของเจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎ พระราชธิดาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศปนอยู่หรือเปล่า
กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร (พระยศเมื่อ พ.ศ 2499) ทรงนิพนธ์ไว้ในคำนำหนังสือบทละคร ดาหลัง พิมพ์พระราชทานในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยิกาเจ้า ตอนหนึ่งว่า
ในเวลาที่ไทยเราตั้งหลักฐานขึ้นใหม่ในกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ได้ทรงพระราชนิพนธ์ทั้งอิเหนาใหญ่อิเหนาเล็กขึ้น ควรเชื่อได้ว่าทั้งสองเรื่องนั้น สำนวนเดิมเคยมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เพราะการฟื้นฟูวรรณคดีก็ดี ราชการงานเมืองก็ดี เป็นการฟื้นฟูตามแบบกรุงศรีอยุธยาทั้งนั้น ท่านไม่น่าจะมีเวลาคิดแต่งดาหลังขึ้นใหม่แน่ ต่อมาถึงรัชกาลที่สอง ได้ทรงพระราชนิพนธ์อิเหนา(เล็ก)ขึ้นใหม่อีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่าเป็นชิ้นวิเศษทางกวีนิพนธ์ มีชื่อเสียงโด่งดังแพร่หลายมาตลอดจนบัดนี้ และเป็นแบบฉบับสำหรับเรื่องอิเหนาสำนวนอื่นเลียนตามอีกมากด้วยกัน
มรดกภาษา / โชติช่วง นาดอน
กลอนบทละคร (๓)
ที่ผมคิดเขียนคอลัมน์นี้ขึ้นมา เจตนาก็อยากจะค้นหา กลอนยุคอยุธยา และกลอนก่อนยุคสุนทรภู่ มาเผยแพร่ ให้ได้เห็นกันกว้างขวางขึ้น เพราะสำนวนกลอนอยุธยานั้น ปัจจุบันหาอ่านยากมาก ไม่มีใครคิดพิมพ์ขายกันอีก ( ก็ผมนี่แหละ จะพิมพ์อีก แม้จะขาดทุนเหมือนเล่ม กลอนนิทานเวตาลก็ตาม)
เรื่องกลอนบทละครอยุธยา ยังมีเรื่องเล่าอีกยาวครับ ตอนก่อน ๆ ผมคิดว่าท่านผู้อ่านคงอ่านรสกลอนไม่เต็มที่ ฉบับนี้จะลงให้จุใจเลย เป็นกลอนชมเมืองจากบทละครเรื่องอิเหนา สมัยอยุธยา (คัดจากหนังสือ ตำนานอิเหนา โดย สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) นอกจากอยากให้สนใจลีลากลอนแล้ว บทนี้ยังแสดงภาพกรุงศรีอยุธยาในยุครุ่งเรืองด้วยนะครับ
ร่าย
๐ สนามชัยทรายทองในพารา แลลิ่วสุดตาไม่สุดที่
ราบรื่นดังหน้าเภรี เป็นที่ประลองศิลปะศัตรา
ประลองรถคชสารชาญชัย ประลองอาชาไนยแกล้วกล้า
ประลองทวยหาญโยธา ซ้องหัดอัตราให้ชำนาญ
อันฝูงทหารชาญชัย ไม่มีผู้ใดจะต่อต้าน
เข้าไหนไม่มีต้านทาน ลือสะเทื้อนสะท้านทุกพารา
ชมตลาด
๐อันถนนหนทางตะพานพาด ล้วนดาษด้วยเงินยวงเลขา
