อยุธยาศึกษา ตลาดวิชา สำหรับครู - อาจารย์
มหา สุรารินทร์
อยุธยาไพโรจน์ไต้ ตรีบูร
ทวารรุจิเรียงหอ สรหล้าย
อยุธยายิ่งแมนสูร สุรโลก รังแฮ
ถนัดดุจสวรรค์คล้ายคล้าย แก่ตาฯ
กำสรวลสมุทร
ผมมีโอกาสไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยาบ่อย แต่คราวนี้มีโอกาสร่วมคณะไปกับผู้จัดอบรม อยุธยาศึกษา : ตลาดวิชาสำหรับครู อาจารย์ ซึ่งจัดโดย มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ร่วมกับ มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และสถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยา
ซึ่งกิจกรรมนี้มีขึ้นเมื่อวันที่ 22 23 มีนาคม ที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมอบรมทั้งสิ้น ๘๐ คน โดยมี อาจารย์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ,อ.ทรงยศ แววหงส์,ผศ.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์,อ.สัมฤทธิ์ ลือชัย และ อ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ เป็นวิทยากรบรรยายตลอดกิจกรรมทั้ง ๒ วัน
อยุธยา ในฐานะของราชาอาณาจักรแห่งแรกของสยามมีอายุนานถึง 417 ปี 5 ราชวงศ์ มีกษัตริย์ปกครองทั้งหมด 34 พระองค์ด้วยกัน
ซึ่งอดีตนั้นนับเพียง 33 พระองค์ โดยมีไม่นับรวม ขุนวรวงษาธิราช กษัตริย์พระองค์ที่ 15 สายละโว้ ราชวงศ์อู่ทอง แม้จะทรงครองราชย์อยู่ 45 วัน ก็ตาม ซึ่งจริงๆ จะไม่นับไม่ได้
การสถาปนารัฐอยุธยาเกิดขึ้นพร้อมกับรัฐสุโขทัย แต่ในแบบเรียนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาการมักจะนับแบบหนึ่งสองสามคือ เริ่มมีรัฐสุโขทัย (ลอยมาจากฟ้า) แล้วจึงมาเกิดรัฐอยุธยา (ลอยมาจากฟ้าเช่น) ก่อนจะมากู้ชาติต่อด้วยพระเจ้ากรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์
แล้วตีขลุมเอารัฐอื่นรอบข้างเป็นไทยด้วยกันหมด เพราะเอาแผนประเทศไทยในปัจจุบันเป็นที่ตั้งแล้วอนุมานอาณาจักรยาวไกล
ตรงนี้ไม่ทราบว่าปรับหลักสูตรกันหรือยัง เป็นเหตุให้ครู และนักเรียนสื่อสารกันไม่เข้าใจว่าจะเอายังไงกับประวัติศาสตร์แห่งชาติของชาติไทย ว่ามาจาก หุบเขาอันไต มาจาก น่านเจ้าหรืออยู่อยู่ที่นี้ที่แม่น้ำจ้าพระยา
ที่สำคัญในหลักยังไม่อธิบายว่ารัฐสุโขทัยและรัฐอยุธยามีกำเนิดมาอย่างไร? รู้แต่ว่า พ่อขุนบางกลางหาวสร้างรัฐสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราชประดิษฐ์ (ไม่บอกว่าเรียนหนังสือที่ไหน?) พระอู่ทองสถาปนารัฐอยุธยาที่หนองโสน เท่านั้น
จากหนังสืออยุธยา : Discovering Ayutthaya ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ บรรณาธิการ จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2546 (ขณะนี้ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษและจะวางจำหน่ายตามแผงหนังสือเร็วๆ นี้)
