กราบเรียน มิตรสหายในโลกวรรณกรรมไทย
ผมเป็นผู้ด้อยบารมี เป็นฟันเฟือนตัวเล็กๆ แต่ทะลึ่งคิดแต่จะทำงานใหญ่ คือ กวีปฏิวัติ จึงวิ่งเต้นจัดตั้ง สภากวีไทย ขึ้นมา
โดยเป็นสภาของกวี โดยกวี เพื่อกวี ทุนรุ่น ทุกเหล่า ทุกแหล่ง และทุกแนว เข้ามาขับเคลื่อน การปฏิวัติเย็น ด้านจิตวิญญาณสันดานมนุษย์
เพื่อชี้นำ ชี้แนะ สู่การปฏิวัติทางการเมือง,เศรษฐกิจ และสังคม โดยใช้ปากและปากกาเป็นอาวุธ
อยากจะยกระดับจิตวิญญาณของนักคิด,นักเขียน,กวี,ศิลปิน ในเมืองไทยขึ้นไปกระทบไหล่กับประชาคมโลก ซึ่งมันเป็นเรื่องกล้วยๆ
ในเมืองไทยเรามี นักคิด,นักเขียน,กวี,ศิลปิน ที่มีความรู้ ความสามารถ มีบารมี มีเนื้อตัว มีเนื้องาน เกลื่อนกลาด เกะกะ เต็มบ้านเต็มเมือง แต่มักจะรวมกันไม่ติด เพราะมันขาด น้ำยาประสาน
มันจะเอากิน ขี้ ปี้ นอน ไปวันๆ ทำตัวเป็นนกพิราบตะกะแย่งกันกินข้าวโพดถั่วงาที่มีคนเขาหวานให้ที่ท้องสนามหลวง
เคยเสนอแนะให้จัดงานตลาดนัดกวี,มหกรรมซีไรต์,มหกรรมกวีไทย เพื่อสร้างประเพณีนิยมทางจิตวิญญาณของคนในโลกวรรณกรรม
นายประภัสสร เสวิกล ได้รับลูกไปจัดงาน มหกรรมหนังสือ นักเขียน ขึ้นเพียง 1- 2 ครั้ง ก็เลิกไป
เคยเขียนว่า สมาคมนักเขียนฯ, สมาคมภาษาและหนังสือฯ,สมาคมนักกลอนฯ, สวช. รวมทั้งพวกที่ยกย่องอุปโลกน์ให้เป็นศิลปินแห่งชาติน่ะ มีไว้ทำไม?
ถ้ามีแล้วไม่เอามาใช้งาน ก็ขอให้ยุบโละทิ้งไปเสียเถอะ
จู่ๆ ก็มีเศรษฐีขี้คุยคนหนึ่งโผ่ลขึ้นมา เขาชื่อวิกรม กรมดิษฐ์ เป็นเด็กท่ามะกา ทำมาหากินรวย ได้ประกาศจัดตั้งรางวัลอมตะขึ้น ตั้งงบไว้ให้กวี นักคิด นักเขียน ศิลปิน สูงถึง 1 ล้าน ผมก็ดีใจ เพราะมันไม่เคยมีคนอย่างนี้มามาก่อน
แต่อยากจะเห็นนายวิกรมลงมาเล่นในมิติของ กวีปฏิวัติ ให้หนักกว่านี้ อย่าไปติดแหง็กอยู่ที่ปัจเจกภาวะจนเกินไป
ส่วนนายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ นั้น ท่านต้องทำงานหนักมากต้องรับนิมนต์ไปปลุกเสกทุกงานไม่ต่างไปจากหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ เป็นวันแมนโชว์โด่เด่อยู่คนเดียว ทำไมเราไม่ไปเอาตัวศิลปินแห่งชาติ ศิลปินซีไรต์ ฯลฯ มาจัดตั้งเป็นองค์คณะมนตรีกวีแห่งชาติบ้างล่ะ
หากเราเอาพวกที่มีบารมีเหล่านี้มาทำงานปฏิวัติในแนวนอน (มวลชน) ได้จริงๆละก็เสียงกวีมันกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
ส่วนการปฏิวัติแนวตั้ง (ปัจเจก) นั้น เราน่าจะต้องจัดหลักสูตรติวเข้มกันแล้ว โดยให้องค์กรวรรณกรรมเป็นผู้แบกรับภาระ อย่าไปบ้าคลั่งแข่งขันชิงยศชิงตำแหน่งที่ปรากฏในสมาคมนักกลอนฯ ที่แล้วๆ มาอีกเลย
สำหรับนายสุจิตต์ วงษ์เทศ นั้น ท่านเลิกกินเหล้าหันมากินน้ำชาก็จริง แต่ตบะบารมีก็ยังไม่เคยลดหย่อน มีแต่จะพวยพุ่งฉูดฉาดขึ้นเรื่อยๆ เพราะอานิสงค์ที่ไปเทคโอเว่อร์บ้านกวีสุนทรภู่ที่วัดเทพธิดา ก็หันมาเปิดตลาดวิชาที่สกายไฮ ทำท่าจะขยายผลออกไปตลอดแนวทีเดียว
ส่วน มหา สุรารินทร์ คนหนุ่มไฟแรงที่เพิ่งโผล่ตัวออกมาทำงานรับใช้ในวงการนี้ที่เคยเก่งนักในเชิง ชงเหล้า ก็กำลังเจริญเติบโตทั้งแนวตั้งและแนวนอน เป็นหนอนอ้วนที่น่าให้โอกาสอย่างยิ่ง
ครับ สรุปแล้วมนุษยชาติก็คือหนอนชนิดหนึ่ง กินๆ กินจนตัวอ้วน จากนั้นก็แปรรูปเป็นดักแด้ จากดักแด้ลอกคราบครั้งสุดท้ายก็บิน ๆ เป็นผีเสื้อหลากสี โผผินไปในท้องนภา นั่นแลฯ
ขุน รำยอง