ตึกร้านรวดริมรัถยา ศิลาทองเล็งแลงประดับปน
จักรวรรดิลิ่วลอยพระเวหา รจนาด้วยสุวรรณไม่หมองหม่น
ป้อมปืนยืนเยี่ยมอยู่กลางชล ล้วนถกลโคมเพชรอลงการ์
อันตึกดินรางแลงศิลาสลับ ระยาบยับสอดสีล้วนมีค่า
พรายเพริดเลิศทรงอลงการ์ ด้วยมหาเนาวรัตนอัมพน
อันลูกค้าวาณิชทุกภาษา มาพึ่งขัณฑเสมาทุกแห่งหน
คับคั่งทั้งภูมิมณฑล ประชาชนชื่นบานสำราญใจ
บ้างเล่นฆ้องกลองลองเพลงรบ เจนจบครบการทหารใหญ่
ล้วนชำนิชำนาญการชิงชัย ตกแต่งเอาใจไม่เว้นคน
บ้างเล่นยอเง็ดและฟ้อนขับ แซ่ศัพท์พาทย์พิณทุกแห่งหน
บ้างเล่นสัปประและไก่ชน ครั้นเวลาเข้าสนธยา
ดาหลังวายังแล้วชูเชิด ฉลุฉลักลายเลิศเลขา
บ้างขับโต้ตอบกันไปมา บ้างเล่นเสภามโหรี
ฝูงหญิงบรรจงเกศเกล้า ผัดผ่องพักตร์เผ้าสดศรี
นุ่งจวนชวาตานี ใส่เสื้อสอดสีจับตา
ห่มสไบบางสีต่างกัน น้ำหอมปลอมคันธบุหงา
อวลอบตระหลบอยู่อัตรา ทั้งรูปโฉมโสภาไม่เว้นคน
ออกเที่ยวดูงานสำราญใจ เนืองแน่นกันในแถวถนน
เป็นเหล่าเหล่าล้วนสุมทุมคน เบียดเสียดสับสนกันไปมา ๐
(สะกดการันต์ตามต้นเดิม)
มรดกภาษา / โชติช่วง นาดอน
กลอนบทละคร (๔)
สัปดาห์นี้ขอเผยแพร่ กลอนยุคอยุธยา อีกสักบท เป็นบทชมเมืองในบทละครเรื่องอิเหนา ถ้าสังเกตเทียบกับพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ ๒ จะเห็นว่าพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์เทียบความตามบทละครครั้งกรุงเก่าที่นำมาพิมพ์ไว้นี้
๐ พรหมพักตร์สิงหาสน์อาสน์โถง ท้องพระโรงแปดด้านทิศา
พระฉายใหญ่ตั้งมั่นเป็นชั้นมา อัจกลับดมรารายเวียน
ม่านทองกรองดวงแมงทับพราย เป็นนารายณ์ทรงสุบรรณนาคสามเศียร
จงกลพู่กลิ่นดูแนบเนียน สุจหนี่ปูเลี่ยนละลานตา
อันวิสูตรรูดวงบนแท่นแก้ว ยี่ภู่แผ้วหอมตระหลบด้วยบุหงา
พฤกษาดัดล้วนสุวรรณอลงการ์ ฤดูดอกจินดาวิลาวัณย์
ครั้นวายุพัดระบัดต้อง เสนาะก้องบรรเลงเพลงสวรรค์
พระลานรื่นวิเชียรเรียบสลับกัน เกยแก้วเกยสุวรรณเรืองราม
พระคลังทองสิบสองหลั่นตั้งซ้ายขวา ทิมดาบมุกดาแปดด้าน
ที่นั่งเย็นล้วนแก้วเก้าประการ เรือนสนมพนักงานดาษดา
อันวิมานปรเมศร์สุราฤทธิ์ ก็สถิตทั้งแปดทิศา
ทั้งโรงม้าโรงรถคชา อลงกตรจนาเป็นพ้นคิด
หางหงส์ช่อฟ้าปราลี ช้างแก้วมณีไพจิตร
สินธพชาติอาจองทรงฤทธิ์ สำหรับองค์จักรกฤษณ์อันเชี่ยวชาญ
...................................................
