คมทวน คันธนู
กวีซีไรต์ ปี ๒๕๒๖
การถอดทิ้งตำราเก่าซึ่งคนเขารับรู้มานานมนาน ยิ่งถือเป็นโบราณลีลายิ่งยากกว่าขึ้นไปอีก เมื่อต้องฉีกกฎเกณฑ์สารพัด แถมถูกคัดค้านพิพากษาราวกับว่าเป็นมหาโจรไปโน่น ทั้งที่บางทีลีลาใหม่มิใช่ความเลวร้ายอันใดเลย
การคุ้นเคยอันนานยาวยากแก่การฝ่าก้าวฉะนี้แล...แต่สำหรับร้อยกรอง (ครรลองใหม่) ต้องอาศัยกาลเวลา ใครจะคิดว่ากลอนแบบสุนทรภู่ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ยาวนานนั้น มาถึงวันนี้จะถูกตีแนบโดยกลอนแบบบทละคร หรือกลอนกลบทอันเป็นกฎบนการสำแดงฝีมือแห่งกวีแทบจะมิมีบทบาทเท่าไหร่ในวงฉันทลักษณ์
ฉันใดกาพย์ยานี ๑๑ ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศวร์จักต้องสั่นสะเทือนให้แก่การเคลื่อนตัวของกาพย์ยานี แบบนายผี ที่ว่า
๏ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย ก็รีบซาบบ่รอซึม
แดดเปรี้ยงปานหัวแตก แผ่นดินแยกอยู่ทึบทึม
แผ่นอกที่ครางครึม ขยับแยกอยู่ตาปี
คือลีลาที่ทิ้งสัมผัสใน แล้วหันมาใช้สัมผัสตัวอักษรแทน และเดินความหนักแน่นในจังหวะเกือบชัดเจน เป็น ๒ (-๑)-๒ ในวรรคที่มี ๕ คำ และเป็น ๒-(๑) (๑)-๒ ในจังหวะมี ๖ คำ ถ้าใช้ความสังเกตสังกาอีกตลบจะพบว่า วรรค ๒ และวรรค ๔ คำที่ ๑,๒ และ ๔ จะมีน้ำหนักเบากว่าคำที่ ๓,๕ และ ๖ ส่วนวรรคที่มี ๕ คำ คำที่ ๓ จะมีน้ำหนักเบาเช่นกัน และมักจะเป็นคำโดดด้วยอ่านแล้วจะสละสลวย คล้ายอินทรวิเชียรฉันท์กลายๆ นั่นเอง
แต่การประเลงลีลาใหม่นี้นายผียังมีจุดมิลงตัวอยู่ ๒-๓ แห่ง ดังจะแสดงให้เห็นเป็นฉากๆ
- ทิ้งสัมผัสในมากไป เพราะในการเขียนหรืออ่านงานยาวจักต้องตละเค้ากันคือ บางวรรคนั้นถ้าทำได้จะช่วยในการสร้างความอลังการได้ดี
- วรรคที่ ๒ มีการลงท้ายด้วยเสียงจัตวาซึ่งผมย้ำนักหนาว่าไม่น่าจะทำในกาพย์ยานีและฉันท์ที่มี ๔ วรรค เป็น ๑ บท แม้มิใช่กฎเกณฑ์แน่นเหนียว แต่จงเฉลียวคิดสักนิดหนึ่ง ถึงอย่างไรก็บั่นทอนความไพเราะลงจริงๆ ยิ่งลงด้วยเสียงเอกหรือโท ยิ่งจะเห็นช่องโหว่ยิ่งขึ้น
- พื้นฐานของกาพย์ยานี อยู่ที่จังหวะลีลาโดยอาศัยการเดินคำเป็นสำคัญ และนายผีก็ทำได้ดี แต่เห็นว่ามีคำอยู่หลายคำที่สื่อความหมายไม่กระชับชัดนัก ดัง :-
๏เมื่อใดทั้งสองเสียง อันครางคร่ำอยู่ในโหยหวน
จากสองใจรำจวน จะเป็นเสียงอันเดียวกัน
เมื่อนั้นแลทั้งสอง ก็จะสิ้นที่โศกศัลย์
