พ.ศ.2300 หรือ 250 ปีมาแล้ว กรุงธนบุรี-กรุงรัตนโกสินทร์
ราชอาณาจักรสยาม ก่อนสมัยใหม่ สุจิตต์ วงษ์เทศ
สุวรรณภูมิสังคมวัฒนธรรม :มติชน 17 มีนาคม 2550
บางกอก บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ใกล้อ่าวไทย กลายเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของราชอาณาจักรสยาม หลังกรุงศรีอยุธยา (ที่อยู่เหนือบางกอก) ล่มสลายเมื่อ พ.ศ.2310 แล้วสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นบริเวณเมืองบางกอกที่มีมาก่อนแล้ว
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีรวบรวมผู้คนและดินแดนบ้านเมืองห่างไกลให้อยู่ในอำนาจ เช่น ทางเหนือถึงดินแดนล้านนา ทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงเวียงจันและสองฝั่งโขง ทางใต้ถึงนครศรีธรรมราชและฝั่งทะเลอันดามัน แต่รัฐปัตตานียังเป็น เอกเทศ
ครั้น พ.ศ.2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นบริเวณบางกอกที่เรียกกันต่อมาว่า กรุงเทพฯ ขยายดินแดนลงไปครอบครองเมืองปัตตานีและเมืองไทรบุรี เป็นเวลาเดียวกับจักรวรรดิอังกฤษล่าอาณานิคมมาถึงแหลมมลายูและอ่าวเบงกอล
ความเคลื่อนไหวให้มีพัฒนาการบ้านเมืองในยุคนี้ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบายไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์แห่งชาติ (พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2549) ดังต่อไปนี้
ประเทศไทยก่อนสมัยใหม่
แม้ว่ายุคสมัยของการค้าจะสิ้นสุดลงหลัง พ.ศ.2100 แต่เฉพาะพ่อค้าตะวันตกและญี่ปุ่นเท่านั้นที่ลดปริมาณการค้าของตนกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลง พ่อค้าจีนและพ่อค้าพื้นเมืองยังคงทำการค้าต่อไป ตลาดสำคัญๆ กลับมาอยู่ในเอเชียโดยเฉพาะจีน
มีพ่อค้าจีนเข้ามาตั้งภูมิลำเนาในประเทศไทยตามเมืองท่าที่ค้าขายกับจีนเป็นจำนวนมาก ไม่เฉพาะอยุธยาเท่านั้น แต่รวมถึงบางปลาสร้อย, จันทบุรี, นครศรีธรรมราช, สงขลา และปัตตานี ฯลฯ ด้วย ชนชั้นปกครองตามเมืองท่าเหล่านี้ ได้ประโยชน์จากการค้าทางทะเลไม่น้อย ชาวจีนเข้ามามีบทบาทในราชการของกรุงศรีอยุธยา และอาจได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองในเมืองท่าเหล่านี้บางเมืองด้วย หรือมิฉะนั้นก็รับเป็นนายอากรให้แก่รัฐ
ช่วงสมัยนี้ มีพัฒนาการทางการเมืองที่สำคัญก็คือ เกิดการสร้างรัฐศูนย์กลางที่เข้มแข็งขึ้นใหม่ในลุ่มน้ำใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่ เว้ (ตอนใต้ของลุ่มน้ำแดง) บางกอก (แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง) และอังวะ (แม่น้ำอิระวดี) มีการจัดระเบียบภายในให้ศูนย์กลางที่ทำให้สามารถควบคุมหัวเมืองและประเทศราชได้รัดกุมขึ้นทั้ง 3 แห่ง
ทั้ง 3 ศูนย์กลางนี้ประสบความสำเร็จในการแผ่อำนาจออกไปยังรัฐอิสระหรือกึ่งอิสระที่อยู่รายรอบได้กว้างขวาง เป็นผลให้เกิดสงครามแย่งชิงอำนาจกันระหว่างศูนย์กลางทั้ง 3 เพื่อแข่งขันอิทธิพลกันในรัฐเล็กๆ เหล่านี้หลายแห่ง เช่น มะริด ตะนาวศรี เชียงใหม่ เวียงจัน พนมเปญ รวมทั้งรัฐมลายูซึ่งบางกอกต้องเผชิญการขยายตัวของจักรวรรดิอังกฤษ
ในประเทศไทย การขยายอำนาจของส่วนกลางเข้าไปยังประเทศราชและหัวเมืองกระทำกันหลายรูปแบบ บางกอกสามารถทำให้การสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองในประเทศราชต้องอยู่ภายใต้การยินยอมหรือแม้แต่การแต่งตั้งจากส่วนกลางอย่างค่อนข้างเด็ดขาดในหัวเมืองต่างๆ
บางกอกกลายเป็นศูนย์การค้าสำคัญของการค้าในทะเลจีนตอนใต้ แม้บทบาทของการค้าส่งผ่าน (entrepot trade) จะลดความสำคัญลง แต่บางกอกก็เป็นแหล่งรับซื้อสินค้าจากจีนอยู่ไม่น้อย (เพราะเป็นศูนย์ที่กระจายสินค้าเข้าสู่ส่วนในของแผ่นดิน) ในขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งส่งออกสินค้าซึ่งเป็นที่ต้องการในตลาดจีนที่สำคัญด้วย เช่น น้ำตาล, ของป่า, เครื่องสำเภา, พริกไทย, และข้าวปริมาณไม่สู้มากนัก เป็นต้น