อันที่นั่งทรงปืนทั้งซ้ายขวา เป็นสง่าเอกเอี่ยมเหี้ยมหาญ
เกยสรงมุรธาภิเษกชาญ โรงอาลักษณ์เรียงขนานเป็นหลั่นมา
อันที่พราหมณ์ชีอันวิเศษ ได้สวดพุทธเวทคาถา
เขนยทองเรียงรันเป็นชั้นมา สำหรับองค์พระมหามุนี
อันตึกโหราพฤฒามาตย์ ราชครูเรียงรันกันตามที่
ที่นั่งลอยพรอยเลิศรูจี สำหรับที่โปรยสุวรรณทำทาน
หอกลองแก้วเจ็ดสีมณีวรรณ เป็นหลั่นเรียงอยู่กลางราชฐาน
เรือรบรายรอบประจำงาน จะคอยราญไพรีให้วายชนม์
ทุกด้านเตรียมการรายเรียง ให้พร้อมเพรียงตรวจจัดไว้สับสน
บัวสุวรรณบังแก้วเป็นวังวน เครื่องต้นเกิดกับสำหรับเมือง
อันต้นกัลปพฤกษ์ทั้งแปดทิศ ก็เป็นสิทธิ์ระบือลือเลื่อง
อร่ามรายพรายพุ่งรุ่งเรือง ทั้งสี่เมืองวิไลละลานตา
อันโรงเล่นการมหรสพ ก็ถ้วนครบทุกสิ่งล้วนเลขา
สุราฤทธิ์บรรจงอลงการ์ รจนาเลิศโลกวิไลวรรณ
อันกรุงกุเรปันนัคเรศ ภายนอกพระนิเวศน์เขตขัณฑ์ ๐
กลอนบรรยายพระราชวังกรุงกุเรปัน ในบทละครอิเหนาครั้งกรุงเก่าข้างต้นนี้ ภาพที่บรรยายแท้จริงแล้วก็คือพระราชวังสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง เนื้อความตอนนี้จึงมีความหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้วยครับ
การอ่านวรรณคดีนั้น เราจะได้ทั้งความไพเราะชื่นใจของภาษา และความรู้ทางประวัติศาสตร์ สังคมวิทยาด้วย เป็นต้นว่า ภาพพระราชวังข้างต้น และกิจกรคมของชาวอยุธยาที่เล่าไว้ในบทละครบางฉาก
มรดกภาษา /โชติช่วง นาดอน
มีปัญหามาก สืบเนื่องจากคำว่า ขอม
ฯพณฯพลเอกเปรม ติณสูรานนท์ ให้สัมภาษณ์นายคอลัม เมอร์ฟีย์ (Colum Murphey) บรรณาธิการรักษาการนิตยสารฟาร์อีสเทอร์น อีคอนอมิค รีวิว (เวบไซด์) เมื่อวันที่ 19 กันยายน ศกนี้ มีข้อความตอนหนึ่งเมื่อท่านกล่าวถึงประเทศไทยว่า
My country is about 800 years old , and we run the country as a kingdom.
ปัญหาน่าคิดอยู่ที่วรรคแรกคือ ประเทศของข้าพเจ้ามีมาประมาณ 800 ปีแล้ว
นั่นหมายถึงอาณาจักรแรกของไทยก็คือสุโขทัย คนไทยเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จะเข้าใจทำนองนี้
เพราะแบบเรียนของกระทรวงศึกษาสั่งสอนคนไทยมาแบบนี้
ดูรายการทางโทรทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็จะเริ่มต้นด้วยอาณาจักรสุโขทัยเสมอไป
เมื่อเอาเพียงเรื่องเมืองสุโขทัยเป็นจุดตั้งต้นของอาณาจักรสยามเสียแล้ว ประวัติศาสตร์ชาติไทยจึงมีอายุเพียงประมาณ 800 ปีเท่านั้น
ก่อนหน้านั้น คนไทยยังไม่มีบ้านเมืองหรืออาณาจักร
พ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางท่าว ปราบขอมสบาดลำโพงสำเร็จ แล้วจึงมีอาณาจักรสุโขทัย (ว่าตามตำราประวัติศาสตร์ทางราชการ)