เมื่อนั้นแลสองขัน ก็จะขุกได้สุขสม
จึงทิพรูปแสน จะระทดระทมตรม
เตร็จในพนมงม ดูเง่าเพชรอยู่งึมงำ
การทำกาพย์ยานีลีลาใหม่ แม้จะไม่แพร่หลายในช่วงแรก แต่ก็ถือว่าแหวกวงล้อมแบบเก่าได้สำเร็จ กาพย์ยานี ๑๑ ของนายผีได้รับการคลี่คลายโดยจิตร ภูมิศักดิ์ ที่ตระหนักเห็นทั้งพลังทั้งคุณค่า จึงนำมาใช้โดยไม่ตะขิดตะขวง มิติดบ่วงบาศแห่งอัตตา และถูกนำมาขยายแนว จากแนวร่วมทางความคิดอีกครั้ง ภายหลังปี ๒๕๑๔ ถึงช่วงปี ๒๕๑๕ กาพย์ยานีลีลาใหม่กลายเป็นไฟลามทุ่งรุ่งเรืองแล้วตกต่ำ (เพราะย้ำคำคิดคล้ายจิตร คล้ายนายผีโดยมิมีการเคลื่อนขบวน ชวนให้อ่านแล้วน่าเบื่อยิ่งเมื่อยุคสมัยไร้ป่าไร้ดาว ก้าวของกาพย์ยานีลีลาใหม่ก็ต้องถอยหลังถอยจังหวะอีกระยะหนึ่ง)
กวีซึ่งจับกาพย์ยานี และยังมีผลงานออกมาเช่น สถาพร ศรีสังจัง ไพวรินทร์ ขาวงาม เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และคมทวน คันธนู เป็นต้น ผลงานของเขาเหล่านี้ส่วนมากเป็นกาพย์ยานีลีลาใหม่ทั้งสิ้นต่างคนต่างเดินลีลาเฉพาะตัว
ลองดูตัวอย่าง:
๏ การเกิดต้องเจ็บปวด ต้องร้าวรวดและทรมา
ในสายฝนมีสายฟ้า ในผาทึบมีถ้ำทอง
มาเถิดมาทุกข์ยาก มาบั่นบากกับเพื่อนพ้อง
อย่าหวังเลยรังรอง จะเรืองไรในชีพนี้
ห้าวแรกที่เราย่าง จะสร้างทางในทุกที่
ป่าเถื่อนในปฐพี ยังมีไว้รอให้เดิน
(หนทางแห่งหอยทาก:เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)
และ:-
๏ด้วยธรรมนั้นเทียมเท่า แต่ใครเล่าที่ครอบงำ
เอาเปรียบและเหยียบย่ำ มวลชีวิตจนผิดไป
ในน้ำทุกหยดน้ำ หรือใช่น้ำเฉพาะใคร
ลมแดดหรือดินใด ล้วนสมบัติอันเป็นกลาง
โลกนี้คือที่อยู่ ให้หมู่สรรพสัตว์สร้าง
เลี้ยงธรรมชาติวาง ตำแหน่งไว้ชั่วนิรันดร์
(เพลงไทยของคนทุกข์:ไพวรินทร์ ขาวงาม)
จะเห็นได้ว่า ความ คำ ลีลา และจังหวะของกวีทั้งสองอยู่ใกล้ร่องรอยเดียวกัน การเดินกาพย์นั้นราบรื่นดี
แต่ยังมีอะไรหลวมๆ ปรากฏร่วมทาง
ฉะนั้นการวางจังหวะ ลีลากาพย์ยานีใหม่ (หลังจากพัฒนาไปอีกก้าวหนึ่ง ซึ่งนายผีได้ปูทอดวิถีไว้ก่อน) จักต้องมีขั้นตอนยกระดับรับขึ้นด้วย
จังหวะอันสละสลวยก็ดี
ลีลาสง่างามก็ดี
น่าจะเป็นกาพย์ยานีที่ลงตัวที่สุด
เท่าที่ขุดค้นพบและตกแต่งต่อ!
(คัดจาก วรรณวิเคราะห์ ตำนานฉันทลักษณ์กับหลักการใหม่, คมทวน คันธนู,สำนักพิมพ์สุขภาพใจ,พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ ๒๕๔๕)