เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
คือจังหวะจะโคนแห่งโทนทับ
ทั้งฉิ่งฉับรับช่วงเป็นพวงพุ่ม
ทำนองถ้อยร้อยสอดเข้ากอดกุม
ค่อยโอบอุ้มชุมช่อลออองค์
คือกระจังตาอ้อยค่อยแตกช่อ
เป็นก้านต่อดอกช้อยลอยระหง
กนกเปลวปลิวไหวในวนวง
ละไมลงลึกซึ้งเป็นหนึ่งเดียว
คือองค์พระพิสุทธิ์พุทธรูป
กลางควันธูปเทียนเต้นเด่นโดดเดี่ยว
สงบวางวายกลายกลมเกลียว
ไม่เกาะเกี่ยวไม่คลายไม่เร่าร้อน
คือลำนำคำกลอนสุนทรภู่
คำกลอนครูคือศักดิ์แห่งอักษร
คือค่าทิพย์อาถรรพณ์นิรันดร
ประนมกลอนกราบกลอนด้วยกลอนครู
กลอนสุนทรภู่นั้นเป็น กลอนครู ถือเป็นพัฒนาการขั้นสูงสุดของกลอนไทย
ก็ว่าได้
กลอนที่ว่านี้ คือ กลอนแปด วรรคหนึ่งมีแปดคำเป็นหลัก เช่น
โอ้ยามค่ำย่ำฆ้องจะร้องไห้
ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย
เมื่อยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย
น้ำค้างย้อยเย็นฉ่ำชื่นอัมพร
แปดคำหรือแปดพยางค์ลงตัวนี่แหละเป็นหลัก ถึงจะเพิ่มพยางค์ลงไปบ้างแต่ก็ไม่เสียจังหวะแปด เช่น
หนาวน้ำค้างกลางคืนสะอื้นอ้อน
จะกางกรกอดน้องประคองขวัญ
เอาดวงดาราระยับกับพระจันทร์
ต่างช่อชั้นชวาลาระย้าย้อย
สองวรรคท้ายนี้มี เก้าพยางค์ แต่อ่านแล้วก็ไม่เสียจังหวะแปด
จังหวะแปดในหนึ่งวรรคนี้ แบ่งเป็นสามช่วงมีช่วงต้นสาม ช่วงกลางสอง
ช่วงท้ายสาม รวมแปดคำพอดี
สองวรรคที่ว่า เอาดวงดาราระยับกับพระจันทร์ ต่างช่อชั้นชวาลาระย้าย้อย
คำ -ราระยับ กับ ชวาลา ตรงนี้เป็นช่วงกลางวรรค การเพิ่มพยางค์ด้วยสระเสียงสั้น
คือ ระ กับ ช เช่นนี้ ทำให้ต้องอ่านรวบคำอยู่ในจังหวะแปดอยู่นั้นเอง
แม้บางทีจะเพิ่มช่วงท้าย ก็ยังไม่เสียจังหวะอยู่ดี เช่น เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา คำ จึงเจรจา นี่เพิ่มสระเสียงสั้นคือ ระ เข้าไป ไม่เสียจังหวะอยู่ดี
ลองไปอ่านกลอนสุนทรภู่ดูเถิดจะคงจังหวะแปดอย่างนี้ไม่พลาดเลยสักวรรค
จึงยกย่องกันว่า ท่านเป็น บิดาของกลอนแปด
ไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านี้กลอนไทยจะไม่มี กลอนแปด เพียงแต่กลอนโบราณท่านไม่ถือเคร่งแปดคำลงตัวไปทุกวรรคแบบท่านสุนทรภู่เท่านั้น
จังหวะกลอนนั้นกำหนดด้วย สัมผัส ดังตัวอย่างข้างต้น
โอ้ยามค่ำย่ำฆ้อง จะร้องไห้
คำ ค่ำ ย่ำ คำ ฆ้อง-ร้อง นี่แหละใช้สระเดียวกันเรียกว่า สัมผัส
สัมผัส บังคับให้ต้องอ่านเป็นสามช่วงจังหวะกลอนสุนทรภู่จะบังคับให้ต้องอ่านเป็นสามช่วงในแต่ละวรรคเสมอ เพราะท่านนิยมใช้คำสัมผัสชัดเจนแทบทุกวรรค
เพราะฉะนั้น จึงเป็นแบบฉบับให้หัดอ่านหัดเขียน กลอนไทย ได้เป็นหลัก
เรียกว่า ท่านสุนทรภู่มาจัดระเบียบกลอนไทยขึ้นนั่นเอง
ต่อนี้ไปใครจะเรียนเขียนกลอนหรืออ่านกลอนต้องเริ่มศึกษากลอนสุนทรภู่เป็นแม่แบบ