คำว่า ขอม ตรงนี้คำเดียว ทำให้ดินแดนไทยภาคกลางตอนบน และภาคกลาง กลายเป็นเมืองขึ้นของขอมไปหมด
แล้วคนส่วนใหญ่ก็มองเห็นเพียงว่า ขอมหมายถึงเขมร
เรื่องที่คนไทยเป็นเมืองขึ้นของขอม ก็เลยถูกโยงไปเป็น คนไทยเป็นเมืองขึ้นของเขมรด้วย นักเขียนประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสยุคอาณานิคม เขาเขียนให้คนทั่วโลกเข้าใจแบบนั้น แล้วคนไทยก็เชื่อฝรั่งเขา จนประวัติศาสตร์ของชาติเรากลายเป็นว่า คนไทยมาแย่งดินแดนจากคนมอญและเขมร
จะแก้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ช่วงนี้กันได้อย่างไร
ผมเห็นว่า หากทำความเข้าใจกับคำว่า ขอม ให้ถูกต้อง ก็จะช่วยเปิดความคิดให้มองประวัติศาสตร์ได้กว้างขึ้น ลึกขึ้น
อย่าคิดเห็นคับแคบว่า ขอม หมายถึง เขมร เท่านั้น คำ ขอม ยังมีความหมายมากกว่านั้น ในคอลัมน์เล็ก ๆ นี้อธิบายกันไม่สำเร็จหรอกครับ เพียงแต่ขอแนะนำให้อ่านหนังสือเรื่อง ข้อเท็จจริงว่าด้วย ชนชาติขอม เขียนโดย จิตร ภูมิศักดิ์ ดูอย่างละเอียดเสียก่อนที่จะถกเถียงเรื่องนี้กับใคร
มรดกภาษา / โชติช่วง นาดอน
ต้นเค้าฉากลาวัดในรำพันพิลาป
ที่จริงแล้วผมมิได้ตั้งใจจะเขียนคอลัมน์นี้ติด ๆ กันอย่างนี้ เพียงแต่สัปดาห์นี้มีเหตุจำเป็น เนื่องจากในวันพรุ่งนี้ พุธที่ 23 สิงหาคม จะมีการเสวนาเรื่อง ลีลากลอนสุนทรภู่มาจากไหน วิทยากรคือ คุณทิพวัลย์ บุญวีระ คุณบุญเตือน ศรีวรพจน์ และผม โดยมีคุณวัธนะ บุญจะ เป็นผู้ดำเนินรายการ งานเริ่มตั้งแต่ 15.00 น. มีดนตรีปี่พาทย์ศิษย์เรืองนนท์ บรรเลงก่อนและหลังเสวนา ที่ระเบียงโบสถ์วัดเทพธิดาราม
เป็นงานที่หลายฝ่ายช่วยกันจัดขึ้นทุกวันพระใหญ่ในช่วงเข้าพรรษานี้ครับ
จุดมุ่งหมายเพื่อฟื้นชีวิตความผูกพันระหว่างวัดกับชุมชน และเผยแพร่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับสุนทรภู่ ซึ่งเคยบวชจำพรรษาที่วัดเทพธิดารามแห่งนี้
หลายท่านคงยังจำวรรณคดีเรื่องรำพันพิลาปได้ วรรณคดีเรื่องนี้ในสายตาของผมแล้วเป็นงานชิ้นเยี่ยมยอดของสุนทรภู่ กวีเอกของโลกทั้งโลกตะวันออกและโลกตะวันตกมีวรรณคดีลักษณะแนวเดินเรื่องทำนองอย่างรำพันพิลาป เช่นชวีหยวนหรือคุง้วนมหากวีจีนผู้เป็นต้นเค้าตำนานขนมจ้าง ดังเตมหากวีของอิตาลี
ในเรื่องรำพันพิลาปมีฉากบรรยายอารมณ์ของกวียามเมื่อต้องลาจากวัดเทพธิดาราม ผมขอคัดมาเป็นตัวอย่างนิดเดียว
โอ้ยามนี้ปีขาลสงสารวัด เคยโสมนัสในอารามสามวสา
สิ้นกุศลผลบุญการุณา จะอำลาเลยลับไปนับนาน
เคยเดินเล่นเย็นลมเลียบชมรอบ ริมแขวงขอบเขตที่เจดียฐาน
พระปรางค์มีสี่ทิศพิสดาร โบสถ์วิหารการเปรียญล้วนเขียนทอง
..........................................
