คำกวี เส้น สี และแสงเงา
-----------------------------------------------------------------------------------------
โชคชัย บัณฑิต
ทุกครั้งที่เห็นภาพเขียนใส่กรอบวางขายตามที่ต่าง ๆ ภาพเขียนชิ้นที่สะดุดตามักเป็นมากกว่าภาพเหมือนทั่วไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเน้นที่น้ำหนักแสงเงาเพื่อก่ออารมณ์บางอย่างตามเจตนาของผู้วาด ยิ่งภาพเหมือนบุคคลด้วยแล้ว นอกจากอารมณ์ของผู้เป็นแบบจะปรากฏในสีหน้าและแววตา บรรยากาศของภาพที่เกิดจากองค์ประกอบความเข้มข้นอ่อนแก่ของแสงเงา ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ภาพศิลปะกับภาพวาดดาด ๆ ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
เพราะแม้ภาพเขียนบางภาพราวจะถ่ายมาจากต้นแบบ เหมือนจริงยิ่งกว่าเหมือน ละเอียดยิ่งกว่าภาพถ่าย แต่ก็ไม่อาจเทียบได้แม้กับภาพถ่ายบางภาพ ที่ผู้สร้างสรรค์อาศัยการจัดวางองค์ประกอบโดยคำนึงถึงอานุภาพของแสงและเงา ตลอดจนองค์ประกอบอื่นที่จะช่วยเสริมให้ภาพถ่ายจากกล้องธรรมดากลายเป็นงานศิลปะเทียบได้กับภาพเขียนชั้นดีอีกชิ้นหนึ่ง กระทั่งภาพเขียนที่ผู้วาดอาศัยการปาดป้ายปลายภู่กันโดยมิได้พะวงกับความเหมือนหรือไม่เหมือน แต่ยังคงสื่ออารมณ์และบรรยากาศของภาพได้ดังต้องการ ภาพนั้นก็นับว่ามีคุณค่าทางศิลปะไม่แพ้กัน การจะวัดว่าเหมือนหรือไม่จึงไม่ใช่สาระ
เราจึงได้เห็นช่างภาพบางรายเฝ้ารออุบัติการณ์แห่งแสงเช้าหรือเงาค่ำ กระทั่งอาศัยอุปกรณ์ช่วยอย่างอื่นตามจำเป็น ลักษณะเดียวกับจิตรกรเขียนภาพกลุ่มคนในห้องสลัวตัดกับแสงจัดจ้านอกหน้าต่าง ผู้กรองเอารังสีตะวันมาโรยไว้บนกลีบบัวสล้างกลางบึงใส ฯลฯ
ภาพเขียนที่สะดุดใจจึงอาจเป็นภาพที่เน้นแสงหรือลดแสง ชนิดละเอียดลออเกินกว่าตาปุถุชนจะสังเกตได้ตามธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อก่ออารมณ์ทางศิลปะโดยไม่ต้องคำนึงถึงความเหมือนจริงหรือไม่ไปทุกครั้ง ความสามารถในการจับอารมณ์ความรู้สึกของภาพและถ่ายทอดออกมาให้กระทบใจผู้อื่นได้จึงนับว่ามีความสำคัญมากกว่า
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อสังเกตและทัศนะของผู้ที่ไม่มีความรู้ในเรื่องศิลปะการวาดภาพ อาศัยเพียงความรู้สึกที่เกิดและสังเกตได้อยู่เนือง ๆ เท่านั้น
บทกวีก็น่าจะเป็นไปโดยวิธีเดียวกัน บางครั้งอาจพบว่าคำง่าย ๆ มิได้พราวสัมผัสแต่อย่างใด กลับจับใจผู้อ่านได้อย่างน่าฉงน ด้วยเหตุที่ผู้เขียนสามารถจับเอาอารมณ์ความรู้สึกกระทบใจตนมาสื่อผ่านภาษาได้ตรงใจ เต็มในความรู้สึก เมื่อผู้อ่านเปิดรับคลื่นความรู้สึกได้ตรงกับผู้เขียนความประทับใจกับผลงานชิ้นนั้น วรรคนั้น จึงเกิดได้ในทันที แต่งานฉันทลักษณ์บางครั้งก็สร้างปัญหาเรื่องจำนวนคำและสัมผัสที่วางกรอบเอาไว้ตายตัว เราจึงอาจพบวิธีทำงานของกวีในลักษณะเดียวกับจิตรกรหรือตากล้องผู้ประกอบงานศิลปะ ด้วยการเพิ่มหรือลดแสง อาศัยการกล่าวเกินจริง(อติพจน์) การเปรียบเทียบ(อุปมา อุปลักษณ์) การเนรมิตแสงตะวันให้มีชีวิตเยี่ยงบุคคล(บุคลาธิษฐาน) ฯลฯ สื่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกหรือบรรยากาศอย่างใจผู้เขียนต้องการ ทั้งที่ผิดธรรมชาติ(แต่เกิดขึ้นจริงในโลกศิลปะ และโยงไปสู่ความลึกซึ้งทางอารมณ์ได้)
การใช้โวหารภาพพจน์ในบทกวีจึงนับว่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเพ่งพิจารณาเรื่องความงามของคำ สมดังอริสโตเติลยกย่องไว้ว่า อุปลักษณ์ (metaphor) เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับกวี
เราจึงอาจพบว่าบทกลอนบางชิ้นช่างแพรวพราวทั้งสัมผัสและรูปคำ แต่มิอาจกระทบใจหรือให้ความรู้สึกลึกซึ้งทางอารมณ์แก่ผู้อ่าน ผิดกับบทกวีบางชิ้น(หรือแม้แต่บางวรรค)ที่ใช้คำธรรมดา แต่กินใจและจับใจ เพราะผู้เขียนสามารถจับเอาความรู้สึกของตนมาสื่อผ่านภาษาง่าย ๆ แต่ได้ภาพได้อารมณ์สมดังตั้งใจ
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ไม่อาจมองข้าม นอกเหนือไปจากฝีมือการร้อยคำแล้ว โวหารกวีก็น่าจะมีส่วนช่วยยกระดับกาพย์กลอน เช่นเดียวกับรูปทรงของเส้น สี และแสงเงาในภาพเขียน เพียงอาศัยสื่อหรือภาชนะต่างรูปทรงมาประกอบสร้าง แต่โดยวิถีทางสายเดียวกัน.
น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ : จุดประกายวรรณกรรม 3 พฤศจิกายน 2545.