แม้ว่าของป่ายังเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าออก แต่จำนวนของสินค้าที่ต้องผ่านการผลิตมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ที่เป็นไปได้เช่นนี้ก็เพราะการอพยพเข้าของชาวจีนจำนวนมากอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแรงงานในสังคมที่ไม่มีแรงงานเสรี และริเริ่มธุรกิจขึ้นหลายอย่างในสังคมที่ขาดผู้บริหารทางธุรกิจ
นอกจากนี้ชาวจีนยังเริ่มกระจายไปตั้งหลักแหล่งทำมาค้าขายในหัวเมืองใหญ่ ทั้งที่เป็นเมืองท่า หรือเป็นแหล่งชุมนุมประชากรหนาแน่น ทั้งเพื่อค้าขายในการค้าทางทะเลและผลิตเหล้าหรือสัมปทานบ่อนการพนัน เป็นแรงงานในทำเลที่มีการลงทุนทำเหมือง ในขณะเดียวกันก็ซอกซอนทะลุทะลวงนำเอาตลาดเข้าไปในชนบทห่างไกลบางกอกมากขึ้นเรื่อยมา ฉะนั้นในขณะที่รัฐบาลขยายทางการเมืองของตนออกไปยังหัวเมือง คนจีนก็ได้สร้างตลาดที่มีเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นไปพร้อมกัน อย่างน้อยก็ในภาคกลางและชายฝั่งภาคใต้ซึ่งการคมนาคมสะดวก
ขุนนางและเจ้านายเข้ามาหาผลประโยชน์จากการค้าอย่างมาก ทั้งเป็นเจ้าของสำเภาเอง, ร่วมทุนกับพ่อค้าจีน, หรือขูดรีดการผลิตสินค้าของจีน การผูกขาดการค้าที่ให้กำไรดีอันเป็นนโยบายของรัฐไทยมาแต่โบราณจึงไม่ค่อยมีประโยชน์แก่คลังหลวงนัก
ฉะนั้น ในความเป็นจริงแล้วนโยบายผูกขาดการค้าของรัฐบาลไทย ไม่อำนวยประโยชน์ที่แท้จริงมานานแล้วก่อนถูกยกเลิกไปในสนธิสัญญาเบาว์ริง เช่นเดียวกับระบบไพร่และทาส ก็เริ่มไม่เหมาะกับการใช้เป็นแรงงานในการผลิตทางเศรษฐกิจซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นตามลำดับ
การขยายอำนาจของส่วนกลางออกไป เป็นโอกาสให้กลุ่มตระกูลที่ได้ครองหัวเมืองใหญ่ขยายอิทธิพลและผลประโยชน์ของตนเช่นกัน เพราะหัวเมืองใหญ่เป็นตัวแทนในการเรียกเก็บ "ส่วย" (แรงงานและสินค้า) จากเมืองที่ขึ้นกับตัวส่งให้บางกอก ฉะนั้นจึงผลักดันให้เจ้าเมืองพากันไปจัดตั้งชุมชนต่างๆ ขึ้นเป็นเมือง แล้วขอให้บางกอกยอมรับว่าเป็นเมืองขึ้นของตน โดยเฉพาะในดินแดนชายขอบ เช่น ในอีสานหรือรัฐมลายู ผลก็คือยิ่งทำให้การขยายอำนาจของส่วนกลางเป็นไปในแนวลึกมากขึ้น (อย่างน้อยก็ในนาม nominally)
ฉะนั้นในช่วงสมัยนี้จึงจะพบว่ามีความขัดแย้งระหว่างหัวเมืองใหญ่อยู่เสมอ เช่น ระหว่างสงขลากับนครศรีธรรมราช, ระหว่างโคราชกับเวียงจัน เป็นต้น บางครั้งถึงกับก่อให้เกิดศึกสงครามที่บางกอกอาจมองว่าเป็นการกบฏ ในขณะเดียวกันการแสวงหาประโยชน์ของเจ้าเมือง จากเมืองที่ขึ้นกับตัวก็อาจทำอย่างรุนแรงเสียจนเจ้าเมืองในประเทศราชหรือดินแดนที่เปิดใหม่เหล่านั้นไม่พอใจจนแข็งเมืองขึ้นจริงๆ ด้วย
ในส่วนประชากรทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วยังอยู่ในเศรษฐกิจยังชีพ ถึงมีการแลกเปลี่ยนสินค้าและแรงงานก็ยังทำในระบบเศรษฐกิจยังชีพ จึงไม่เป็นตลาดใหญ่สำหรับการค้ามากนัก
อย่างไรก็ตาม การค้าที่ขยายตัวมากขึ้นก็กระทบต่อประชากรบางส่วน โดยเฉพาะที่อยู่ใกล้เส้นทางคมนาคมซึ่งเชื่อมโยงกับเมืองท่าขนาดใหญ่ พันธะที่มีต่อรัฐคือถูกเกณฑ์แรงงานไปใช้โดยตรงหรือเก็บส่วยส่ง และถูกเกณฑ์ไปรบในช่วงสมัยนี้ซึ่งเป็นยุคสมัยของสงครามและการปราบปรามบ่อยครั้งที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
รัฐที่เกิดจากศูนย์กลางทั้ง 3 นี้ ซึ่งยังคงเป็นรัฐจารีต แต่เป็นรัฐด่านหน้าที่ต้องเผชิญกับจักรวรรดินิยมตะวันตกในหลัง พ.ศ.2300 อำนาจที่มีอยู่เดิมถูกแทนที่-โดยตรงหรืออ้อม-ด้วยระบบอาณานิคมซึ่งตะวันตกสร้างขึ้น ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นแกนกลางของการรวมตัวกันขึ้นเป็นรัฐชาติในเวลาต่อมา