ReadyPlanet.com
dot dot
รวมบทร้อยกรอง article

+ คมตุลา

สามทศวรรษถ้วนหก         ตุลา
แสบเผ็ดเผด็จการสา-        หัสเหี้ยม
ยังอยู่คู่กัลปา                  ปฏิปักษ์
หนึ่งเฟื่องหนึ่งเอี้ยมเฟี้ยม   หนึ่งฝืน

ดับปืนด้วยปากได้             ดับไฉน
ระเบิดบอดถอดสลักใด      สลัดด้วย
ยังอยู่และเป็นไป              ปกติ
ทรลักษณ์รากย้อยย้วย      แสยะสยาย

ตายเกิดแสนโกฏิแก้ว        กัปกัลป์
ฤาพรากพิษพืชพันธุ์          เผด็จได้
ยังแตกดอกออกดัน          ดื่นดก
รกแต่ไม้ไม้ไม้                 หมากผี

กี่ปีกี่เปล่าโอ้                   อาทวา
คมตุลาบาดคา                 จิตข้อง
กี่สีกี่ธาตุปรา-                  กฏเปลี่ยน
กี่เพื่อนกี่พ้องพร้อง           เผด็จการ!๚ะ๛
------------------------------------------
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

 

 

+ มหากาพย์แห่งอุษาคเนย์ (ใช้ในปกหลัง) --

๏ มหากาพย์หาญคระหึ่มห้าว  อุษาคเนย์
ร่ายรจนากาเล                    กระหึ่มหล้า
ครรโลงโลกอตีเต                ตระหง่านศึก
ขุนต่อขุนห้าวท้า                  สถิตสมัย

๏ ใจแผ่นดินแผ่นฟ้า             ภูมิสถาน
ท้าวฮุ่งท้าวเจืองหาญ            ต่อแคว้น
ตั้งฟ้าต่อฟ้าปธาน                ไผทปเทส
ภูมิแผ่นล้านช้างแม้น            ปัถเมนทร์

๏ ศีขเรนทร์ไปจดห้วง           สมุทรมหา
โขงนัททีล้านนา                  ฟากแล้ว
ยุคสืบยุคสืบอา-                  รยศักดิ์
ขุนสืบขุนสร้างแก้ว              ก่อเมือง

๏ ท้าวเจืองท้าวฮุ่งรุ้ง            รุ่งสมัย
รุ้งร่วงโรจนฤทธิชัย               ผ่องพื้น
กาพย์แห่งอุษาคเนย์นัย         นทีปเทส
โคลงอุโฆษคล้องครื้น           กัปกัลป์

๏ ฝากนัยตำนานเนื่อง           แลฝากเรื่องอันโรมรัน
คือขุนต่อขุนขัน                   เข้าเข่นโค่นเอาขุนเขา
๏ รวมใจอาณาจักร               พิทักษ์เผ่าร่วมพงศ์เผ่า
สถาปนาอาณาเนา               เป็นอาณาจักรจำหลักใจ
๏ เรื่องจริงเป็นเรื่องจำ           เป็นตำนานอันฝากนัย
กาลสมัยอันก่อสมัย              เป็นลำนำอุษาคเนย์
๏ เป็นใจแผ่นดินผจง             เป็นจำนงจำนรรจ์เสน่ห์
กล่อมโลกกล่อมกาเล            เร่งรู้สึกรู้ศึกษา ฯ๚ะ๛
------------------------------------------
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ (ลายเซ็น)

 


+ กวี

กวีคือก่องแก้วมณีสมัย
คือผู้หว่านดอกไม้รายวิถี
คือผู้เบิกรุ้งอรุณแห่งสุนทรีย์
ผู้ทอรุ่งรมณีย์แห่งชีวา

คือ พลังหยั่งรู้มิติลึก
ซอกหลืบแห่งสำนึกมานุสสา
คือผู้เจียรนัยจินตนา
คือผู้จุดไฟปัญญาส่องวิญญาณ

คือผู้รู้เล่ห์แห่งเวลา
เห็นชาตะมรณาแห่งสังขาร
เห็นความตายในเกิดอุบัติกาล
เห็นแก่นสารใต้เปลือกหุ้มหลากมุมมอง

คือผู้รักที่จะเรียนเพื่อจะรู้
เพื่อกอบกู้ใจพ้นอบายผอง
บางคราวปิดสองตาเพื่อนิ่งมอง
บางคราปิดหูสองเพื่อนิ่งฟัง

คือผู้ฉุดรั้งความดื้อรั้น
คือผู้ผลักดันฝันและหวัง
คือผู้ติติงที่จริงจัง
เพื่อตั้งต้นให้คนตั้งสติตน

คือผู้นิ่งสนทนากับฟ้าดิน
คือผู้ยินเมล็ดเพรียกร้องเรียกฝน
คือผู้ฟังเสียงระงมของลมบน
ขณะเบื้องภูวดลยังเงียบงัน

คือผู้เห็นความงามในความเศร้า
เห็นดาวพรายในน้ำเน่าขังแอ่งนั่น
ผู้รู้เห็นเพ็ญใจมีภัยครัน
ว่าราหูอมจันทร์ในดวงใจ

คือผู้เห็นชราในทารก
เห็นแวววามน้ำตาตกของเทียนไข
เห็นชะตากรรมฟืนในเปลวไฟ
เห็นเส้นใย…แมงมุมซุ่มคอยที

คือผู้ฝากรอยเท้าบนเส้นทาง
และคือผู้ลบล้างบางวิถี
คือผู้ร่วมทางเดินผู้ยินดี
และคือผู้เร้นหนีที่อาทร

คือผู้แบกภาระแห่งความรัก
เหนื่อยหนักระหกระเหินเกินถ่ายถอน
ผู้ล้มแล้วลุกเล่าไม่ร้าวรอน
หาเกี่ยงงอนงานงามหว่านความรัก

คือผู้ทวงถามถึงความหมาย
คือผู้ท้าทายที่แน่นหนัก
ถูก  ผิด จริง ลวงคอยท้วงทัก
คือผู้ปักธงรบชูคบไฟ

ธงอุดมคติโบกสะบัดกล้า
คบไฟแห่งปัญญาสว่างไสว
กวีคือภาวะขณะใจ
คือพลังยิ่งใหญ่ในมโน

มโนมนุษย์สุดมนัสจรัสฉะนี้
ภาวะกวีส่องสกาวอะค้าวอะโห
ประกายปราชญ์กาจกล้าอกาลิโก
โยโสมนสิการญาณวิญญู

กวีคือกวี คือภาวะ
ภาระกวีคือภาระการกอบกู้
อา…กวีคือใครใช้ใจดู
หัวใจกวีจึงหยั่งรู้หัวใจกวี๚ะ๛
------------------------------------------
ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

 

 

+ อายุสิบขวบ

หมู่บ้านเกิดกลับกลายเป็นค่ายลูกเสือ
ทั้งทิศใต้ทิศเหนือและออกตก
พร้อมกับหญ้าบางพันธุ์อันเรื้อรก
นั้นถูกยกให้เป็นหญ้า – ‘คอมมิวนิสต์’

มิอาจถามใครใครให้กระจ่าง
มีบางอย่างอัดอกถูกปกปิด
โลกแบ่งข้างระหว่างศัตรูกับหมู่มิตร
เกินนึกคิด, ข้าพเจ้า – เยาวชน

ทั้งโรงเรียนก็มิได้ให้คำตอบ
โดยระบอบขอบเขตแห่งเหตุผล
รับรู้เพียงเสียงเล่าว่า – คนฆ่าคน
ผู้ถูกฆ่าเกลื่อนกล่น – พวกคนแกว

พวกญวนแกวผู้จับคนไปสนตะพาย
ใช้ไถนาแทนความในเถื่อนแถว
ดั่งเสือร้องก้องขู่ไม่รู้แล้ว
แว่วอยู่ในมืดมิด – จิตใต้สำนึก

ค่ำคืนของเสียงกลองเสียงร้องรำ
ท่องคำสัตย์ซ้ำซ้ำค่ำยันดึก
คือบ้านไร่ปลายดงของพงพฤกษ์
ล้วนผนึกผสานพร้อมต้านภัย

วิทยากรคือครูผู้เข้มคม
ถ้อยคารมคมกล้าน่าเลื่อมใส
บางสำนวนไหวหวานสะท้านใจ
จนสาวน้อยสาวใหญ่ไหวระเนน

ข้าพเจ้าเรียนชั้นประถมสี่
โลกใช่มีเพียงด้านของการเล่น
มีคำขู่ผู้กำหนดมีกฏเกณฑ์
ทั้งโอนเอนเขลาขลาดหวาดสะทก

วิทยากรจากไป – ค่ายทิ้งร้าง
ธงบางที่สีจางและหรุบตก
หญ้าในไร่ในสวนล้วนท่วมรก
และบางใครใจอก – สะทกสะท้อน

และไม่นานความตายของใครบางคน
ผู้ปลิดชีพของตนพร้อมครรภ์ลูกอ่อน
เธอผู้มอบใจจิตให้วิทยากร –
ผู้ซุ่มซ่อนเสือไว้ข้างในตน

บ่ายของเสียงพลุไฟในงานศพ
ดังก้องกลบ, หัวใจคล้ายตกหล่น
ข้าพเจ้าเหล่าเพื่อนผู้รวมพล
เล่นโจรป่าฆ่าปล้นอยู่ปึงปัง – ฯ๚ะ๛
------------------------------------------
เรวัตร์  พันธุ์พิพัฒน์

 


+ ตลาดเช้าเมืองลา

๏ตลาดเมืองลาสินค้าป่าเขา
ปลาคีบไม้เผาโน่นเขาสัตว์ป่า
เนื้อเก้งนอนเกลือกนกเงือกนอนคา
ตีนหมีเสือปลาตุ่นคาเชือกคล้อง

๏ซี่โครงซากลิงเกลื่อนกลิ้งหัวกวาง
ซากสัตว์หลายอย่างวางขายได้คล่อง
ผักสดซื้อหาข้าวปลาใส่ท้อง
เหล้าเถื่อนน่าถองลิ้มลองสักครา
๏ผักสดจากสวนแตงนวลจากไร่
พืชสมุนไพรเก็บได้จากป่า
ข้าวสารข้าวเปลือกผักเลือกใส่ซ้า
กับข้าวกับปลาจากป่าสู่เมือง

๏นานาสำเนียงส่งเสียงซื้อขาย
แม่ญิงป้อจายไตลื้อขาวเหลือง
ไตใหญ่ไทยจีนหลากถิ่นย่างเยื้อง
ในร่มแดดเรือง ณ เมืองปลายฟ้า

๏จ้อกแจ้กจอแจควันแผ่เตาผาย
กลิ่นคาวคุ้นกายรอขายรอฆ่า
ลิงน้อยในกรงรสคงโอชา
ซนเล่นไม่ล้าชะตาไม่รู้

๏อีกตัวโซ่คล้องตามองปริบปริบ
มือยื่นหางหยิบเงียบกริบไม่กู่
ถัดจากกรงลิงเด็กนิ่งมองดู
คอยแม่รับหนูนั่งดูชีวิต.๚ะ๛
------------------------------------------
โชคชัย  บัณฑิต’
เมืองลา เขตเศรษฐกิจพิเศษ พม่า

 


+ มือมัจจุราช “สึนามิ”

อยู่ดีดีก็มีมือมัจจุราช
เร่งกวาดสรรพสิ่งยิ่งสยอง
กระชากลูกจากอกแม่แม้ประคอง
ลงทะเลลิ่วล่องไปลับตา

มือปิศาจ “สึนามิ” มัจจุราช
พรากญาติ-พี่-แม่-พ่อ-ไปต่อหน้า
สิ้นวิกฤติโคตรคลื่นกลืนเวลา
คลื่นน้ำตาก็สาดเปื้อนสะเทือนไทย.๚ะ๛
------------------------------------------
ทิน ละออ
กับเหตุการณ์ “คลื่นสึนามิ”
ปลายปี  2547

 


+ คำพ่อสอน

๏ มองรูปพ่อมีเรื่องราวบอกเล่าพ่อ
ลูกเหนื่อยท้อแท้ทนคนกดขี่
ทั้งอดทนสู้งานมานานปี
เป็นคนดีอย่างพ่อหวังช่างยากเย็น

ลูกนั้นเกือบแพ้พ่ายมาหลายหน
ยอมอดทนทั้งปีมีใครเห็น?
เหนื่อยท้อแท้สิ้นหวังตั้งประเด็น
หลายคนเด่นก้าวหน้าเพราะอะไร?