อ้างอิงถึงพงศาวดารฉบับพระราชหัตถาเลขารัชกาลที่ 4 กล่าวถึงการสถาปนากรุงศรีอยุธยานั้นว่าเมื่อ ศักราช 712 ปีขาลโทศก วันศุกร์ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 5 เพลา 3 นาฬิกา 9 บาทสถาปนากรุงศรีอยุธยา ในหนังสือเล่มเดียวกันได้โยงถึงข้อเปรียบเทียบเรื่องวันและเดือนสถาปนากรุงศรีอยุธยาต่างกันถึง 4 ท่านคือ 1) ดร.ประเสริฐ ณ นคร คำนวณไว้ว่าตรงกับวันที่ 4 มีนาคม 2) หลวงวิจิตรวาทการคำนวณไว้ว่าตรงกับวันที่ 24 มีนาคม 3) ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ คำนวณไว้ว่าตรงกับวันที่ 7 เมษายน 4)หลวงวิศาลดรุณกร (ชั้น สาริกบุตร) คำนวณไว้ว่าตรงกับวันที่ 3 มีนาคม แต่ทุกท่านต่างเหมือนกันเมื่อคำนวณว่าคือปี พ.ศ. 1893
อยุธยา ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก เมื่อปี พ.ศ. 2534 แต่การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของอยุธยานั้นไม่ได้ความว่าเมืองหรือพระราชวังโบราณเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับการจดทะเบียน
ทว่าความเจริญรุ่งเรืองของ อยุธยาศรีรามเทพนคร นั้นมีความเจริญรุ่งเรืองและการจัดการน้ำของเมืองอยุธยา เป็นระบบระเบียบ เหมือนเมืองเวนิสของประเทศอีตาลี
ซึ่งเราจะเห็นได้จากรูปวาดสีน้ำมันที่ชาวฝรั่งที่เข้ามากรุงศรีอยุธยา เช่นรูปสีน้ำมันที่ชื่อว่า ludea ที่วาดโดยจิตรกรนาม โจฮานส์ วิงบูนส์ เมื่อปี พ.ศ. 2206/ค.ศ.1663 เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งภาพนี้ถูกจำลองมาไว้ที่บ้านญีปุ่น ซึ่งอยู่ทางนอกเมืองอยุธยาไม่ไกลนัก ตรงกันข้ามบ้านโปรตุเกส
ในรูปสีน้ำมัน ludea นั้นจิตรกรวาดแบบมุมกว้างเห็นสภาพเป็นเกาะเมือล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐ เทือกเขา แม่น้ำ รายละเอียด ซึ่งมองเห็นประตูน้ำอย่างชัดเจน รวมทั้งลักษณะอาคารบ้านเรือง พระราชวัง วัด และถนนหนทางอย่างสมบูรณ์ รูปหนึ่ง
ด้วยความเป็นเมืองแม่น้ำนี้แหละเป็นเหตุให้อยุธยาจึงได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกในแง่ของการจัดการน้ำซึ่งมีแม่น้ำถึง 3 สายไหลมาบรรจบเกิดเป็นเกาะ คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรี และ แม่น้ำป่าสัก แต่ในเอกสารฝรั่งก็จะเรียกแม่น้ำทุกสายรวมๆ ว่า ริเวอร์ เหมือนกันทั้งหมด ยังไม่มีการเรียกชื่อแม่น้ำอย่างสมัยปัจจุบัน
อยุธยาจึงเป็นเมืองน้ำอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะภูมิศาสตร์เป็นเช่นนั้น แม่น้ำเจ้าพระเป็นคลองเมืองด้านตะวันตกและด้านใต้ แม่น้ำลพบุรีเป้นคลองเมืองด้านเหนือ และแม่น้ำป่าสักเป้นคลองเมืองด้านตะวันออก รวมทั้งเส้นเลือดฝอยที่แตกสาขาเป็นลำคลองเล็กไหลมารวมกับแม่น้ำเจ้าพระยา รูปร่างอยุธยาจึงคล้ายเกาะดังเพลงยาวพระราชนิพนธ์กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทพรรณนาว่า บริเวณอื้ออลด้วยชลธี ประดุจเกาะอสุรีลงกา
เช่นกันถ้าจำไม่ผิดเอกสารมหาราชวงศ์พงศาวดารพม่าก็บอกไว้ว่าอยุธยาหน้าน้ำจะเจิ่งนองดังเวิ้งทะเลที่รอบเกาะ เป็นเหตุให้ทัพพม่าต้องยกทัพกลับหงสาวดีเพื่อหนีน้ำ
อยุธยายามนี้หลายคณะจึงตั้งเป้าที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เฉพาะสถานที่เกี่ยวข้องกับมหาราชพระองค์นี้ไม่ว่าจะเป็น วัดใหญ่ชัยมงคล,วัดภูเขาทองซึ่งมีพระบรมราชนุสรณ์,วัดสุวรรณดาราม ,วัดวรเชษฐ์(ใน) และวัดวรเชษฐ์ (นอก)
โดยเฉพาะสองวันนี้กลายเป็นสถานที่แย่งชิงวีรบุรุษอีกครั้งเมื่อต้องการรู้ว่าสถานที่ใดเป็นที่ถวายพระบรมศพ แม้ว่าวัดวรเชษฐ์ใน จะไม่มีพระภิกษุจำพรรษา แต่ที่วัดวรเชษฐ์นอกนั้นมีเจดีย์และติดป้ายอย่างเด่นชัดว่าที่บรรจุพระอิฐสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พร้อมกับป้ายเชิญบูชาวัตถุมงคล จตุคามรามเทพและสัการะพระองค์ดำ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต(ในยามที่มนุษย์หาที่พึ่งทางใจ)
ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสถานที่ใดเป็นสถานที่จริง ทั้งนี้เป็นเพียงแต่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น
อยุธยาศึกษา จึงเป็นเรื่องของการทำความเข้าที่มาของ อยุธยาราชธานีแห่งแรกของสยาม ทั้งนี้สิ่งหนึ่งที่มักจะถูกมองข้ามจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์คือ วรรณคดี ที่เกี่ยวข้องกับอยุธยา ซึ่งดูเหมือนว่าความรัฐอยุธยาจะเริ่มชัดเจนในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ (ครองราชย์ พ.ศ. 1991 2031) หรือหลังพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาราว 100 ปี
ไม่ว่าจะเป็นด้านการปกครองและวรรณกรรมในสมัยอยุธยา
แต่ทั้งนี้ ครูที่สอนประวัติศาสตร์และวรรณคดีมักมองวรรณคดีอยุธยานั้นอยู่ที่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นยุคทองแห่งวรรณคดีไทย เพราะเข้าใจว่า ศรีปราชญ์มีตัวตนจริง และยุคเดียวกันกับพระศรีมโหสถ ก่อนจะมาถึงเจ้าฟ้ากุ้ง เป็นยุคสุดท้าย
อนึ่ง เหตุที่วรรณคดีถูกมองข้ามพระเป็นเรื่องร้อยกรอง และหลักฐานที่ประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นพงศวดารนั้นเป็นร้องแก้ว เลยถูกมองว่าไม่น่าจะเกี่ยวกันระหว่างเรื่องร้อยแก้วกับร้อยกรอง?
แท้ที่จริงแล้ว ความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ในเรื่องอยุธยาศึกษาจะปฏิเสธเรื่องวรรณคดีโบราณไม่ได้ โดยเฉพาะ โองการแช่งน้ำ ซึ่งเป็นลักษณะร่ายและโคลง ซึ่งเป็นวิวัฒนาการต่อมาของรูปแบบฉันทลักษณ์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
มหาชาติคำหลวง ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อ พ.ศ. 2025 พระรนิพนธ์ที่เมืองพิษณุโลก ซึ่งเชื่อว่าน่าจะแต่งก่อน กำสรวลสมุทรหรือที่รู้จักกันอีกอย่างหนึ่งว่ากำสรวลศรีปราชญ์ ราว พ.ศ. 2025-2031 รวมทั้ง ทวารทศมาศ พ.ศ. 2027-2031 และก่อนมหาชาติคำหลวง คือ ยวนพ่าย พ.ศ. 2017-2025
ซึ่งทั้ง ยวนพ่าย,กำสรวลสมุทร และ ทวารทศมาศ เป็นโคลงทั้งหมด ที่สำคัญเป็นโคลงดั้นและอยู่ในยุคเดียวกันน่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันแต่งที่สำคัญล้วนเป้นกวีในราชสำนักของพระบรมไตรโลกนาถ (อ่านรายละเอียดได้จาก กำสรวลสมุทรหรือกำสรวลศรีปราชญ์:สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ)
ความเป็น อยุธยาศึกษา จึงไม่ได้อยู่แค่เพียงความเป็นราชอาณาจักรอยุธยาที่ครอบคลุมโดยแม่น้ำลำคลอง ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่อยู่ทั้งสองฝั่งฟากแม่น้ำ การเมือง เศรษฐกิจสังคม แต่ทั้งหมดอาจสรุปรวมได้จาก นิทานตำนาน เช่น ตำนานเรื่องท้าวอู่ทอง โองการแช่งน้ำ การบอกเล่าเรื่องความเชื่อศาสนาผ่าน มหาชาติคำหลวง และการใช้ศาสนาความเชื่อมาสร้างหนังสือสนเท่ห์อย่างเพลงยาวพยากรณ์
รวมทั้งการปรับตัวของวรรณคดีของอยุธยาตอนปลาย เช่น นิราศนครสวรรค์ ของพระศรีมโหสถ ซึ่งจะเชื่อโยงมาถึงลีลากาพย์ห่อโคลงของเจ้าฟ้ากุ้งหรือ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ และวรรณคดีที่ใกล้เคียงวิถีชีวิตผู้คนยุคอยุธยาตอนปลายและรัตนโกสินทร์ตอนต้นอย่าง เสภาขุนช้าง ขุนแผน
แม้กระทั่งภาษพูดในสำเนียงโขนจากสำนวนรามเกียรติ์ที่มีเปรียบเทียบทั้งสำนวนสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่ครู อาจารย์ ผู้สอนบอกว่าไม่มีในห้องเรียนเป็นเหตุให้วิชาประวัติศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเพราะขี้คร้านจะท่องจำ
กรุงศรีอยุธยา นั้นเกิดขึ้นด้วยความเรียบง่ายบนความเป็นวัฒนธรรมร่วมของผู้คนทั้งสองฝั่งน้ำ ก่อนจะเติบโตเรืองโรจน์อย่างด้วยความเป็นเมืองท่าและเจริญถึงขีดสุดก่อนจะแตกดับอย่างเร้าร้อนเมื่อ ก่อนวันวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ในสมัยพระเจ้าเอกทัศ เพราะมีความเจริญด้านวัตถุแต่ล้มเหลวอยู่ภายในราชสำนักอยุธยา
ความเป็นอยุธยาจึงลอยฟ้าบ้านแปลงเมืองมาสู่กรุงธนบุรี รัตนโกสินทร์ อย่างนิราศนรินทร์ ของ นายนรินทร์ ว่า
อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
สิงหาสน์ปรางค์รัตน์ บรรเจิดหล้า
บุญเพรงพระหากสรรค์ ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ
บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟื้น ใจเมืองฯ
กิจกรรมการอบรมครู อาจารย์ แบบตลาดวิชาเช่นนี้ น่าจะมีเรื่อยๆ เพราะสังคมยังขาดการเผยแพร่ความรู้อีกมากโขครับ มิเช่นนั้นเราก็จดแต่ว่า พม่ามาเผ่ากรุงศรีอยุธยา ส่วนไปกระทำอะไรกับล้านนา ล้านช้าง เขมร ปัตตานี นั้นลืมหมด!