เห็นทับทิมริมกระฎีดอกยี่โถ สะอื้นโอ้อาลัยจิตใจหาย
เห็นต้นชาหน้ากระไดใจเสียดาย เคยแก้อายหลายครั้งประทังตน
ฉากนี้กินใจมากนะครับ แต่อย่างไรก็ตาม มีวรรณคดีเรื่องหนึ่งเขียนในรัชกาลพระเจ้าตากสินมหาราช ชื่อเรื่องปาจิตตกุมารกลอนอ่าน เนื้อเรื่องคือตำนานของเมืองพิมาย ตัวเอกของเรื่องคือนางอรพิม และพระปาจิตตกุมาร มีฉากหนึ่งซึ่งอรพิมจะอำลาจากวัด ฉากนี้บรยายคล้ายคลึงกับเรื่องรำพันพิลาปมาก
แต่เรื่องปาจิตตกุมารกลอนอ่านนี้เขียนตั้งแต่ก่อนสุนทรภู่เกิด นั่นหมายถึงวรณคดีเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อลีลากวีของสุนทรภู่
พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก / โชติช่วง นาดอน
วัฒนธรรม
เคยอ่านพบคนหนุ่มจีนแผ่นดินใหญ่เขียนบทความลงใน Time บ่นทำนองว่า อะไรคือวัฒนธรรมจีน วัฒนธรรมจีนมีอัตลักษณ์อย่างไร
น่าคิดว่า จีนแผ่นดินใหญ่ก็เผชิญกับวิกฤติด้านวัฒนธรรมเหมือนกัน
สังคมไทยมิใช่มีแต่วิกฤติการเมืองเท่านั้น แต่มีวิกฤติวัฒนธรรมด้วย และหากมองให้ลึก ๆ แล้ว ปัญหาวิกฤติการเมืองอาจจะเป็นผลต่อเนื่องจากวิกฤติวัฒนธรรมก็เป็นได้
บ้านเมืองไทยกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับ ค่านิยม
มาตรฐานวัดความถูก-ผิด ดี-เลว มันเปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ ตาม ค่านิยมที่ถูกทำให้เปลี่ยนไป
ผมใช้คำว่า ถูกทำให้เปลี่ยนไป
วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง มีพลวัต คือไม่หยุดนิ่ง สังคมสุวรรรภูมิ(แหลมทองบ้านเรานี่แหละ)มีวัฒนธรรมแบบหนึ่งซึ่งน่าจะใกล้ชิดกับวัฒนธรรมในดินแดนภาคใต้ของจีน(ซึ่งไม่ใช่วัฒนธรรมฮั่นหรือจีน) ต่อมามีความสัมพันธ์ติดต่อกับจีน(ฮั่น)และชมพูทวีป วัฒนธรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก คติพราหมณ์ พุทธมหายาน พุทธหินยาน มีอิทธิพลทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมเปลี่ยนไปมาก
ถ้าเราเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมของสยาม หลังจากยุคล่าอาณานิคมมาจนถึงยุคโลกาภิวัตน์นี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ชนิดที่บลางคนบอกว่าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงละก็ สถานการณ์ทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว เมื่อชาวสยามในสุวรรณภูมิรับวัฒนธรรมชมพูทวีปเข้ามา ครั้งนั้นเราถูกทำให้เป็นอินเดีย Indianization ส่วนคราวนี้จะเรียกว่าอะไรดี น่าจะเรียกว่า Americanization นะ
ความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมนั้นเป็นเรื่องใหญ่ มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงวิธีคิด แบบวิถีชีวิต ฯลฯ แต่สำหรับในประวัติศาสตร์ของคนไทยแล้ว เราเป็นฝ่ายรับและเปลี่ยนตามอิทธิพลอื่น เราแทบจะไม่มีอะไรเป็น ต้นแบบไปส่งอิทธิพลให้สังคมประเทศอื่นเขารับแบบอย่างวัฒนธรรมของเราไปเลย
