สุจิตต์ วงษ์เทศ:ศิลปินแห่งชาติ
โองการแช่งน้ำ แต่งเป็นร่ายกับโคลง สลับกันตามเนื้อความของโองการ
ร่าย เป็นกลอนแบบหนึ่ง มีเค้าต้นจากคำคล้องจองของผู้คนชนเผ่าเหล่ากอตระกูลไทย ลาว ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ก่อนรับศาสนาจากชมพูทวีป เรียกกลอนร่ายหรือภาษาร่าย ถือเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ของหมอผีหรือหมอขวัญ
โคลง ก็เป็นกลอนอีกแบบหนึ่ง เรียกกลอนลำ คำกลอนประเภทนี้ไม่ยึดถือสัมผัสคล้องจองอย่างกลอนเพลงของภาคกลาง แต่อาศัยจังหวะถ้อยคำและระดับเสียงสูงเสียงต่ำเป็นหลักล้วนๆ พบร่องรอยอยู่ในคำพูดประจำวันของประชาชนตระกูลไทย ลาวกลุ่มอีสาน ลื้อและลาว มีตัวอย่างอยู่ในคำคมหรือภาษิตที่เรียกกันว่าผญา
ภาษาลาว ในตระกูลไทย ลาว มีธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่ง คือคำคล้องจอง ที่จะมีพัฒนาการเป็นภาษาขับลำทำเพลง หรือเรียกง่ายๆ ว่าภาษาเพลงต่อไป แต่ที่สำคัญคือเป็นต้นเค้าฉันทลักษณ์ ที่จะเรียกต่อไปในวรรณคดีว่า ร่าย และ โคลง
ผู้คนในตระกูลภาษานี้ มีคำพูดคล้องจองกันสอดแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันเป็นธรรมดา ๆเช่น ทำไร่ไถนา, ทำมาหากิน, เป็นต้น เป็นหญ้าเป็นฟ้าเป็นแถน ฯลฯ แม้คำพูดว่า เฮ็ดไฮ่เฮ็ดนา,กินข้าวกินปลา, กินแลงกินงาย ฯลฯ เหล่านี้ก็นับเนื่องเป็นคำคล้องจองด้วยทั้งนั้น
ฉะนั้น ในคำบอกเล่าทั่วไปจึงมักมีคำคล้องจองสอดแทรกอยู่ด้วยเสมอ ดังพบในคำบอกเล่าเรื่องแถนและกำเนิดคนจากน้ำเต้าปุง ที่เป็นเอกสารเก่าแก่จดจากปากชาวบ้านโบราณกาล มีคำคล้องจองสอดสลับเป็นระยะๆ ตามธรรมชาติของคนบอกเล่าในตระกูลไทย ลาว เช่น สร้างบ้านเมืองลุ่มกินปลา เฮ็ดนาเมืองลุ่มกินข้าว,กินข้าวให้บอกให้หมาย กินแลงกอนงายให้บอกแก่แถน,ได้กินชิ้นให้ส่งขา ได้กินปลาให้ส่งรอย เป็นต้น
ในขณะบอกเล่าเรื่องราวที่มีรายละอียด จะมีบางตอนต้องเน้นต้องย้ำเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดความขลังและศักดิ์สิทธิ์กว่าตอนอื่น และเพื่อให้เกิดความรู้สึกสะเทือนใจหรือกระทบใจร่วมกันเป็นพิเศษ แล้วจดจำเป็นอาจิณตราบนานเท่านาน ตรงนี้แหละที่ผู้เล่าเรื่องจะผูกเป็นคำคล้องจอง ดังมีตัวอย่างอยู่ในคำบอกเล่าเรื่องแถน ตอนขุนบูลม (ขุนบรม) สั่งสอนแล้วแช่งลูกทั้งเจ็ดให้ประสบภัยพิบัติถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสอน ตรงนี้ต้องผูกเป็นคำคล้องจองมีว่า
๏เฮ็ดอันใดอย่าให้เป็น เข็นอันใดอย่าให้ได้ ปลูกไม้อย่าให้ทันตาย ปลูกหวายอย่าให้ทันล่อน ข้อม่อนอย่าให้รี ปีมันอย่าให้กว้าง เที่ยวทางให้ฟ้าผ่า เมือป่าให้เสือกิน ไปทางน้ำให้เงือกท่อเฮอฉก ไปทางบกให้เสือท่อม้ากิน มันแล
นานเข้า คำคล้องจองก็มีความสำคัญมากขึ้น เพราะในพิธีกรรมที่มีหมอเป็นหัวหน้า (คือหมอผี หรือหมอพร หรือหมอขวัญ ต้องท่องบ่นบอกเล่าความเป็นมาของเผ่าพันธุ์แก่โคตรตระกูลทั้งชุมชนเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้งในพิธีเลี้ยงผี (บรรพบุรุษ) ซึ้งต้องสร้างพลังให้เกิดความขลังและศักดิ์สิทธิ์เพื่อเข้าทรงร่วมกัน
พิธีกรรมอย่างนี้มีขึ้นในโอกาสพิเศษย่อมต้องการสิ่งพิเศษ เช่น ภาษามีลีลา สำนวน โวหารพิเศษ ที่ต่างจากภาษาพูดในชีวิตประจำวัน นั่นก็คือเพิ่มคำคล้องจองเข้ามามากกว่าปกติ แล้วกำหนดทำนองเมื่อทำพิธีกรรมนั้น ทั้งสองอย่างนี้เกื้อหนุนกันอย่างกลมกลืน คือคล้องจองทำให้เกิดทำนอง/หรือทำนองทำให้ต้องสร้างคำคล้องจองมากขึ้น
ผลอีกอย่างหนึ่งคือช่วยให้จำได้ไม่ลืมถ้อยความ เพราะยังไม่มีตัวเขียน ยังไม่ได้จดเป็นลายลักษณ์อักษร ต้องใช้ความจำเท่านั้น ต่อเมื่อมีตัวเขียนแล้วจึงจดไว้
ตัวอย่างเรื่องนี้มีในความโทเมืองของพวกผู้ไทที่มีหลักแหล่งอยู่ทางภาคเหนือของเวียดนาม คำว่า โท แปลว่าบอก,เล่า ฉะนั้นความโทเมืองตรงกับคำบอกเล่าความเป็นมาของเมือง (ต้นฉบับและคำอธิบายมีอยู่ในบทความชื่อความโทเมืองจากเมืองหม้วย โดย James R Chamberlain ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาถิ่นตระกูลไทย ลาว พิมพ์ในหนังสือรวมบทความประวัติศาสตร์ ของสมาคมประวัติศาสตร์ฯ ฉบับที่ ๘ :กุมภาพันธุ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๗๑ ๑๐๙.) ว่าดังนี้
จี่ก่อเปนหย้า ก่อเปนฟ้าท่อถวงเหด ก่อเปนดินเจดก้อน ก่อเปนน้ำเก้าแควปากแททาว
ฟ้าต่ำเซื่องหม้อขาง ฟ้าบางเอยื่องเปือกถ้วย ตำเข้ายังคุ้งสาก ตากเข้ายังคุ้งเพิง งัวดำไปคุ้งหนอก หมูผอกไปคุ้งดัง
ยามนั้นปู่เจ้าโซโค้มฟ้า จั่งตัดสายโบนให้หม้า ตัดสายฟ้าให้ขาด ฟ้าจั่งฮวาดเมือเหนือ จั่งเปนฟ้าเตมเหน เปนแถนเตมผ่อ
จั่งเอาสิบตาวหน้าห้าตาวโองแบ่นตามกันขึ้น ก่อเบ่าฮอด จั่งเอาซาวกองบายท่อแม่ช้างมาสืบตามกันขึ้น ก่อเบ่าฮอด
จั่งเอาสิบตาวหน้าห้าตาวโองแบ่งตามกันขึ้น ก่อเบ่าฮอด
จั่งเอาสิบเสียงด้องกับเก้าเสียงกองมาทับตามกันขึ้น ก่อเบ่าฮอดเบ่าเงิน
ยามนั้นโตสัดหนั่งเมืองลุ่ม ชู่โตชู่ฮู้ปาก ชู่โตทากฮู้จา ชู่โตหมูโตหมา ชู่ฮู้เว้าฮู้ว่า โตสัดหนั่งเมืองลุ่มจังเมืองก่าวเถิงแถน แถนจั่งแต่งแผบข้าโคนเมืองลุ่มเสิยเหมด
ยามนั้นฟ้าจั่งแล้งสีแสด แดดสีสาว งัวควายจั่งตายอยากอย้าบ่าวค้าตายห่างทาง เข้าอยู่ไฮ่ตายผอย หอยอยู่นาตายแล้ง แป้งอยู่สาควนโฮม มันอยู่ชุ่มตายเอ้า เป้าอยู่ป่าตายแขวน บ่าวเฮือตายอยากน้ำ
ยามนั้นปู่เจ้าโชโค้มฟ้า เอางูมาเอยิยด เอาเขิยดมาดอย เอาหอยมายดว่างเด้า แมงงวนมาเยดช่างปาด ปาหลาดมาเยดบ่าวชัว โนกถัวมาเยอดนางล่าม...
ในที่สุดคำคล้องจองเหล่านั้นจะมีพัฒนาการส่งสัมผัสแยกออกไปอย่างน้อย ๒ ทาง คือ กลอนส่งสัมผัสร่ายอย่างหนึ่ง และกลอนส่งสัมผัสเพลงอีกอย่างหนึ่ง ที่ปัจจุบันเรียกกลอนเฉยๆ
(คัดจาก พลังลาว ชาวอีสานมาจากไหน? ,สุจิตต์ วงษ์เทศ.ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ.พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ปรับปรุงจาก เบิ่งสังคมและวัฒนธรรมอีสาน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๔๑)