นอกจากจังหวะแล้วยังมีเรื่อง เสียง อีกเป็นสำคัญลองกลับไปอ่านกลอนสองบทที่ยกมาข้างต้นดูเถิดอ่านช้าๆ ดังๆ ก็จะสังเกตได้ถึงความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของเสียงอักษรที่ไพเราะสละสลวยยิ่งนัก
แม้อ่านในใจก็จะยินเสียงไพเราะอันอุโฆษอยู่ในใจ เช่นกัน
เสียงกับจังหวะนี่แหละก่อให้เกิดความไพเราะเป็นหัวใจของความไพเราะทีเดียว
ไม่เฉพาะกลอนเท่านั้น วรรณศิลป์ คีตศิลป์ คือทั้ง กาพย์ กลอนและดนตรี ต่างมีเสียงกับจังหวะเป็นเครื่องกำหนด ความไพเราะด้วยเหมือนกัน
พิเศษตรงที่อักษรไทยนั้น บังคับเสียงตายตัวด้วย ฐานเสียง และวรรณยุกต์
เพราะฉะนั้น กาพย์กลอนกลอนไทยจึงไพเราะด้วยเสียงสูงต่ำของอักษรอันมีอยู่แล้วเป็นพื้น
ความไพเราะเป็นความงดงามศิลปะสาขาอื่นนอกไปจากวรรณศิลป์และคีตศิลป์ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม และนาฏกรรม ก็ล้วนงดงามเฉกเช่นเดียวกับความไพเราะ ที่มีเสียงกับจังหวะเป็นตัวกำหนดเพียงใช้ศัพท์ต่างกันเท่านั้น
เช่น จิตรกรรมมีองค์ประกอบหรือการจัดวางและแสงเงา เป็นต้น
การจัดวางก็คือจังหวะ แสงเงาอันก่อให้เกิดน้ำหมึกก็คือ ความเหลื่อมล้ำอันเปรียบได้กับน้ำหมักเหลื่อมล้ำของเสียงอักษรหรือตัวโน๊ตดนตรีนั้นรอง
ศิลปะสาขาอื่นก็เฉกเช่นกันฉะนี้
มีจังหวะและมิติอันเหลื่อมล้ำ เป็นองค์ประกอบของความงามด้วยกันทั้งสิ้น
กลอนแปด กับ ทำนองดนตรีไทยนั้นลงตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดนตรีวรรคหนึ่งจะมีระเบียบแบ่งห้องจังหวะเป็นแปดห้อง เช่นเดียวกับวรรคกลอนที่แบ่งเป็นแปดคำ
กลอนแปดและดนตรีไทยนั้นลองเทียบกับลายไทยที่เป็นตัวกนกเครือวัลย์ก็จะประพิมพ์ประพายคล้ายกัน
เทียบแม้กับสถาปัตย์กรรมไทยทั้งที่เป็นเรือนไทยและพระอุโบสถที่อ่อนช้อยงดงามด้วยช่อฟ้าใบระกาและหางหงส์
จนชั้นองค์พระพุทธรูป เช่น พระปางลีลาหรือกระทั่งองค์พระชินราชในพระอุโบสถที่พิษณุโลกสองไปเพ่งพินิจดูเถิด ลางทีจะได้สดับอุโฆษอันแสนเสนาะแห่งกลอนแปดของท่านสุนทรภู่ เฉกกัน
ความงามความไพเราะนี้เป็นสุนทรีย์ที่ปรุงจิตให้ประณีต
สังคมไทยมีพื้นฐานแห่งสุนทรีย์อันเป็นแบบฉบับส่องสะท้อนซึ่งกันและกันอยู่ในศิลปะไทยทั้งหลายเหล่านี้ และจากพื้นฐานนี้จะคลี่คลายขยายตัว แตกหน่อต่อแขนงไปอย่างไร เป็นสิ่งพึงศึกษา
ยุคสมัยของสุนทรภู่ เป็นยุคทองของศิลปกรรมทุกแขนง ซึ่งเริ่มจะลงตัวในยุคต้นรัตนโกสินทร์นั้นเอง
กลอนสุนทรภู่ ก็คลี่คลายขยายตัวมาจากยุคอยุธยาและยังรุ่งเรืองเป็นหลักวรรณศิลป์ไทยมาจนวันนี้
กลอนแปดเป็นอลังการของกวีนิพนธ์ไทย ที่สะท้อนความเป็นอารยะแห่งยุคสมัยให้เราได้ภาคภูมิใจ
ความยิ่งใหญ่ของท่านสุนทรภู่นั้นนอกจากท่านจะเป็นดัง บิดาของกลอนแปด แล้ว ท่านยังใช้อลังการแห่งกลอนแปดมารับใช้ เนื้อหา ที่สะท้อนยุคสมัยอย่างสร้างสรรค์อีกด้วย
เป็นรูปแบบหรูหรา เนื้อหารุ่งโรจน์ ซึ่งน่าใจหายหากวันนี้จะมองไปก็เห็นแต่
รูปแบบหรูหรา- เนื้อหารุ่งริ่ง