จีนเขายังอวดตัวได้ว่า เป็นแหล่งวัฒนธรรมใหญ่ของเอเชียตะวันออก วัฒนธรรมเกาหลีและญี่ปุ่น ได้รับอิทธิพลถ่ายทอดไปจากจีน ปรัชญา ชีวทรรศน์ โลกทรรศน์ ก็ได้รับอิทธิพลถ่ายทอดไปจากจีน เช่น ปรัชญาขงจื๊อ ปรัชญาเต๋า ศาสนาพุทธมหายาน หรือแม้กระทั่งเรื่อง นิกายเซนในญี่ปุ่น ก็รับต่อไปจากจีน
ประเทศไทยมี กระทรวงวัฒนธรรม เป็นกระทรวงใหญ่กระทรวงหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าจะมีประเทศไหนในโลกบ้าง ที่จัดตั้งกระทรวงวัฒนธรรมขึ้น
ตามความเห็นของผม วัฒนธรรม ก็คือ เรื่องวิถีชีวิตของคนนั่นเอง ผู้คนในสังคมเขาทำอะไรกันบ้าง ตั้งแต่เกิดจนตาย ในวันหนึ่ง ในรอบปีหนึ่ง เรื่องที่ทำ ๆ กันนั้นก็คือวัฒนธรรมทั้งนั้น ภาษาการพูดจา ทั้งราชาศัพท์และคำหยาบ ถ้ามันเกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตจริง มันก็เป็นวัฒนธรรม จะตัดเอาคำหยาบออกไป บอกว่าการพูดคำหยาบไม่ใช่วัฒนธรรม ก็จะเป็นการ ตัดตอนคือมองเห็นวัฒนธรรมด้านเดียว
ข้อผิดพลาดนี้ เป็นจุดที่ทางราชการไทย และวงวิชาการไทย หลงยึดติดกันมาก คืออะไรที่เป็นด้านไม่ดี จะมองว่ามันไม่ใช่วัฒนธรรม เรื่องวัฒนธรรมต้องคือเรื่องดี เป็นสิ่งที่เจริญงอกงามเท่านั้น ลองดูคำอธิบายในกฎหมายไทยสิครับ
พ.ร.บ.วัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ 2485 เขียนว่า วัฒนธรรมหมายถึงลักษณะที่แสดงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบ ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติและศีลธรรมอันดีงามของประชาชน
หนังสือแนวทางในการรักษาส่งเสริมและพัฒนาวัฒนธรรม พ.ศ 2535 ให้ความหมายวัฒนธรรมว่า หมายถึง ความเจริญงอกงาม ซึ่งเป็นผลจากระบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสังคม และมนุษย์กับธรรมชาติ จำแนกเป็น 3 ด้าน คือ จิตใจ สังคม และวัตถุ มีการสั่งสมและสืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่ง จนกลายเป็นแบบแผนที่สามารถเรียนรู้และก่อให้เกิดผลิตกรรมและผลิตผล ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม อันควรค่าแก่การวิจัย อนุรักษ์ ฟื้นฟู ถ่ายทอด เสริมสร้างเอตทัคคะ และแลกเปลี่ยน เพื่อสร้างดุลยภาพแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สังคม และธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอย่างมีสุข สันติสุข และอิสรภาพ อันเป็นพื้นฐานแห่งอารยธรรมของมนุษยชาติ
ความเห็นต่าง ๆ ข้างต้นนั้นคือคำอธิบายสำหรับ วัฒนธรรมด้านดี
แต่ค่านิยมหรือประเพณีที่ถูกมอง(ในกาละ เทศะ และอัตวิสัยที่ต่าง ๆ กัน)ว่าไม่ดี ก็เป็นวัฒนธรรมเหมือนกัน เราจะไม่คำนึงถึงมันได้อย่างไร
คำว่า วัฒนธรรมนี้ สังคมไทยรับเอาศัพท์มาจากฝรั่งว่า Culture อันมีรากศัพท์จากภาษาละตินว่า Cultura มีความหมายว่าการเพาะปลูกหรือการปลูกฝัง ขยายความว่ามนุษย์เป็นผู้ปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยให้เกิดความเจริญงอกงาม ก็เลยมักจะติดยึดกับคำว่า เจริญงอกงาม