บางครั้งจึงหลงตามคำกล่าวนี้
คน “ทำดีได้ดีมีที่ไหน”
คน “ทำชั่วได้ดีมีถมไป”
เป็นตรรกะที่คิดได้ในความคิด

แต่ลูกยังจดจำคำพ่อสอน
พ่อสะท้อนให้ลูกรู้ถูกผิด
ใช้วินัยเป็นทางสร้างชีวิต
ใช้ความดีพิชิตความชั่วช้า

ลูกจักยึดทางพ่อขอมุ่งมั่น
อุปสรรคไม่หวั่นขอฟันฝ่า
เป็นคนดีไม่ท้อต่อชะตา
พ่อหลับเถิดพ่อจ๋าอย่าอาวรณ์

แม้วันพ่อปีนี้ไม่มีพ่อ
แต่ลูกก็ยังจำคำพ่อสอน
ฝังลึกอยู่ภายในไม่คลายคลอน
กราบรูปพ่อสะอื้นอ้อนสะท้อนความ ๚ะ๛
------------------------------------------
จอมยุทธเมรัย
๓ ธันว์ ๔๖

 


+ คำให้การของราตรี

๏มาพยาน รู้เห็น เป็นสักขี
บอกเล่า อเวจี ณ ที่นั่น
ปากคำ พยานบอก เหมือนหลอกกัน
ดี-เลว-จริง-ฝัน ยืนยันกาล

๏กาลมีบ้าง บางที มีคุณค่า
ซับแรง ปรารถนา มหาศาล
ละครั้ง ละครั้ง ขังวิญญาณ
รองรับ แรงร่าน ระริกรน

๏รนรับ สลับรุก ติดคุกลึก
ราตรี ดื่นดึก สะอึกผล
กรรรมใคร ใครก่อ คนพ้อคน
ถามเหตุ เฉดพ้น ทุกข์ทนใคร

๏ใครบ้าง บางใคร ได้รู้เห็น
ปากคำ พยานเป็น เช่นที่ใช่
คุณค่า คนหมาง มีอย่างใด
คุณค่า หัวใจ ของใครมี ?

๏มีเหมือน ไม่มี ที่เป็นอยู่
ใช่ ! ใครก็รู้ ประตูผี
ใช่ ! ขุมนรก อเวจี
และก็ใช่ แหล่งที่ คนดีมา

๏มาพยาน รู้เห็น เป็นสักขี
เถิดสักครั้ง คนดี ชี้คุณค่า
ดี-เลว-ถูก-ผิด จริตมายา
อเวจี เหว่ว้า โหยหาพยานฯ๚ะ๛
------------------------------------------
นายทิวา

 


+ กาหยีเจ้าพี่เอย

๏โชคชะตากาหยีเจ้าพี่เอ๋ย           บ้างอ้างเอ่ยวาจาเรียกกาหยู
จากแดนไกลหิมพานต์นานพอดู   ได้มาอยู่เมืองใต้ถิ่นไทยเรา
ม่วงทูนหนวยเรียกตามนามที่เห็น   ห้อยหัวเป็นชุกช่อพอเค้าเข้า
ดงกันดารแดนดินถิ่นลำเนา          ผู้คนเขาปลูกป่ามาแต่เดิม
มะม่วงหิมพานต์ขานนามเพราะ     ชื่องามเหมาะไม่แปลกแต่แต่แรกเริ่ม
เรียกมะม่วงเล็ดล่อนามต่อเติม      ยาร่วงเพิ่มสำเนียงเรียกหัวครก
ยาโห้ย หวอแตแหรแค่บางถิ่น      สะดวกลิ้นชื่อแผลงใช่แต่งตก
กินเมล็ดเนื้อในใคร่หยิบยก          ไฟเผาหมกพรึบทั่วคั่วพองาม
บ้างกะเทาะเปลือกเอาเข้าเตาอบ   กะให้ครบเพลาอย่ามองข้าม
เมล็ดกรอบสุกทันกันตามตาม       ยกวางท่ามแผงถาดสะอาดดี
ยำมะม่วงเคล้าลงคงเข้าที            แกล้มเล่นนี้กินเปล่าก็เข้ากัน

๏ประโยชน์ของกาหยีนี้สามารถ    ยอดอ่อนฝาดฟักแกมจิ้มแนมนั่น
ขนมจีนน้ำยาน่ากินครัน              ใครขยันปลูกขายรายได้งาม๚ะ๛
------------------------------------------
เสน่ห์ วงษ์กำแหง
๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๙
***หมายเหตุ
ชื่อเรียกตามท้องถิ่น มะม่วงหิมพานต์ – ภาคกลาง,ชื่อรวม ๆ ,
กาหยี – ภูเก็ต พังงากาหยู – ระนอง ,มะม่วงหน่วย – สุราษฏร์ธานี เกาะสมุย,
มะม่วงเล็ดล่อ (ล่อเด็ด) – ชุมพร ยาร่วง – ปัตตานี ยะลา สงขลา,
หัวครก – พัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช .ยาโห้ย – กระบี่ ตรัง สตูล
หวลแตแหร – นราธิวาส

 
 

+ “ประชาธิปไตย” อยู่ในตู้

เขาออกเดินตามหา “ประชาธิปไตย”
เหนือจดใต้ออกตกวกเวียนหา
ผ่านป่าดงรกร้างทางมรรคา
ผ่านแดดจ้าฝนหนาวมายาวนาน

“ประชาธิปไตย” ลูกใครหนอ
คงรูปหล่ออะคร้าวจึงกล่าวขาน
ใครก็บอกรักรักรักแหลกลาญ
จนเบอะบานเรื่อยมาประชาธิปไตย

เขาแวะดื่มเก๊กฮวยช่วยคลายร้อน
ริมทางจรร้านขายยาพาแจ่มใส
เพียงสายตากวาดมองแล้วจ้องไป
อยู่นั่นไงพบแล้วนะแก้วตา

ขวด “ประชาธิปไตย” อยู่ในใต้
วางโชว์อยู่ฉลากเห็นได้เด่นหรา
วิธีใช้อม – อ้างสร้างราคา
คือน้ำยาบ้วนปากหลากสรรพคุณเอย

+ (“ประชาธิปไตย” อยู่ในทะเล)

“ประชาธิปไตย” ไม่น่าแค่ยาบ้วนปาก
เขาเปิดฉากหาใหม่ไม่ชาเฉย
ต้องไปหาแถวทะเลโอเคเลย
จริงนะเว้ยอย่าลบหลู่อั๊วรู้มา

เขาแหวกว่ายตะกายหาฝ่าสมุทร
ดิ่งลึกสุดออกแรงแสวงหา
ตะลึงลานแลดูกลางหมู่ปลา
ไหน “ประชาธิปไตย” อยู่ไหนกัน

เห็นแต่ปลาปักเป้าเฝ้าพองลม
ทำตัวกลมเบ่งบ้าอวดก๋ากั่น
แข่งกุมภีล์กุมภาชาลวัน
แต่เอ๊ะนั่นตัว “ประชาธิปไตย”

ดูสิหางงามจังเช่นมังกร
ช่างงามงอนสง่าจริงดูยิ่งใหญ่
แต่ท่อนหัวง้อกแง้กดูแปลกไป
สรุปไซร้หัวมังกุท้ายมังกร๚ะ๛
------------------------------------------
ร้อย บานบุรี

 


+ ผู้รู้รัก : คือกฎ?

ลมว่าวอุ้มว่าวขึ้นว่ายฟ้า
แต้มสีให้ตารู้สวยใส
ลมป่าคลี่ใบไม้สยายใบ
แต้มความเคลื่อนไหวให้วงตา

ขณะเมฆบนฟ้าสร้างห่าฝน
ลบแล้งร้ายร้อนรนแต้มเริงร่า
และลมล่องแห่งฤดูไหวหวูมา
ชักใบเรือออกท้าทายทะเล

เป็น "กฎ" ให้เห็นอยู่เช่นนั้น
เหมือนมีมือความฝันคอยกล่อมเห่
ไม่แปรเปลี่ยนไม่ปั่นป่วนไม่รวนเร
เป็นดังเล่ห์ชี้แจ้งยากแจ้งใจ

หรือโดยแท้, ผู้รู้รัก-
จะ "ต้อง" รู้จักความยิ่งใหญ่-
ของการรู้จักได้รักใคร-
โดยไม่รู้จัก "ต้อง" รักคืน? ฯ๚ะ๛
------------------------------------------
พนม นันทพฤกษ์

 


+ เพื่อวิถีที่เธอรัก
   (ที่จะอยู่ – จะเป็น)

 ๏เพราะเธออยู่ตรงที่ใครเขาไม่อยู่            จึงขวางหู – ตาใครเมื่อได้เห็น
 เธออยู่ตรงที่ใครใครอยากให้เว้น              เกิดประเด็นเป็นปัญหาว่าท้าทาย
 ๏เพราะเธออยู่ตรงที่ใครเขาไหวหวั่น         เขาพรึงพรั่นแต่เธออยู่กับดูง่าย
 เขาข้องขัดชุลมุนแสนวุ่นวาย                   เธอกลับเฉยเสบยสบาย ณ ที่นั้น
 ๏เพราะเป็นตรงที่เขาไม่เคยเป็น               เขาจึงเต้นโลดถลึงจนถึงขั้น
 อ้างเอากฎกติกามายืนยัน                       มากางกั้นให้เธอกลัวถอนตัวไป
 ๏เพราะเธอเป็นตรงที่ใครเขาไม่คุ้น           จึงว้าวุ่นอย่างที่เห็นเป็นไปได้
ความแปลกแยกแตกต่างพลอยสร้างภัย      ช่างเหลวไหลแต่ต้องเชื่อเมื่อพบมัน
๏หากเธอเหมือนตามที่ใครอยากให้เหมือน   ยอมลืมเลือนกลายกลับยามคับขัน
เลิกอยากอยู่ -  อยากเป็นเช่นก่อนนั้น         เขาดับฝันเธอได้อย่างแท้จริง
๏ไม่อยากอยู่ – ไม่อยากเป็นเหมือนเช่นเขา “เรายังอยากเป็นเรา๐ อย่าเฉยนิ่ง
ต้องก้าวหน้าหาหลักไว้พักพิง                     บทเรียนยิ่งต้องซื้อหาราคาแพง
๏เมื่ออยากอยู่ – อยากเป็น เช่นที่หมาย      เลือกให้เห็นเป็นหรือตายไม่หน่ายแหนง
จะมีเพื่อนผู้องอาจประกาศแสดง                ทุกหนแห่งเข้าเคียงข้างสะสางภัย
๏ขอเธออยู่ – เธอเป็นให้เด่นชัด                เล่นบทที่เธอถนัดให้ชัดใส่
รักจะอยู่- รักจะเป็นเช่นดั่งใจ                     อย่าลืมเหลือเผื่อรักไว้ – ตลอดทาง๚ะ๛
------------------------------------------
นฤมิตร ประพันธ์

 
 

+ คืนเก่า
  
๏กลับมาเป็นคนเล็กเล็กและเรียบง่าย
ซ่อนเร้นใจกายอีกสักหน
บนภูสูงนั้นหนาวสุดทานทน
ในท่ามกลางผู้คนเราวังเวง

๏กลับมาเป็นคนเล็กที่เคยเป็น
หยุดกระโดดโลดเต้นจังหวะเร่ง
อยู่เงียบเงียบคอยนั่งเสียงเพลง
อันกู่ร้องก้องเปล่งอยู่ในใจ

๏ออกจากห้องท่องเที่ยวในทุ่งกว้าง
ซึ่งสายหมอกเลือนรางยังวูบไหว
ฟังเสียงนกเริงร้องทำนองไพร
ชื่นสายลมลูบไล้เรียวหญ้างาม

๏ถอดหัวโขนโยนทิ้งไปให้หมด
หนีจากกรอบกำหนดน่าเกรงขาม
ลืมบทบาทมาดผู้นำอันคุกคาม
ไปแสดงบทผู้ตาม ตามใจเรา

๏สูงสุดลงมาสู่สามัญ
ก่อนสูญเสียความฝันอย่างโง่เขลา
กลับไปสู่วันงดงามท่ามวัยเยาว์
ก่อนเวลาจะพร่าเผาจิตวิญญาณ

๏คืนตัวตนเก่าเก่าเราอีกครั้ง
สู่ร่มไม้ใบบังในรั้วบ้าน
นิ่ง นั่งฟังเสียงคีตการ
สดับเสียงกู่ขานแห่งเสรี

๏กลับมาเป็นคนเล็กเล็กอีกสักครั้ง
ก่อนชีวิตจะผุพังไปกว่านี้
เก็บตัวตนเก่าเก่าเท่าที่มี
มาตกแต่งให้ดูดีอย่างเคยเป็น๚ะ๛
------------------------------------------
ไพฑูรย์ ธัญญา

 

+ถามตัวตน

๏ถามดวงดาวดอกหญ้าป่าน้ำค้าง          ลมเจือจางบางเบาเงาไม้ไหว
ว่า-ชีวิต ณ วันนี้มีอะไร                       ตอบได้ไหม?  ใครกันปั้นรูปรอย รอย
๏จารึกริ้วฟ้าบาดผาหิน                       รอยแผ่นดินถิ่นรักสลักถ้อย
รอยทางฝันวันคืนดื่นทยอย                  รอยกระจิดกระจ้อยร่อย...รอยผลิบาน
๏ละลานตา ละลานใจ ไม่สิ้นสุด            เฝ้ายึดถือยื้อยุด ผุดภาพผ่าน
จริงหรือลวงหน่วงเหนี่ยวเชี่ยวรูปกาล     ไร้ต้านทานศรัทธาชีวาวัน
๏ภาพฟ้ากว้างรางเลือนเหมือนโลกหม่น  เอ่อน้ำตาหลอมปนจนโศกศัลย์
เพียงสงสัยใคร่รู้...ดูใจกัน                   หรือเท่าทันฝันเก่าก็เปล่าดาย
๏สิ่งที่เห็นเร้นอยู่ดูผิวเผิน                     ทุกก้าวเดินเกินกว่าระอาหน่าย
มายาการเก่าคร่ำ...ร่ำระบาย                สิ่งท้าทายรอบตัว...กลัวเสียจริง
๏ถามดวงดาวดอกหญ้าใต้ฟ้ากว้าง         ลมเจือจางบางเบาเงาไม้มิ่ง
เพียงเสียงแว่วแผ่วมาพาไหวติง             คำตอบยิ่งทิ้งทอดตลอดแนว... ๚ะ๛
(เพียงเสียงแว่วแผ่วมาพาอุ่นอิง             เถิดพักพิงผ่อนคลายละลายตน)

------------------------------------------
วัฒนา  ธรรมกูร

 


+ เพื่อนของวนปรัสถ์

๏ปฏิบัติอยู่กับบ้าน
นานแล้วไม่จาริก
ห่วงมัดรัดตัวอ่อน
หลับนอนราบในห้องหอ

๏นับหายใจ หน้ารูปปฏิมา
ไกลลำธาร กินน้ำบ่อ
จากเขาชันสูงตั้งคอ
เดินทางต่ออยู่ในเรือน

๏มนตรายังสาธยาย
อาสนะ ยังขับเคลื่อน
ค่ำคืนมองดาวเดือน
คิดถึงเพื่อนเสมอมา

๏พระเอย ... มีคนด้นไปพบ
จุดคบจ่อเผาหัวใจกล้า
พลิกใบไม้อยู่ในกลางพนา
รกฺขนฺตุ สพฺพพุทฺธา เทอญ๚ะ๛

------------------------------------------
ไม้หนึ่ง ก. กุนที

 
 

+ "มหรสพ"

๏ตื่นตาตื่นใจให้ตื่นเต้น                      ย่ำรุ่งทุ่งพระเมรุตาเว็นไหว
ลมหยอกเศษกระดาษเกลื่อนกลาดไป  ใครทิ้งให้ใครไว้รำลึก
แก้วน้ำหลายใบไม่มีน้ำ                      ท่าทางบอบช้ำเหมือนกรำศึก
พิราบเคยครึกครื้นไม่ครื้นครึก              เกาะตึกตะลึงมองท้องพระเมรุ
เพื่อนหมาจรจัดพลัดไปไหน                แปลกใจเพื่อนหมาไม่มาเล่น
เคยหยอกเคยเย้าอยู่เช้าเย็น                เคราะห์เข็ญอย่างไรก็ไม่รู้
ใครจากไปไหน นั่นใครมา                  แวะเวียนเปลี่ยนหน้าเข้ามาสู่
เสียงใดใครดัง ใครพรั่งพรู                  หลายคนเพียงดู หลายผู้...ฟัง
มหรสพเก่าแก่ยังแซ่ซ้อง                    กึกก้องท้องสนาม ฟื้นความหลัง
หลายฉากหลากตอนสะท้อนดัง            เร้ารุกปลุกภวังค์ทุกครั้งมา
ให้ฟังให้ดู ให้รู้เห็น                            ฝากฟ้องท้องพระเมรุทุกเส้นหญ้า
เมื่อเงียบเสียงทุกเสียง งานเลี้ยงรา       เราคือแขกแปลกหน้า แปลกตานัก

๏จึ่งต่างที่ต่างทาง และต่างไป              ลืมว่าใครเป็นใครไม่รู้จัก
มหรสพทุ่งพระเมรุมีเว้นวรรค                และอาจหวนคึกคักอีกสักครั้งฯ๚ะ๛

------------------------------------------
สุขุมพจน์  คำสุขุม

 
 

+ กุ้ยหลิน

แดนกุ้ยหลินถิ่นลือเล่าเงาน้ำสวย
หมื่นห้วยหมื่นหุบเหวหมื่นไม้หอม
สูงลิบลับเหลื่อมโขดเขาเนาพะยอม
เมฆาย้อมครึ้มรกชัดอัสดง
  
ลี่เจียงไหลเลาะลัดเลี้ยวเอี้ยวอ้อมเขา
ผ่านเงื้อมเงาชลาไสใกล้สนสง
ไกลลิบลับเขาคู่น้ำย้ำอยู่คง
น้ำคู่พงคนคงอยู่คู่ลำธาร

------------------------------------------
สามารถ จันทร์สูรย์
๒๑ กันยายน ๒๕๔๙
เมืองกุ้ยหลิน มณฑลกวางโจว

 


+ จารใจ

๏ พจน์พราวราวร่วงรุ้ง            มณีสวรรค์
เพียรเสกสร้อยจำนรรจ์          เจตน์จ้า
หมายมอบมิ่งมิตรขวัญ          น้อยหนึ่ง
ห่อนจักคิดการกล้า               ก่องแก้วแววกวี  ๚ะ

๏ เพียงเสริมศรีศาสตร์พร้อง   เพริศพราย
ศิลป์ยิ่งส่งเฉิดฉาย                จรัสแผ้ว
ปรุงฝันบ่งบรรยาย                แบบบท
ละบาทละคำแพร้ว                ประดับเบื้องแดนบรรณ  ๚ะ๛

------------------------------------------
ศาลาไทย
 

 

+ ลืมฉันทลักษณ์บ้างก็ได้

๏ ความดีมิได้มีแต่ในวัด
หรือจำกัดอยู่ในกรอบราชฐาน
ในหุบห้วยตรวยโตรกตรอกโซรกธาร
เป็นหนึ่งในย่อมย่านของความดี

๏ คนดีใช่จะมีแต่ผ้าเหลือง
หรือทรงเครื่องเรืองจำรัสรัศมี
ที่ร่องแร่งรุ่มร่ามตามพงพี
ก็มากมีธรรมครองอย่างทองคำ

๏ ของดีใช่จะมีแต่ในโบสถ์
หรือรุ่งโรจน์เรืองอยู่ราชูปถัมภ์
ใต้สมุทรสุดลึกอันดึกดำ
ในเถื่อนถ้ำของดีก็มีมูล

๏ คำดี,ดี มีในสมุดข่อย
มากน้อยก็ยังอยู่ไม่รู้สูญ
ทั้งคำคล้องจองกันอันจำรูญ
ทั้งคำพูดพร้อมพูนเป็นคำคน

๏ คำดี,ดี มีแสดงบนแท่งหิน
บ้างขาดวิ่นอ่านกลับกันสับสน
ก็เป็นคำงามงอนไม่ซ่อนกล
เป็นนิพนธ์คำ,คำ ก็งามดี

๏ ไม่มีกรอบกรองคำก็งามได้
อยู่แต่ใครจะไปถึงซึ่งได้ที่
เมื่อสำนึกลึกซึ้งถึงกวี
มีไม่มีฉันทลักษณ์ไม่รู้แล้ว ๚ะ๛

------------------------------------------
สุจิตต์ วงษ์เทศ

 


+ พี่  “เนาวรัตน์   พงษ์ไพบูลย์”  ที่เคยรู้จัก

เสียงขลุ่ยผิว  พลิ้วบรรเลง  เพลงเคยผ่าน
โอกาสงาน  ที่เทพสตรี  ปีหนึ่งสอง
โต้กลอนสด  เป็นวาระ  ร่วมประลอง
ผิวพรรณผ่อง   หล่อเอาการ  เนิ่นนานมา

ตามผลงาน  มีให้เห็น  เป็นระยะ
ในวาระ   พร่างพรม  คารมกล้า
ทุกทุกสื่อ  ทุกวาที  มีราคา
คือคุณค่า  รางวัลกวี  ชื่อ “ซีไรท์”
คือศิลปินแห่งชาติ  คือปราชญ์สยาม

เลื่องลือนาม  ได้อ่าน  ฟัง  ต่างหลงใหล
มีมานะ  พากเพียร  เขียนเมืองไทย
ดินแดนใด  ไม่พ้นผ่าน  ลงงานกวี
ชื่อ   “เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์”

ผู้เพิ่มพูน  เปี่ยมด้วยรัก  เกียรติศักดิ์ศรี
ผู้มีฌาน  แก่กล้า  มากบารมี
สดุดี  ด้วยรัก   เทิดนักกลอน
จากหล่อเหลา  คมเฉียบ   เป็นเรียบง่าย

สบาย   สบาย   เปลี่ยนสไตล์  ไม่เหมือนก่อน
แต่ผลงาน   ยังคงอยู่  คู่นาคร
ทุกบทตอน  คือครูยุวกวี
เสียงขลุ่ยผิว  พลิ้วเต็ม  เข้มกว่าเก่า

ฟังคอยเฝ้า  ติดตาม  ถามถึงพี่
หากเมตตา   ช่วยสักครั้ง   แรงยังดี๚ะ๛
เป่าเพลงที่  พี่รัก  จะดักฟัง   
ฐปกรณ์    โสธนะ

------------------------------------------
ระยอง ๒๔  ตุล. ๔๙
กวีหลับ

 


ขณะดาววาววิบระยิบส่อง
กวีคงฝันผ่องในหลับใหล
เขาปลูกเปลเขียนบทกวีที่บ้านไพร
แล้วเงียบงับหลับไปในห่อเปล

กวีหลับ ดาววับแสงจับฟ้า
ขณะเขียดร้องพร่า ว่าคนเร่
มีบ้านเหมือนไร้บ้านเที่ยวซานเซ
อาศัยโลกว้าเหว่เป็นเรือนใจ

กวีฝัน – ดาวกลั่นแสงพร่างสาย
น้ำค้างร่ายบทกวีในโลกไสว
ที่โพ้นฟ้าดาวฝัน นั่นบทกวีใคร
เที่ยวแผ่ซ่านหว่านไปในหลับกวี...๚ะ๛

------------------------------------------
รมณา โรชา
สวนมังคุด 11 ต้นแห่งกานติ ณ ศรัทธา
มิถุนายน 47

 

 

+ ทางสายกวีไม่มียาเสพติด

บ้านเมืองไทยหลายถิ่นที่มีปัญหา
เกิดจากการศึกษาซึ่งล้าหลัง
เศรษฐกิจสังคมล่มเซซัง
ผู้นำยังโกงกินบางถิ่นมี

ประชาไทยไร้ที่พึ่งจึงน่าเศร้า
บ้างพึ่งคนทรงเจ้าเข้าทรงผี
ซ้ำถูกหลอกหลายหลากมากวิธี
ขาดวิถีชีวิตแท้ที่แน่นอน

พ่อห่างแม่แม่ห่างลูกยุคยาบ้า
ลูกติดยาถลำไปเกินไถ่ถอน
เพราะสังคมวิปริตผิดขั้นตอน
ยุคคำสอนคล้ายคำสาปดาบสองคม

ทางนี้เถิดเยาวชนคนยุคใหม่
ทางที่ไกลจากคลื่นความขื่นขม
ทางที่โรยกลีบกวีวิถีอารมณ์
ทางที่ปราชญ์นิยมอุดมการณ์

มาเดินทางสายกวีอย่างมีหลัก
ฉันทลักษณ์รู้เรียนฝึกเขียนอ่าน
เป็นคนไทยภาษาไทยใช้เชี่ยวชาญ
สร้างผลงานเกียรติประดับไว้กับตัว

กวีคือสื่อสมานสานความคิด
ยาเสพติดคือสื่อสมานสานความชั่ว
รักกวี...อยู่ที่ไหน...ไม่หมองมัว
แต่น่ากลัว...หากชีวิต...ต้องติดยา๚ะ๛

 

 

+ คนสัตว์วัดกัน

เกิดเป็นคนวนวัฏส่ำสัตว์ด้วย         บ้างอยากรวยลืมละอกุศล
ทำทุกอย่างหวังได้ตามใจตน        มีทรัพย์ล้นไม่เลิกราตั้งหน้าโกง
โดยสัญญาณผ่านตาสัตว์หน้าขน   มันมองคนเห็นคล้ายผีตายโหง
มีหลายกลุ่มหนุ่มเฒ่าจะเข้าโลง     ยังยุ่งโยงทุจริตผิดแนวทาง
ดื่มด่ำบาปหยาบกร้านสันดานชั่ว    หลงเมามัวหัวโขนถึงโคนหาง
ทั้งยักษ์ลิงสิงใจไม่ปล่อยวาง        ยังหลงข้างผูกขาดทายาทมาร
ถึงยามค่ำย่ำฆ้องพระท่องบ่น        สาธุมนต์เมินสติดิรัจฉาน
ทั้งสองเท้าสี่เท้าที่ก้าวคลาน          ลืมสันดานคนสัตว์วัดที่กรรม
เมื่อสังคมจมในไฟนรก                มนต์สาธกถูกเทเหลงต่ำ
เพียงคัมภีร์มีแต่แค่เพลงธรรม        บาปสีดำห่อหุ้มครอบคลุมใจ
สัตว์สืบพันธุ์นอนดินกินกับเล่น       มนุษย์เช่นสัตว์บ้างบางวิสัย
หากหมกมุ่นวุ่นทั้งวันแต่จัญไร       ก็คงไม่ต่างจากสัตว์หากวัดกัน๚ะ๛

------------------------------------------
ประสิทธิ์ บุญวงษ์

 

 

+ เทิดไท้นวมินทร์ปิ่นจักรี

เฉก  องค์มหาชนกราช      วรนาถประกาศคุณ
ฉัตร  ชั้นเศวตสถิตบุญ       อภิบาลประชาไทย
แก้ว  เกศกษัตริย์ปิติอุดม   ธิติสมพระราชัย
เกริก  เกียรติมหาพิริยะใน  ทศธรรมะจรรยา
ศรี  ชาติประสาทพิพิธผล   สุขชน ธ เมตตา
จักรี  ประสานหิตประชา     กรุณาธิคุณดล
วงศ์  ไอศวรรย์สิริสวัส-      ดิพิพัฒน์สว่างชน
ทรง  กิจนิมิตผลิตสน -       ธิประโยชน์มหาศาล
ธรรม  เนื่องมนัสกุศลโร -   จนโพธิสมภาร
นำ  สุขประเสริฐฐิตสมาน    ลุสมัยสโมสร
ชาติ  พ้นวิกฤติภยสงบ       สุธภพสถาพร
บ้าน  เรืองระบิลกิติขจร      จิรโรจน์เจริญดี
เมือง  ร่มภิรมย์ชยวิเศษ      นคเรศประสบศรี
รุ่ง  ไทยประเทืองสุขทวี      นิรทุกข์พิบัติสูญ
เรือง  ศาสน์พิสุทธิอุปถัม -  ภกธรรมะค้ำคูณ
คุณ  คุ้มไผทพสกทูน          ศิรเทิดนิรันดร ๚ะ๛

------------------------------------------
นนทวรรณ บุญวงษ์
   

 


+ เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

พระสืบสันตติวงศ์องค์กษัตริย์               ถวัลย์รัชเรืองรุ่งทั้งกรุงศรี
นวมินทร์ปิ่นองค์วงศ์จักรี                      พระภูมีเลิศลักษณ์พิทักษ์ชน
“จักครองแผ่นดินโดยธรรม” พระดำรัส    คงครองสัจจ์ภิญโญเยี่ยมโกศล
พระห่วงไทยส่วนมากยังยากจน             หลายล้านคนขาดที่ไร่ไร้ที่นา
จัดที่ทางวางให้ได้รับผล                       พระคิดค้นช่วยด้านการศึกษา
ถิ่นที่ใดต้องเสริมเติมวิชา                     พระมุ่งหาเพิ่มให้ได้ทันที
ที่ใดแห้งแล้งกันดารพ่อท่านห่วง            พิรุณหลวงโรยรินทุกถิ่นที่
น้ำพระทัยไหลจากฟ้าสู่ธรณี                 ให้ผลดีแก่แผ่นดินถิ่นสำคัญ
หกสิบปีที่พระองค์ทรงครองราชย์           มิได้ขาดขันติธรรมนำรังสรรค์
ทศธรรมบำเพ็ญเย็นนิรันดร์                   ประเทืองขวัญเช้าค่ำสุขดำรง
พระคุ้มราษฎร์คุ้มชาติศาสน์สุข              พระดับทุกข์ร่มไทยได้ดังประสงค์
“เฉกฉัตรแก้วเกริกศักดิ์ศรีจักรีวงศ์”         ขอเทิดองค์ทีฆราชใต้บาทยุคล๚ะ๛

------------------------------------------
ทานตะวัน เพชรหึง

 

 
 
+ แพหน้าเมือง
๏อรุณอุ่นฉายรายแสง
ภูแจ้งขจีส่องจับ
มิ่งเมืองเรืองรองผ่องรับ
ระยับยามแควแลอรุณ

๏ตีนท่าตราการสานน้อม
ไม้ค้อมย้อมแสงแฝงอุ่น
เงาภูคู่น้ำงามบุญ
ทางทุนธรรมชาติดาดงาม

๏แพทบหลบท่าลาราย
สบกรายสองแควแล้หลาม
รับในรัตติกาลยาม
ด้นข้ามสุนทรีย์ที่ใจ

๏คืนนำลำล่องซร้องสนาน
แข่งขานขรมเสียงเรียงไล่
หฤหรรษ์สรรยั่วหัวใจ
และแล้วรำไรอรุณลา

๏แพหมอบยอบเนาผืนน้ำ
คนย่ำคืนฝั่งยังค่า
โยงแพพานสุขพบพา
ย้อนฟ้าเยื้องยามอร่ามอรุณ๚ะ๛

------------------------------------------
ประมวล ดารดาษ

 

 

+ โลกมีแต่ความจริงอันน่ากลัว

โลกมีแต่ความจริงอันน่ากลัว
ขาดเรื่องเล่าชวนหัวให้สนุก
มีแต่ความเศร้าโศกโลกท้นทุกข์
ดังโลกซุกภัยร้าย ทำลายโลก

โลกมีแต่ความจริงอันขมขื่น
มีแต่คนโยนฟืนสุมไฟโศก
ให้โชนแสงแรงร้ายไหม้กรรโชก
ทุกสายลมโบยโบก คือความตาย

โลกมีแต่ความอดอยากและโหยหิว
คร่าชีวิตปลิดปลิวทุกเช้าบ่าย
ทั้งที่โลกมีคนรวยอยู่มากมาย
แต่ความจนแพร่ขยายไปทั่วทิศ

โลกมีแต่หายนะและสงคราม
คอยกระหน่ำคุกคามอำมหิต
แยกพรมแดนเส้นขนานการเป็นมิตร
พร้อมจะคิดทำลายสายสัมพันธ์

โลกมีแต่คนชิงชังรังเกียจโลก
โลกถูกสับถูกโขลกจนโลกสั่น
โลกตะโกน โลกวะ อะไรกัน
โลกสะเทือนเลือนลั่น ใกล้แตกแล้ว ๚ะ๛

------------------------------------------
รักษ์มนัญญา สมเทพ

 


+ บทกวี เผด็จการ ๒ แบบและเสรีภาพ

๐เผด็จการต่ออิทธิพลชั่ว                กดให้มันหดหัวราบคราบ
อำนาจเถื่อนต้องกำราบ                  มุ่งสร้างสันติภาพให้สังคมฯ
๐คือเผด็จการเพื่อประชาชน             กำหนดหนทางธรรมนำโลกนี้
ปราบคนชั่วอภิบาลคนดี                  เปิดพื้นที่เสรีภาพกำราบพาลฯ
๐นี่คือเผด็จการโดยประชาชน          เพื่อสร้างผลประโยชน์ส่วนรวมสุข
ใครโกงชั่วต้องยึดทรัพย์จับเข้าคุก     บำบัดทุกข์บำรุงสุขปวงราษฎรฯ
๐นั่นคือเผด็จการดี                        ทำเพื่อพี่น้องไทยได้สุขสม
สร้างความยุติธรรมในสังคม            ให้แผ่นดินอุดมความดีงามฯ
๐เผด็จการแบบนี้เราเห็นด้วย            เพราะมุ่งช่วยปวงชนพ้นทุกข์ได้
นี่แหละคือประชาธิปไตย                 ประชาชนเป็นใหญ่ไม่กลัวมารฯ
๐อีกเผด็จการหนึ่งซึ่งชั่วชาติ             ใช้อำนาจกวาดล้างความดีสิ้น
งก โลภ โกง ปล้นชาติ ขายแผ่นดิน    มุ่งโกยกินกดขี่ฆ่าประชาชนฯ
๐สร้างแต่ความทุกข์ยากทุกย่อมย่าน   เผด็จการต่อคนดีบีฑาทั่ว
บีบบังคับประชาชนให้หวั่นกลัว           ชูโจรชั่วบ้าอำนาจผลาญชาติพังฯ
๐ร่างกฎหมายเพื่อปล้นสะดมสิ้น         คอร์รัปชั่นโกงกินโหดหินยิ่ง
บังคับสื่อบิดเบือนความจริง               ทำทุกสิ่งเพื่อข่มขืนประเทศไทยฯ
๐นี่คือเผด็จการร้ายของนายทุน          มีตำรวจ ทหารเป็นสมุนโลภร้าย
มีทั้งศาล คุกตะรางอันตราย              สร้างแต่ความฉิบหายให้บ้านเมืองฯ
๐เผด็จการแบบนี้เราต่อต้าน              ต้องคัดค้านโค่นล้มมันให้สิ้น
ปลุกพี่น้องทุกรูปแบบทั้งแผ่นดิน        กวาดล้างมารถทมิฬให้สิ้นไปฯ
๐ระบอบเสรีประชาธิปไตย                ที่โลกใช้ปกครองทุกวันนี้
หากเราไตร่ตรองดูให้ดี                    เราจะเห็นทุนอัปรีย์มันครอบงำฯ
๐มีแต่ทุนคลั่งบ้าครองอำนาจ            ธรรมชาติถูกสูบสิ้นแผ่นดินฉิบหาย
วิกฤติการโลกร้อนอันตราย               ทั้งโลกต้องวุ่นวายเพราะใครกันฯ
๐เพราะว่าทุนเสรีปีศาจร้าย                ข่มขืนโลกจนวอดวายไปทั่ว
คนน้อยนิด งก โลภ บ้า เห็นแก่ตัว       บูชาเงินร้ายชั่วปล้นโลกเราฯ
๐มันชูลัทธิเสรีนิยมคลั่ง                   เพื่อมันนั่งโกยโกงอยู่โยงพลาญ
กำหนดโลกเดินตามคำบงการ            ฝูงทุนมารมุ่งฆ่าประชาชนฯ
๐เสรีมีเพื่อนคนไม่กี่คน                    ประชาชนจนยากค่อนโลกนี้
เพราะระบบทุนนิยมเสรี                    มันกดขี่ขูดรีดจนซีดโซฯ
๐ล้างสมองด้วยสื่อจนงงโง่                ปัญญาชนหัวโตมีแต่ขี้
แยกไม่ออกความจริงความดี              ยอมให้ปีศาจทุนหมุนโลกไปฯ
๐การศึกษาเพื่อสนองตันหาเถื่อน        รู้มากจนเลอะเลือนไร้สติ
อ่านตำรามากเกินไปไร้เริ่มริ              มิรู้หนทางออกหลอกตัวเองฯ
๐ประชาธิปไตยไม่เคยมี                   หากฝูงปีศาจทุนขุนทหาร
รวบอำนาจชั่วร้ายเผด็จการ               เพื่อล้างผลาญสังคมล่มมลายฯ
๐ประชาธิปไตยไม่มี                        หากพี่น้องต้องอยู่อย่างขลาดเขลา
ถูกอำนาจโฉดฉนมันมอมเมา             โลกจึงเน่าเศร้าหมองนองน้ำตาฯ
๐เสรีภาพคือหลุดพ้นจากมารชั่ว           ประชาชนตื่นตัวลุกขึ้นสู้
ด้วยสองตีนมือหนึ่งสมองไตร่ตรองดู    มีความรู้ชูกำปั้นสร้างสรรค์เอย๚ะ๛

------------------------------------------
วสันต์ สิทธิเขตต์
๗ ตุลาคม ๒๕๔๙

 

 

+ บทกวี - วิถีข้า
-๑-
อาจเป็นหนึ่งวิถีที่ข้าด้น                      มีหรือไม่เหตุผล แห่งปรารถนา
ข้าแสวงหนทางบางเวลา                    อาจสายตาที่มองไม่ต้องตาม
อาจจะใช่ในวิถีที่ข้าเลือก                   อาจเทือกเถาเหล่ากอของข้าห้าม
และใครใครต่างจิตล้วนคิดปราม          เสมือนกั้นลวดหนามระหว่างกัน
ข้าอาจเป็นหนึ่งดาวในหลายดวง           ข้าอาจเป็นหนึ่งห้วงในหลายฝัน
ข้าอาจเป็นหนึ่งพราวของดาว – จันทร์   ข้าอาจเป็นหนึ่งวันของหลายปี
ข้าอาจเป็นหินหินแห่งภูผา                  อาจเป็นหนึ่งศาสดาในหลายที่
ข้าอาจเป็นหนึ่งค่าบรรดามี                  ข้าอาจเป็นบทกวีในหลายตอน
เถอะวิถีแห่งข้าใช้บ้าบอด                   ท่านอย่าเพิ่งเง้างอดทำขอดค่อน
ข้าและท่านต่างแข่งแสดงละคร          ใช่หรือไม่ลองย้อนก่อน – คำนึง
แท้แล้วข้าอาจเลือกหนึ่งวิถี               แท้แล้วท่านอาจมีวิถีหนึ่ง
เพื่อทอดเท้าก้าวไปในตราตรึง            และเพื่อถึงเส้นชีวิตลิขิตวาง
อาจจะใช่ท่าน – ขำทำหน้าที่              แหละบางทีอาจล้นคนเข้าข้าง
แหละบางทีท่าน – ข้าอาจราร้าง          หนึ่งหนทางอาจแคว้งวังเวงวน
อาจจะใช่ท่าน – ข้าฝ่าวิถี                   อิสระ – เสรี ในบางหน
บางห้วงกาลท่าน – ข้าอาจมืดมน          บางสายฝนหล่นปลอบอาจชอบใจ
เราต่างมีวิถีเสมอเหมือน                     เราต่างเป็นผองเพื่อนร่วมสมัย
เราต่างสุข – โศก – เศร้า เคล้ากันไป    เราต่างเวี่ยว่ายวัย – ในอัตตา

-๒-
อาจเป็นหนึ่งวิถีที่ข้าด้น                       อาจบางคนมองว่าข้าบิ่นบ้า
อาจบางคนเย้ยหมิ่นสิ้นศรัทธา              อาจด้านชามองผ่านการกระทำ
หนึ่งถ้อยคำที่เอ่ยเฉลยตอบ                 อาจจะชอบหรือไม่ชอบ – ตอบขำขำ
ชั่วชีพหนึ่งเกิดมาข้าขอกรำ                  กลั่นกรองคำชุบโลกให้งดงาม๚ะ๛  

------------------------------------------
พจน์ พันธา


 


+ สามแก้ววิเศษ

สามแก้ววิเศษสำคัญแห่งชีวิต             ผ่องพิศเพริศแพร้วให้เสาะถาม
ใครห้วงครองต้องอุตส่าห์พยายาม       สามดวงมณีประเสริฐคือสิ่งใด
ดวงหนึ่งคือความคิดจินตนาการ          จักบันดาลให้โลกสว่างใส
ทางเดินทอดยาวมีทางไป                  มีแล้งไร้มีสุขสมมีโศกตรม
ดวงสองคือการอ่านประสานคิด           อ่านความรู้ความถูกผิดความหวานขม
อ่านคนอ่านตัวตนไม่งายงม                ชื่นชมศิลปาวิทยาการ
ดวงสามคือศิลปะการขีดเขียน             พากเพียรก่อประโยชน์ไพศาล
เรื่องราว,มนุษย์ – เวิ้งจักรวาล             ลำดับการณ์สานต่อด้วยตัวหนังสือ
 ประกายไฟจุดก่อต่อเติมฝัน               ชูหลักคิดร่วมกันมั่นยึดถือ
คุณค่าวรรณกรรมนี้ร่ำลือ                    มุ่งฝึกปรือบุกรุดทะยานไป
เราจักบุกฝ่าไปทางเบื้องหน้า               คว้า – ยึด – ครอง,มณีแห่งยุคสมัย
ให้ปล่อย – เปล่ง,รัศมีศรีวิไล               ส่องชีวิตสร้างชาติไทยให้เรืองรอง๚ะ๛

------------------------------------------
ปรีดา ข้าวบ่อ
กองทุนศิลปินครูบ้านป่า สลา คุณวุฒิ

 

 

กาพย์โคลงฉันท์วรรณศิลป์

ร้อยรักอักษรกลอนศิลป์     เสพสร้างศิลปิน
ฤาแล้งไร้ในสยาม
รูปรสหมดจดงดงาม           ในตรีภพสาม
แต่สรวงดวงดาววาววับ

กาลกัปกัลป์หนึ่งน้อย         ฤาไฉน
หอมกวีคำรินไหล              หลั่งถ้อย
ช่างสิบหมู่อยู่ไหน              ศิลปะ
เป็นหนึ่งเดียวใดด้อย          ต่ำพื้นภพผืน

ดกดื่นดาวดอกไม้              ช่อหอม
เด็ดดอกดาวดมดอม           ดื่มซึ้ง
น้ำค้างห่มฟ้าหลอม            หยาดร่วง
ดุจหนึ่งหยดน้ำผึ้ง               ร่วมสร้างเกสร

อักษรสาส์นเสริภาพบ่วายระยะจะสาง
แสงเงินสิเดินทาง              จะถึง
ดกอดวงดาวระดะดวงสะพรั่งพิริยะดึงส์
เพียบพริบระยิบพึง             ฤทัย๚ะ๛

------------------------------------------
กฤษณพล ศรีบูรพา

 


 
+ สิบสี่อีกครั้ง 
   ฉบับไอ้หนุ่มบ้านนอก


ร้าง “ลานรักลั่นทม” ระทมทุ่ง
ร้าว “ลานเทสะเทือน” รุ้งทุ่งร้องไห้
ยิ่ง “รักแล้งเดือนห้า” สะสาใจ
จำ “ฝากดิน” ฝังไว้กับวันวาร

แห่ง “ลูกทุ่งคนยาก” วิบากกรรม
“รักร้าวหนาวลม” ซ้ำซึ่งสงสาร
แหละ “ด่วน บ.ข.ส.” ก็ “ซมซาน”
หอบหัวใจ “ไกลบ้าน” ไปแบกปูน

ฟัง “นักร้องบ้านนอก” ในซอกตึก
ให้ระลึก “ทุ่งร้างนางลืม” สูญ
เหมือน “มนต์รักลูกทุ่ง”  ไม่จำรูญ
แหละ “มนต์รักแม่น้ำมูล” ไม่จำเริญ


“ไอ้หนุ่มบ้านนา  หน้าตามันดำเหมือนถ่าน...”
“คิดถึงบ้าน”  ห่วงหาระหกระเหิน
แว่ว “สิบสี่อีกครั้ง” ฟังเพลินเพลิน
อาลัยเนินรักกระโดนโนนกะเดา

ลาอดีตแห่งหน “ฝนเดือนหก”
อ๊บอ๊บอ๊กกบร้องทำนองเศร้า
สูด “กลิ่นโคลนสาบควาย” ใต้ฟ้าเทา
ไม่มีเจ้า “บ้านนาสัญญารัก”


ยังแบกปูนไปโบกตึกผนึกบ้าน
ต่อห้างร้านให้เขาอยู่ดูสูงศักดิ์
คง “ข้าด้อยเพียงดิน” เดือดดิ้นนัก
แบกกรรมหนักกำไฉนไม่รู้แบ

วัยสี่สิบมิอาจมี “สิบสี่อีกครั้ง”
เฆี่ยนความหลังแปลกแปลบแสบรอยแผล
ยัง “ร้องไห้กับเดือน” เหมือนผู้แพ้
ไยรังแกแต่ข้า?...ชะตากรรม!

------------------------------------------
ไพวรินทร์  ขาวงาม
จันทร์  ๓๐  ตุลาคม  ๒๕๔๙
* ขอคารวะทุกเจ้าของเพลง...หยิบมาร้อยเรียงด้วยรื่นรมย์

 

 

+ แด่สาวหนุ่ม

เหมือนแสงสาดส่องขึ้น        ขอบสรวง
เด่นดุจดาวแสนดวง             เด่นหล้า
ราวโลกจรดสนามหลวง        ลืมหลับ
เฉกเช่นกาลผ่อนช้า             ผ่อนเช้าตะวันฉาย

รายรอบรายอร่ามเรื้อง          รายหาญ
ทุกที่ที่ทุกฐาน                    ถ่องถ้วน
ฉาบวัยเชื่อมวันวาน              ฉวยกระหวัด
แลโลกทั้งโลกล้วน              เคลื่อนแล้วครองฉลอง๚ะ๛

อิทิสังฉันท์ ๒๐

มาเถอะมาลุภารกิจ,ประคอง–
ประคับวิถีวิธีก็ตรอง           ตระเตรียมตัว
อุปสรรคจะหนักจะหนา,จะกลัว–
อะไร,ผิว์ทางจะร้างสลัว      ก็ลัดหน
เดินและเดินเผชิญวิกฤติวิกล
มิท้อมิถึงมิพึงจะย่น-          ระย่อเดิน
ยุคสมัยไสวมิใช่เผอิญ
เพราะเธอสิมั่นมิสรรเสริญ    อสัตย์ทราม๚ะ๛

กาพย์โกสุม ๒๔

เห็นเช่นนั้น  วันผ่านปี
เห็นเช่นนี้  ที่ผ่านตาม
เห็นทุกครั้ง  หวังวอมวาม
เห็นส้นหลาม  งามสดแสง

โดยโลกสวย  ด้วยฟ้าใส
โดยน้ำใจ  ไม่เคลือบแคลง
โดยสัญญาณ  สานสืบแรง
โดยฝังแฝง  แกร่งเหยียดยาว๚ะ๛

หากเธอไหนไม่นำจิตสำนึก
สิ้นรู้สึกแรงสุมแห่งหนุ่มสาว
ไม่กุมแน่นแก่นเหนียวแกนเหนี่ยวน้าว
ย่อมถึงคราวตีขลุมเฝ้าคลุมเครือ
จงมองฟ้าหาฝั่งเห็นทั้งฟ้า
โผขึ้นฝ่าไฟฝันใช่ฟั่นเฝือ
หากเสียเนื้อเพื่อหนี้ต้องพลีเนื้อ
รู้พลีเพื่อทุกผู้เพื่อรู้พลี
ฝ่าไปเถิดเปิดทางเสริมสร้างฐาน
เติมสายธารศรัทธาต่อหน้าที่
ถือทำดีที่ด่ำดื่มธรรมดี
แม้ผลไม่ใคร่มียังพลีมัน
เห็นไหมโน่นโพ้นหน้าเหนือฟ้าโน้น
ใจจักโชนใจเชิดใจเฉิดฉัน
เป็นใจเกื้อเอื้อตระกองใจของกัน
จึงใจนั้นสว่างในหัวใจนัก ๚ะ๛

------------------------------------------
คมทวน คันธนู
   

 

 
+ เพลงร้องของเรา (ข่าวในประเทศ)

ที่สุด
ความคลุ้มคลั่งถูกยั้งหยุดอีกหมุดหมาย
คำท้าทาย ตอกย้ำคำท้าทาย
ว่าวาระสุดท้าย ไร้วาระ!

ที่สุด
ความตะกละจะสะดุดหมุดกักขฬะ
มอบทุกความพ่ายแพ้แก่ชัยชนะ
ทุกอวดโอ่--โมฆะกะพริบตา

ที่สุด
ความมืดหนึ่งถึงจุดความเจิดจ้า
ไหวไหว หวานหวาน ละลานตา
ลันล้า ลันลา ละลานใจ

ที่สุด
ซ่อมซ้ำที่ชำรุด ปักหมุดใหม่
พลิ้วเพลงเผชิญเดินทางไกล
ลันไล้ ลันไล ไปขอบฟ้า๚ะ๛

------------------------------------------
ศิริวร แก้วกาญจน์

 

 

+ รัก

ผมไม่ใช่คนแปลก – แต่แปลกคน
สัปดนไปรักลูกสาวเขา...
ทั้งที่รู้ตัวของเรา...
เป็นได้เพียงข้าวเม่าและเหล้าโท
เมื่อรักเกิดขึ้นมาในใจรัก
ผมจึงจักต้องตามง้อจนโมโห
เธอเชิดหน้าตาค้อน – โต๊โต
โอ้! โฮ ! รักคุดสะดุดแล้ว๚ะ๛

------------------------------------------
ไชยา วรรณศรี

 

 

+ ทะเล-ฉันรักเธอ

ทะเล-ฉันรักเธอ                       รักเสมอแม้คลื่นจะครืนคลั่ง
จะกลืนเรือกลบฟ้าโหมบ้าพลัง     หรือโถมสาดหาดพังก็ยังรัก
แม้น้ำตาใครร่วงไม่ห่วงหา           ฉันเชื่อเธอใช่นักฆ่า-แผ่นฟ้าประจักษ์
แม้ใครมืดหนทางอ้างว้างนัก         ฉันเชื่อแสงส่องทักสักครั้งคราว
ทะเล-ฉันรักเธอ                        หลงละเมอเหมือนใจไข้เจ็บหนาว
เพียงวักน้ำสักวัก-อุ่นรักวาว          เหมือนถ้อยแสงแห่งดาวลูบโลมใจ
โน่นคือเส้นขอบฟ้าลวงตาโลก      ฉันรู้เธอเศร้าโศกทุกเคลื่อนไหว
เธอไม่เคยลวงฟ้าลวงตาใคร        เพียงบอก "หวัง" ยิ่งไกลยิ่งกลับกลาย
ทะเล-ฉันรักเธอ                        รักตั้งแต่แรกเจอเลิศเลอหลาย
เธอยังนิ่ง-ยังคลั่ง-ยังท้าทาย        ให้ค้นหาความหมายเสมอมา
ฉันรักใครคนหนึ่งซึ่งคล้ายเธอ      รักตั้งแต่แรกเจอจนเพ้อบ้า
ช่วยรักฉันแทนเขาแทนเงาตา      ได้ไหมเธอ, เพื่อค่ามหารัก
ทะเล-ฉันรักเธอ                        ทุกถ้อยคำพร่ำเพ้อละเมอหนัก
นั่นคลื่นสาดหาดทรายมาทายทัก   บอกว่าโลกนี้มักจะปวดร้าว
ฉันจะทำอย่างไรในชีวิต              ให้เธอรู้สักนิดว่าเหน็บหนาว
ให้เธอโอบกอดฉันฝันยืนยาว        แต่อย่าโยนคลื่นพราวขึ้นกลืนกิน๚ะ๛

------------------------------------------
กานติ ณ ศรัทธา

 

 

+ เกิดวันที่ 6 ตุลา 2519

๏เมื่อสายใยในชาติขาดสะบั้น         สิ้นสายครรภ์มาตุคามไร้ความหมาย
ก่อนกำหนดกฎกำเนิดเกิดเพื่อตาย   เพียงลิ่มเลือดเละร้ายคล้ายเศษคน
ร่างทารกอัปลักษณ์ทะลักหลุด        ซากมนุษย์ที่ชีวิตถูกปลิดปล้น
ประจานเหตุประเทศนี้เกิดวิกล         เกลื่อนถนนก่นสังหาร...ลูกหลานใคร ?
เป็นตราบาปคราบบ้าที่ปรากฏ          ประทับรอยอัปยศครั้งยิ่งใหญ่
ภาพนรกหกตุลาจึงพร่าไป              (สะดวกใจถ้าไม่ต้องเหลียวมองดู)
หากทารกหกตุลายังเหลือรอด         เด็กที่คลอดกลางลานประหารหมู่
กระสุนกราดสาดสั่งเสียงพรั่งพรู      สอนให้รู้หลังตระหนกหกตุลา
เป็นวันเกิดที่มากับการดับสิ้น           ต้องขาดวิ่นสูญวัยไร้เดียงสา
น้ำตาหยาดหมาดแล้วในแก้วตา        เมื่อแผ่นดินมารดากระด้างเกิน
เติบโตและแตกต่างอย่างแกร่งกร้าว  ปวดร้าวคราวปะทะระหกระเหิน
ดาวศรัทธาที่ส่องสร้างเส้นทางเดิน    ร่วงลับเนิน...ฝังสหายอีกหลายคน
คือตำนานเดือนตุลา (ถ้าจะนับ)        ยี่สิบเจ็ดปี... ที่เกิดดับยังสับสน
ยี่สิบเจ็ดปี... ที่คนขลาดพิฆาตคน      และวิญญาณวีรชนยังวนเวียน
ใครคือ "คนตุลา" ? ... อย่าถามไถ่    ถ้าโลกไร้ซึ่งศรัทธากล้าพูดเขียน
ประวัติศาสตร์ขาดหน้าในห้องเรียน    รอแสงเทียนแห่งปัญญามาส่องทาง

๏ยี่สิบเจ็ดปี... นิรนามสนามรบ         กี่ร้อยศพกลบหายในความว่าง
เพียงรำลึกรอยอดีตเอาหรีดวาง        ทับรอยจางสีเลือดเหือดไร้รอย...๚ะ๛

------------------------------------------
จิระนันท์ พิตรปรีชา

พิมพ์ครั้งแรกมติชนสุดสัปดาห์ ๗ ต.ค. ๔๘

 

 

+ บ่าย, ลม, บ่ม, ร้อน

๏พฤษภาฯ ตีนดอยยังรอยแดด    ทางก้าวยังผ่าวแผดคล้ายแดดเผา
พยากรณ์ข่าวล่าว่าฝนเกลา          อยู่ไกลโน้นกล่อมเฝ้าให้ฟ้าเย็น
นิ่งนั่งฟังลมที่บ่มร้อน                 ใจหวิวปลิวว่อนต่อความเห็น
รู้สึกนึกช้ำในจำเป็น                   รักเอยซ้อนเซ่น บูชารัก
ไม้หยอกดอกลมที่บ่มร้อน          ใจเอ๋ยบางตอนก็แสนหนัก
ต่อพันธสัญญาชะล่าทัก             เงื่อนไขอะไรนัก คิกเอาเอง
ประมาณเกินประเมินผิด ปริศนา   ยังสุ้มเสียงเดียงสา กลับรีบเร่ง
พยากรณ์ชีวิตคิดเป็นเพลง          จับจังหวะบรรเลง ไม่แม่นยำ !
พฤษภาฯ เพ่งดอย เห็นรอยดึก     เห็นซับซ้อนยิ่งรู้สึกต้องก้มต่ำ
โอหังย่อมพลาดท่าชะตากรรม      หลั่งลึกผนึกช้ำไปอีกนาน

๏...ปลิวกลีบแห่งบางดอกระลอกลม   ฝุ่นกลางดอกซึ่งสะสมสิ่งหอมหวาน
ว่อนไหวไม่รู้เห็นเป็นวันวาร               และเหน็บหนาวร้าวราน กลางร้อนรุม๚ะ๛

------------------------------------------
พจนาถ พจนาพิทักษ์

 

 

บูรพานที : สายน้ำแห่งชีวิต

๏กระทบ ณ แผ่นพลิ้ว
เป็นคลื่นริ้วและตีฟอง
แผ่นน้ำทั้งฟากสอง
ก่อกำเนิดอารยะ

๏แก่งหินตระการฟ้า
ขุนห้าวท้า - ปเทสะ
ข้ามขุนห้วงโอฆะ
คระหึ่มโหม ณ กาเล

๏เชื่อมโยงทุกแคว้นด้าว
ทอดรุ้งพราว - เพลงกล่อมเห่
ลำนำอุษาคเนย์
อตีเต – ปัจจุบัน

๏สืบสายและสืบสาน
ก่อตำนานอเนกอนันต์
ร่วมพงศ์สืบเผ่าพันธุ์
และแบ่งปั้นเสมอมา

๏สามสาวสายนที
น้ำแยงซีบูรพา
สาละวินสามฝ่ายฟ้า
โขงล่องมาอุษาคเนย์

๏สายน้ำแห่งชีวิต
ผจงจิตจำนรรจ์เสน่ห์
ร้อยสร้อยร้อยสายเปล
ร้อยผู้คนสุวรรณภูมิ๚ะ๛

------------------------------------------
มหา สุรารินทร์
กลางลำน้ำหลางซาง เชียงรุ่ง – สิบสองพันนา
*ขอบคุณ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ที่เอื้อเฟื้อการเดินทาง

 

 

+ เธอเสกก้อนเลือดกลมกลม ให้เป็นลมที่หายใจ

เธอคือนางฟ้า                  เธอมาจากดาวใด
จากดินแดนแสนไกล         มาเดินดินในดวงแด
เธอคือนางฟ้า                  ดวงตาเธอเผื่อแผ่
เปี่ยมรักมิผันแปร              มาดูแลปันดวงใจ
เธอคือนางฟ้า                  เธอมากล่อมหินเอนไหว
เธอมาแกว่งเปลโอนไกว     ด้วยสายเลือดในน้ำนม
เธอคือนางฟ้า                  เธอมีคาถาอาคม
เสกก้อนเลือดกลมกลม     ให้เป็นลมที่หายใจ
เธอคือนางฟ้า                  กลับมาสู่ดินได้ไหม
อย่าเหินฟ้าหายวับไป         หนูหนูร้องไห้อยู่ไหนนางฟ้า...๚ะ๛

------------------------------------------
“กุดจี่” พรชัย แสนยมูล

 

 

+ ผู้ใหญ่

ผู้ใหญ่ใช่จะใหญ่เพียงวัยผ่าน         ความคิดอ่านควรเป็นเช่นผู้ใหญ่
มีมุมมองแหลมคมอย่างสมวัย        เป็นหลักให้ผู้น้อยได้คล้อยตาม
มีใจกว้างกังกระแสมหาสมุทร         มีปัญญาเป็นอาวุธสุเกรงขาม
ให้โอกาสเพื่อนร่วมงานคืบคลานตาม จึงจะงามสมผู้ใหญ่ใช่เพียงคำ
ส่งอกระจกสะท้อนริ้วเป็นทิวแถว    ไม่พราวแพรวแจ่มใสเพราะใกล้ค่ำ
เห็นผู้ใหญ่ในกระจกไม่ดกดำ          จึงจดจำคำผู้ใหญ่ในแววตา
อาวุโสโตขึ้นไม่ทึนทึก                   ด้วยตรองตรึกใช้สติดำริว่า
ถึงชีพชนม์พ้นผ่านกาลเวลา            ก็ได้มาครันครบประสบการณ์
มีเมตตาอยู่ในใจไร้ปมด้อย             จะสุขมากสุขน้อยให้ลอยผ่าน
เหมือนหอกทวนซัดซ้ำจนชำนาญ     ลดอาการตื่นตระหนกเลิกตกใจ
ผู้น้อยเขาไม่ได้มาเพื่อท้าแข่ง         ยังไม่แกร่งเขามาอยู่กับผู้ใหญ่
หวังได้เสพศึกษาวิชชาลัย              เข้าเสริมเหล็กหัวใจเพื่อใหญ่โต
แม้สังคมเปื้อนปนที่ชนชั้น              แต่แบ่งกันที่ปัญญาอาวุโส
อาจร่ำรวยสวยหรูดังตู้โชว์               ความเติบโตเป็นผู้ใหญ่อยู่ในที
สังคมไทยผู้ใหญ่สำคัญยิ่ง              อำนาจจริงเหนือชะตาและราศี
วอนผู้ใหญ่วานผู้น้อยอย่างถ้อยที      สร้างศักดิ์ศรีสังคมอย่างสมควร๚ะ๛

------------------------------------------
จักรภพ เพ็ญแข

 

 

+ วิถี กวี – อนะคาตะ พุทธะปัจเจกะบุคคะโล
(เรามีปรารถนาการเกิด – ดับ:นั้น เราชาติพันธุ์กวี)

เมื่อเราต่างยังมิรู้                           เราต่างเฝ้าดูชีวิตวิถี
ผู้คน-สัตว์สรรพชี-                         วิตเคลื่อนทิศ-ที่ทุรนทาง
เมื่อเราต่างยังไม่รู้                          เราค้นหาครูผู้สั่งสร้าง
เมื่อเราครุ่นคิดทุกทิศทาง                เราจึงเริ่มอ้างว้าง-วิธี
โดยเราจึงยังต่างไม่รู้                      เราว่ายเวียนอยู่บนวิถี
เพื่อสิ่งใดอันเกิดมี                         หรืออยู่เป็นเช่นนี้จนดับไป
เราจึงต่างสับสน                            และทุรนหวั่นไหว
เกิดมาเพื่อหาใด                            หรือเพียงรอการดับไป-เช่นนั้น
เมื่อเราบอกว่าเรามิใช่                     เพียงการมาแล้วจากไป-เฉกผัน
เรามิเคยหลับ-เราจะตื่นได้อย่างไรกัน   เรามิเคยผันแต่เราจริง
เราจริงในสิ่งที่                               ผู้คนมองว่ามิมีในบางสิ่ง
เราเคลื่อนไหวคล้ายมิไหวติง            เราสงบนิ่งนั้นแท้นัยเราไหววน
เราเริ่มเคลื่อนวิถีวิธีชีวิต                   ว่าเรามิเฝ้าคิดแต่สับสน
เรามีเราในเรามีตัวตน                      และในตนตัวตนไม่มีเรา
เราไม่มุ่งแสวงตามแรงโหย               เราอยู่โดยแสวงตามแรงเร่า
เราจึงเริ่มมี(กวี)และไม่มีเรา               บนความขลาดเขลาเราไม่มี
เราจึงเริ่มทิ้งความจริงที่ปลอมเปลือก   แล้วต่างเราจึงเลือกดำเนินวิถี
ประกาศตนว่าเราสามัญไม่ยึด-มี         เกียรติและกามกินเกินพลดี-ไม่ช่วงชิง
เราจึงต่างเติมย่ามเต็มสัมภาระ           ปลดวางขยะวัตถุบ้า – และบางสิ่ง
เรามิได้มาประกาศตนว่ากวีมีอยู่จริง     แต่ซากที่เรามุ่งทิ้งคุณมุ่งทำ๚ะ๛
(แต่ซากที่เรามิทิ้งนั้นคุณธรรม)

------------------------------------------
ก่องแก้ว กวีวรรณ

 

 

+ เมียนักมวย

ชิชะชะ! เจ้าชู้หาอีหนูกก              มันต้องชกซ้ายขวาให้หน้าหัน
กลับถึงบ้านบ่นเหนื่อยสารพัน       วันทั้งวันทำงานที่โรงเรียน
หน้าไม่ยิ้มงานไม่ช่วยด้วยซะอีก    คิดหลบหลีกอาหารบ้านมันคลื่นเหียน
อยากกินร้านมีอีหนูเดินแวะเวียน    มาคอยเปลี่ยนแก้วเหล้าเอามาวาง
หรือบางวันเดินทนจนค่อนแจ้ง      ให้หมดแรงเหนื่อยอ่อนตอนรุ่งสาง
อุตส่าห์หาไข่ลวกเอามาวาง          เพิ่งพลังหาได้ตั้งไว้รอ
ผ้าก็รีดลูกเลี้ยงไม่เลี่ยงหลบ         อยากจะพบความสุขลูกแม่พ่อ
เธอไปไหนฉันก็ห่วงและเฝ้ารอ      อยากจะขอร้องเธอกลับแต่วัน
ก็ได้แค่บอกเธอนับไม่ถ้วน           เธอว่ากวนใจจริงตำหนิฉัน
แถมประพฤติเช่นนี้เกือบทุกวัน      ทำให้ฉันเปลี่ยวใจได้บทเรียน
ชิชะชะ! มันต้องขึ้นศอกเข่า         ไม่ต้องเมาเพราะเหล้าให้ปวดเศียร
จระเข้ฟาดหางเสยหมัดเวียน         เอาให้เจียนกระอักเลือดให้เธอกลัว
ครอบครัวเจริญสุข เพราะมีเมียดุ...แล๚ะ๛

------------------------------------------
อำไพ ภูฆัง

 

 

+ เคยไหม

เธอเคยทำอะไรเอาไว้บ้าง             หรืออยู่อย่างคนที่ไม่มีค่า
เธอเคยคิดเพื่อใครไหมที่ผ่านมา     หรือรอคอยเวลาจะช่วงชิง
เธอเคยให้เคยหยิบยื่นคนอื่นไหม    หรือว่าไม่เคยยุ่งเคยสุงสิง
เธอเคยให้ใครรักหรือพักพิง           หรือคอยแต่จะทอดทิ้งทุกสิ่งไป
เธอยืนหยัดตัดสินใจเพื่อใครบ้าง     หรือคอยหลบข้างข้างอย่างเฉไฉ
เธอเคยมอบความหวังกำลังใจ        หรือคอยแต่ใส่ใคล้มิใยดี
เธอเคยหวังให้สังคมร่มเย็นไหม      หรือคอยใช้แต่กฎเข้ากดขี่
เธอเคยฝันถึงสันติวิธี                   หรือคอยที่แต่จะย่ำเข้าทำลาย
เธอเคยสร้างแบบอย่างไว้เพื่อใครบ้าง  หรือคอยถากคอยถางให้ฉิบหาย
เธอเคยแผ่เมตตาสาธยาย            หรือไม่เคยแม้ย่างกรายเข้าวัดวา
หากเธอคิดเธอทำเธอกำหนด        เธอย่อมงามหมดจดน่าคบหา
แผ่นดินนี้ที่เธอเรียกว่าชายคา        จะโอบอุ้มคุ้มชีวาน่ายินดี
เธอจะรู้อยู่เพื่อใครและใครบ้าง      เมื่อทุกอย่างเริ่มต้นจนถึงนี่
เพราะเมื่อรู้เมื่อเห็นความเป็นมี       ย่อมผูกใจเชื่อมไมตรีทุกที่ไป
ที่ผ่านมาเธอทำอะไรบ้าง              และอยู่อย่างมีค่าสักแค่ไหน
ถ้าเคยคิด – เคยทำเพื่อใครใคร      เธอย่อมเป็นคนดีได้อย่างแน่นอน๚ะ๛

------------------------------------------
อนุวัฒน์ แก้วลอย

 

 

+ แปลงอุดมการณ์เป็นชีวิต

คนดีเห็นพรหมก้มกราบ     คนบ้าทุบราบแหลกสิ้น
คนดีตีคนบ้าคร่าชีวิน         แล้วไหว้รูปจินตนาการไป
ใครดีใครบ้าท้าให้คิด         วัดถูกวัดผิดตรงไหน
คนดีเชื่อวิถีดีอย่างไร         คนบ้าตายได้ไม่ไยดี
คนเป็นเป็นใครรู้ไม่รู้          เป็นอยู่แบบไหนในทุกที่
คนตายตายได้หลายวิธี      ตายอย่างไรมีอุดมการณ์
อยากมีอยากได้อยากเป็น  วนว่ายเห็นเห็นในสงสาร
คนเป็นอยู่สั้นสั้นแค่วันวาน  คนตายอยู่นานเนิ่นไป
คนเป็นสั่งสอนคนไม่เป็น    ไม่เห็นสั่งสอนตัวเองได้
คนเป็นคนดีมิใช่ใคร          อย่างน้อยมิใช่คนเดียวกัน ๚ะ๛

------------------------------------------
อารักษ์ คะคานาท

 

 

+ ค่ำคืนที่โลกยังโศกเศร้า


ค่ำที่โลกโศกท้นอีกหนหนึ่ง
คืนที่ขาถูกตรึง-ดึงให้ถอย
เท้าทั้งสองต้องย้อนกลับเหยียบทับรอย
ก่อนหยุดนิ่งรอคอยอย่างเนิ่นนาน

กลางลำคลองน้ำครำให้ย่ำฝ่า
มากด้วยมวลเชื้อรา-พิษห่าฝน
พร้อมจะแพร่แผ่เชื้อเพื่อปลอมปน
เกาะกินจนเกิดดวงด่างทั่วร่างกาย

อีกครั้งหนึ่งถึงคราตั้งหน้ารับ
ยากขยับเท้าย่างวางจุดหมาย
แหงนมองฟ้ายังพบดาวพราวพร่างพราย
เปล่งประกายระยิบระยับจับฟ้าเดิม

ด้วยเหตุใด...ไยหนอจึงท้อจิต
ละความคิดเรื่องดำรงแรงส่งเสริม
สร้างกาย-ใจ ได้กำลังตั้งต้น,เติม
เร่งและเริ่มสืบเท้าก้าวต่อไป

ก้มหน้ามองคลองเน่า-น้ำเก่าแก่
ค้นทางแก้โรคเชื้อราดื้ออาศัย
กันฝนพิษอาจโปรยผ่านม่านสายใย
ปนเม็ดใสไหลลงตรงก้นคลอง

สกัดยาทาแผลที่แพ้พิษ
ฆ่าเชื้อร้ายตายสนิทปิดผยอง
มิต้องเกาให้ผิวพรรณนั้นพุพอง
พาลเป็นหนองอักเสบเจ็บเนิ่นนาน

คืนที่โลกโศกเศร้าเท้าหยุดนิ่ง
คงรอคอยใครรักจริงช่วยผสาน
เพื่อพรุ่งเช้ายังเป็นเช้าเราเบิกบาน
ได้เล่าขานผ่านโลกนี้...ด้วยชีวิต.

------------------------------------------
 “กอนกูย”

 


+ กล่อมไพร

๐ ระเบียง ใต้ฟ้าผาสูง
สุราจูงจิตล่องเหินหาว
เอนร่างพิงพนักดูดาว
พราวตากระพริบเต้นตามกัน

๐ ป่าร้องบรรเลงเพลงป่า
เหล่าสัตว์นานาขับขัน
ดุจเสียงดนตรีประชัน
กล่อมคลอคืนวันอันงาม...

------------------------------------------
xers
สงกรานต์ ๒๕๔๙ วังน้ำเขียว




บทร้อยกรอง

ไหว้ครูดนตรี
บทโคลงไว้อาลัย สมเด็จพระสังฆราช
บทกวีชุด "เจ้าผีเสื้อเอย" วีระศักดิ์ ขุขันธิน
บ้านกับหนังสือ
วัดราชโอรส
บทอาลัย สนาม จันทร์เกาะ
บทกวี พระเจนจีนอักษร ถวายพระพร กรมดำรงฯ
คมแห่งความคิดถึง เอนก แจ่มขำ
ร่มเกล้า
ปริศนารัก
พระธาตุหลวงเวียงจัน, ลาว-ไท มั่นยืน
问 诗 人ถามกวี
มองบทกวี (ทรรศนะวิจารณ์การเขียนกลอน) ๒
มองบทกวี (ทรรศนะวิจารณ์การเขียนกลอน) ๑
พระปิยมหาราชรำลึก
กรับไม้ลา อาลัยครูแจ้ง
กวีภาษาจีน ทองแถม นาถจำนง
บทกวีของ ประยอม ซองทอง
บทกวีไว้อาลัย ยอดรัก สลักใจ
ผังร้อยกรอง
อหังการคนข่าว
คู่บุญท่านสุนทร
เขียนให้น้อง article
กรุงเทพกำศรวล article
อายุสิบขวบ article
สิบสี่อีกครั้ง article



bulletผลร้อยกรองออนไลน์ 2558
dot
ประกวดร้อยกรองออนไลน์ครั้งที่ 7
dot
bulletข้อมูลการประกวดครั้งที่ 7, 2557
bulletผังร้อยกรอง
bulletอ่านโคลงประกวด 2557
bulletอ่านกลอนประกวด 2557
bulletอ่านกาพย์ยานีประกวด 2557
bulletผลการประกวดร้อยกรอง ปี 2557
dot
ข่าวสาร ข้อมูลสมาคม
dot
bulletกรรมการสมาคมสมัยที่ ๑๕-๑๖
bulletนายกสมาคมสมัยที่ ๑๗
bulletติดต่อนายกสมาคมนักกลอน
bulletติดต่อฝ่ายดูแลส่วนต่างๆ
bulletสมัครสมาชิกสมาคมนักกลอน
bulletนักกลอนตัวอย่าง ๒๕๕๓
dot
หัวข้อน่าสนใจ
dot
bulletรวมลิ้งค์เว็บไซต์น่าสนใจ
bulletส่งบทสักวา น.ส.พ. สยามรัฐ
bulletวารสารวิทยาจารย์ รับต้นฉบับ
bulletส่งข้อเขียนครูในดวงใจ
dot
แนะนำหนังสือ
dot
bulletหน้ารวมหนังสือ
bulletคู่มือเรียนเขียนกลอน
bulletกาสรคำฉันท์ - สมคิด สิงสง
bulletหนังสือสุรินทร์สโมสร
bulletฝากโลกนี้ไว้ในหัวใจเธอ - กอนกูย
bulletเลือน - อติภพ
bulletธาร ธรรมโฆษณ์
bulletนายทิวา
bulletกลอนเกียรติยศ
bulletอ้อมกอดแห่งท้องทุ่ง
bulletทองแถม นาถจำนง
bulletพงศาวดารพิภพ
bulletโป๊ยเซียน คะนองฤทธิ์
dot
โครงการประกวดต่างๆ
dot
bulletนายอินทร์อะวอร์ด ๒๕๕๖
bulletประกวดรางวัลซีไรท์ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลพานแว่นฟ้า ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลวรรณกรรมรามคำแหง ๒๕๕๖
dot
ผลตัดสินรางวัลต่างๆ
dot
bulletรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletผลรางวัลซีไรต์ ๒๕๕๗
bulletผลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ๒๕๕๗
bulletผลรางวัลแว่นแก้ว ๗ (๒๕๕๓)
bulletผลกลอนวิถีคนกับควาย
bulletผลร้อยกรอง “ผมจะเป็นคนดี”
bulletรางวัลนราธิป ๒๕๕๓
bulletนักเขียนอมตะ คนที่ ๖ (๒๕๕๕)
bulletนักเขียนรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletศิลปินมรดกอีสาน ๒๕๕๔
bulletผลรางวัลพานแว่นฟ้า ๒๕๕๕
bulletผลรางวัลรามคำแหง ๒๕๕๖
bulletศิลปินแห่งชาติ ๒๕๕๕
bulletผลประกวดหนังสือ ชีวิตใหม่ 2
dot
ข่าวคราวของลมหายใจ
dot
dot
Weblink
dot
bulletอ่านกลอนประกวด 2556

หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก
สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาภาษาไทย มศว
เว็บรวมกระทู้ อาศรมชาวโคลง ใน pantip.com
หนังสืออีศาน


Copyright © 2010 All Rights Reserved.
ติดต่อ นายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ทองแถม นาถจำนง
โทรศัพท์ ๐๘๙-๑๒๓๔๗๕๔ อีเมล์ tongtham.n@hotmail.com

สำนักพิมพ์แม่โพสพ