ผมชอบคำอธิบายเก่าแก่ของ E.B Tylor ที่อธิบายไว้ในหนังสือวัฒนธรรมดึกดำบรรพ์ (ค.ศ 1871)มากกว่า เขาไม่ได้กำหนดเรื่องดี-เลว มาเป็นกรอบของวัฒนธรรม เขาบอกว่า
วัฒนธรรม เป็นองค์รวมที่สลับซับซ้อน ประกอบด้วย ความรู้ ความเชื่อ ศิลปะ ศีลธรรม กฎหมาย ลัทธิธรรมเนียมประเพณีคติชน ตลอดจนความสามารถและความเคยชินที่มนุษยชาติในสังคมได้รับมา
ถึงตอนนี้ในโลกนี้ มีคำอธิบายความหมายของคำว่า วัฒนธรรม มากกว่าพันแบบ
และก็อาจจะมีที่เมืองไทยนี้เท่านั้น ที่กำหนดกรอบไว้ว่า วัฒนธรรมคือสิ่งที่ดีเท่านั้น
ถ้าจะมองกันแคบ ๆ อย่างนั้นแล้ว เราจะมองความเคยชินหรือค่านิยมซึ่งไม่ค่อยดีนักแบบ ตามสบายคือไทยแท้ ว่าเป็น วัฒนธรรมไทย ที่ต้องอนุรักษ์กันหรือเปล่าเล่า
มรดกภาษา / โชติช่วง นาดอน
สำนวนกลอน วังหน้า พระยาเสือ
มรดกภาษชุดแรกที่นำเสนอมานี้ จับเรื่องของ กลอนเป็นหลัก ตั้งใจจะพยายามคัดสรรบทกลอนเก่า ๆ ที่หาอ่านยาก ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา มาจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงสมัยสุนทรภู่ หลังจากนั้นคงจะไม่ต้องฝากฝังอะไรกันมาก เพราะหนึ่งกลอนนั้นค่อนข้างจะอยู่ตัว นิยมตามแบบสุนทรพู่กันเป็นกระแสหลัก
เคยนำพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 มาเผยแพร่ไว้แล้ว จึงคิดว่าน่าจะเผยแพร่สำนวนกลอนของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรฯ ในรัชกาลที่ 1 ไว้ด้วย
บทกลอนพระราชนิพนธ์ สมเด็จพระบวนราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เท่าที่พบแล้วมีสามชิ้น ได้แก่ เพลงยาวพยากรณ์เรื่องฟ้าผ่าในพระราชวังหลวง เพลงยาวเรื่องตีเมืองพม่า และเพลงยาวรบพม่าที่เมืองนครศรีธรรมราช ทั้งสามเรื่องมีรวมอยู่ในหนังสือเรื่อง วังหน้า พระยาเสือ ของ ส.พลายน้อย จัดพิมพิ์โดยสำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม
เพื่อให้อ่านสนุก เข้ากับสถานการณ์วิกฤติการเมืองยุคนี้ จึงเลือกนำเสนอพระราชนิพนธ์ที่พระองค์วิจารณ์เหตุแห่งการเสียกรุง(อยุธยา) มาพิมพ์ไว้เป็นบทแรกดังนี้
.....................................
ฤดูใดก็ได้เล่นเกษมสุข แสนสนุกทั่วเมืองหรรษา
ตั้งแต่นี้แลหนาอกอา อยุธยาจะสาบสูญไป
จะหาไหนได้เหมือนกรุงแล้ว ดังดวงแก้วอันสิ้นแสงใส
นับแต่วันจะยับนับไป ที่ไหนจะคืนคงมา
ไม่ปรากฏเหตุเสียเหมือนดังนี้ มีแต่บรมสุขา
ครั้งนี้มีแต่พื้นพสุธา อนิจจาสังเวทนาใจ
ทั้งนี้เป็นต้นด้วยผลเหตุ จะอาเภทกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่
มิได้พิจารณาข้าไท เคยใช้ก็เลี้ยงด้วยเมตตา
ไม่รู้รอบประกอบในราชกิจ ประพฤติการแต่ที่ผิดด้วยอิจฉา
สุภาษิตท่านกล่าวเป็นราวมา จะตั้งแต่เสนาบดี
ไม่ควรอย่าให้อรรคฐาน จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี จะเสียทีเสียวงศ์กษัตรา
เสียยศเสียศักดิ์นัคเรศ เสียทั้งพระนิเวศน์วงศา
เสียทั้งตระกูลนานา เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร