ลมปากที่ไร้มารยา
โดย ขุน รำยอง
ท่านผู้อ่านที่รัก โลกวรรณกรรมเป็นโลกมหัศจรรย์ ท่านยาขอบ (นายโชติ แพร่พันธุ์) ท่านเขียนจดหมายถึง วนิดา สาวน้อยนัก(อยาก)เขียนไว้ใน สินในหมึก ว่า... อาชีพนักเขียนเป็นอาชีพที่พระเจ้าลงโทษและประชาชนลงทัณฑ์ แต่ถึงกระนั้นก็ดี ผู้ใดอย่าริอ่านเป็นนักเขียนเข้า เพราะถ้าริเข้าแล้วท่านจะหยุดไม่ได้ ทั้งๆที่มีความทุกข์แต่เป็นความทุกข์ที่หอมหวานและเย้ายวน
และท่านยาขอบยังเขียนจดหมายตอบสาวน้อยอีกคนหนึ่งที่ชื่อชะอุ่ม ปัญจพรรค์ อักษรศาสตรบัณฑิตจากคณะอักษรศาสตร์จุฬาฯว่า...
อาขอแนะนำสั้นๆว่า ถ้าอยากจะเป็นเสือ เธอต้องกินเนื้อเสือ
ครับ ในช่วงปี ๒๕๐๙-๒๕๑๐ (ประมาณนั้น) ท่านจอห์น สไตน์เบ็ค พญาอินทรีวรรณกรรมแห่งสหรัฐอเมริกาได้โผผินบินผ่านสมรภูมิเวียดนามมาแวะพักที่โรงแรมย่านพญาไท (ปัจจุบันคือโรงแรมสยามซิตี ของท่านศิลปินใหญ่กมลา สุโกศล) คณะนักเขียนรุ่นใหญ่ของสยามจึงได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับนักเขียนโนเบลไพร้ซ์และภริยาอย่างสมเกียรติ เหยี่ยวข่าววรรณกรรมทั่วฟ้าเมืองไทยจึงต้องโฉบเฉี่ยวเข้าไปเก็บเกี่ยว วรรคทอง ที่ร่วงออกจากปากของท่านอย่างเกาะติดทุกเม็ดทีเดียวเชียว หนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ได้จัดทำสกู๊ปรายงานไว้อย่างสมบูรณ์ (หากท่านผู้อ่านที่รักต้องการอ่านกันเต็มๆก็โปรดไปขอยืมอ่านได้ที่หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี)
ครับ นักข่าวท่านหนึ่งถามว่า ถ้ามีผู้ที่อยากจะเป็นนักเขียนต้องการขอคำแนะนำจากท่าน ท่านจะมีข้อแนะนำอย่างไรบ้าง... ท่านบิ๊กจอห์นจึงหันไปตอบนักข่าวอย่างฉับพลันทันทีว่า คุณรีบไปบอกเขาว่า ขอให้เขาเลิกคิดได้แล้ว และบอกให้เขาไปหางานอื่นทำเสียเถิด เพราะอาชีพนักเขียนนั้นมันแสนจะทารุณ มันทุรกันดาร มันลำบากยากแค้นแสนเข็ญ นักข่าวได้ฟังแล้วถึงกับผงะงุนงง ท่านบิ๊กสไตน์เบ็คจึงแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า แต่ถ้าเขายังยืนยันว่าอยากจะเป็นนักเขียนอยู่อีก คุณก็บอกเขาไปเลยว่า จงลงมือเขียนทันที เขียนทุกวัน เขียน ๆ ๆ ๆ...
ครับ ฟังวาทกรรมจากปาก(กา)ของพญาอินทรีไทยกับพญาอินทรีอเมริกันเพียงสองท่านแค่นี้ผมเองก็เกิดความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเต็มที ยิ่งได้มีโอกาสท่องไปในโลกวรรณกรรมอันกว้างใหญ่ไพศาลออกไปแล้วก็ยิ่งเกิดความรู้สึกว้าเหว่เหลือเกิน ครั้นดั้นด้นไปพบวาทกรรมของท่านอินทรี เฮมมิ่งเวย์ เข้าอีกประโยคหนึ่งว่า... ถนนนักเขียนเป็นถนนสายขรุขระทุรกันดาร ท่านจะต้องเดิน ๆ ๆ และเดินไปคนเดียวตามลำพัง โดยไม่อาจรู้ได้ว่าปลายทางนั้นมันเป็นฉันใด... จึงตอกย้ำกระหน่ำจิตวิญญาณของคน
อยากเป็นนักเขียนบางคนต้องลังเล และอาจจะต้องตัดสินใจชิดซ้ายเลี้ยวเข้าป่าเข้าดงไปปลูกพริกปลูกมะเขือกินเองจะเข้าท่ากว่า เฮ้อ...คิดแล้วกลุ้ม ยิ่งกลุ้มก็ยิ่งคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งจน เครียด กินเหล้า กินแล้วกินอีก จนกลายเป็น นัก(อยาก)เขียนขี้เหล้า เดินสะเปะสะปะเกลื่อนถนนสายวรรณกรรมในบ้านนี้เมืองนี้ เจอกันแต่ละทีก็มีแต่ตั้งญัติเพ่งโทษคนนั้นเพ่งโทษคนนี้ (ยกเว้นตัวเขาเอง) ประมาณนั้น
ยิ่งในโลกวรรณกรรมบ้านเรามันมีแต่การแข่งขันชิงถ้วยชิงโล่แบบไร้ยุทธศาสตร์ ก็ยิ่งก่อประกายวิวาทะกันแบบลัทธิ ปัจเจกนิยม จนเลยเถิด นักคิด-นักเขียน-กวี-ศิลปินบ้านเราจึงกลายเป็น แมลงเม่า กันไปเป็นทิวแถว เพราะเหตุฉะนี้เอง ผมและเพื่อนๆประมาณ ๕๐ คน จึงได้ดิ้นรนวางยุทธศาสตร์จัดตั้ง สภากวีไทย ขึ้นมาเมื่อปีพ.ศ.๒๕๓๑ หากญาติน้ำหมึกท่านใดต้องการข้อมูลเพื่อสานต่อเติมเต็มกันนจริงๆล่ะก็ โปรดรออ่านในหนังสือชื่อ สภากวีไทย ตำนานมีชีวิต ในเร็วๆนี้ ครับ ท่านผู้อ่านที่รัก เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมนั่งพิงต้นมะพร้าวหลับไปที่สวนสาธารณะใกล้คลองทวีวัฒนากรุงเทพฯ ต้องสะดุ้งตื่นโดยพลันเมื่อได้ยินเสียงปลุกจากกริ่งโทรศัพท์ พี่เหมอๆ จะทำเว็บหรือเปล่า โอเคเนชั่นน่ะ... ผมจึงตกกระไดตอบรับกลับไปว่า โอเค... ตามประสา คนไร้จริตมารยา นั่นแล จึงต้องขอขอบคุณสองกุมารสยามคู่ใหม่ คุณมหากับนายทิวา สหายหนุ่มผู้ใกล้ชิด ครับ ผมจึงต้องทำงานหนักอีกวาระหนึ่งนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป มันเป็น ภาระต้องปฏิวัติ อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง (ฮา)ท่านผู้อ่านที่รัก ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนมาเยี่ยมกระท่อมน้อย เพิงหมาแหงน ของผม ณ ชุมชนโอเคเนชั่น อาทิเช่น ไอ้ปลง คมศร ทักษิณประเทศ สานิตย์ สีนาค โกศล โฟล์คเหน่อ แมวเหมียว ออกหลวงไพร่ พันธกานท์ ศุภศรุต ป้ารุ ญิบ พันจันทร์ พีร์ระพิชญ์
ภาษาหลากสี สีคาร แก้วตา ศุภวรรณ พู่กัน ลานเทวา นายทิวา ประดิษฐ์ สิกรี อะหนึ่ง เป็นต้น โดยเฉพาะท่านแมวเหมียวกรุณาเอารูปถ่ายที่เนปาลมาดูกันอีกด้วย และต้องขอขอบคุณท่านปรัชญาเมธีพีร์ระพิชญ์ที่ช่วยแปลคำบาลี อัสมิมานะ ออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหมู่เฮาได้อย่างงดงาม ส่วนวรรคสุดท้ายของบทอัสมิมานะว่า อัสมิมานะปัจจยตา นั้น มีความหมายว่าไอ้ตัวอุปาทาน ตัวกูของกู นี่แหละเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ คนขี่คนจนจมปฐพิน นั่นแล ครับ บทกวีมันเป็นภาษาศิลปะ ท่านอาจจะต้อง อ่านระหว่างบรรทัดกันเอาเองแบบตัวใครตัวมันบ้างก็แล้วกัน ดำผุดดำว่ายสนุกดี อีทีฟังเพลงฝรั่งไม่รู้เรื่องพวกเราก็ยัง จุ๊กจุ๋ย มันหยดติ๋งๆมิใช่เรอะ เฮ้อ... ครับ เมื่อสองวันที่แล้วผมได้รับคำเชิญให้ไปพบ กวีข้างคลองแสนแสบ ท่านหนึ่ง ที่ร้านข้าวขาหมูย่านรางน้ำ เพื่อร่วมรำลึกกความหลังฝังใจหลังแก้วเมรัย จึงได้หอบหิ้วเอา
มะพร้าวห้าวไปแจกจ่ายท่านหลายลูก แถมด้วยเข็มขัดหัวม้าแข่งอีกหนึ่งเส้น เพราะคลำดูที่ขอบกางเกงยีนส์ตัวเก่งของท่านแล้วไม่มีเข็มขัด กลัวว่ากางเกงท่านจะหลุดง่ายเกินไป และยังบอกท่านอีกว่าหากสองปีข้างหน้าได้ซีไร้ต์ขึ้นมาล่ะก็ผมจะเอา จักรสุริยัน ไปมอบให้ถึงโอเรียนเต็ลทีเดียวเชียว ต่อมาวันรุ่งขึ้นได้แวะไปเยี่ยมสำนัก สาระบาน ย่านบางลำภู ก็เลยต้องบานฉ่ำกันจนแฉะไปทั้งบาง กวีหนุ่มหน้าบานสะพรั่งนามวัฒนา ธรรมกูล แขกขาประจำได้แจกยาหอมให้ผมเอาติดมือไปดมคนเดียวที่บ้านแท่งหนึ่ง ท่านเรียกยาหอมยี่ห้อ กลอนโชะ บอกว่าได้ต้นแบบมาจาก กวีสี่วรรค ของเจ้าสำนัก เรือนอินทร์-ท่านสุจิตต์ วงษ์เทศ ซึ่งจะท่านจะหาอ่านได้ในมติชนฉบับวันอาทิตย์หน้า ๓ ไม่เคยขาดเลย ผมแอบตั้งยี่ห้อให้ท่านว่า กลอนชัวะ คือชัวะเดียวจอด อาทิเช่น ต้องทำใจใหญ่เท่าภูเขาทอง หมาเยี่ยวรดก็ไม่ต้องไปโกรธหมา อยากเป็นใหญ่ขอให้จำเป็นตำรา ใครเขาด่าอย่าเพิ่งด่วนไปแดกปูน ตีพิมพ์อยู่ในมติชนฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๒ นะครับ ครับ พวกเราลองหันมาเล่นกลอนชัวะกลอนโชะชิงโล่ชิงถ้วยกันบ้างก็น่าจะสนุกดี จะเอาไหมท่านยุทธ์ โตอดิเทพย์ นายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ถ้าเอาผมก็อยากจะส่งเข้าประกวดล่วงหน้าซักหนึ่งชิ้น ดังนี้
กู คือ ครู อย่าลบหลู่เหยียบวิญญาณ หน้าที่และการงาน มือกูปั้นประเทศไทย แล้วถ้าจับพลัดจับผลูได้โล่ได้ถ้วยขึ้นมาจริงๆ ผมก็จะวิ่งเต้นจัดหางบประมาณมาทำป้ายทองคำจารึกกลอนโชะกลอนชัวะบทนี้เอาไปแขวนไว้หน้าประตูโรงเรียนวิทยาลัยมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โปรดเถิดท่านที่รัก ประเทศนี้กำลังต้องการ คุรุปฏิวัติ โดยด่วน เพื่อหงายกะลาที่ครอบ หัว พวกเด็กๆกันเสียที ส่วนที่ครอบหัว ของกวีอยู่ก็อย่าเพิ่งไปจับหงายกันเลย ใครอยากเป็นหนอนกวี เป็นดักแด้กวี หรือเป็นผีเสื้อกวี ก็อย่าเข้าไปแตะ โลกจะลุกเป็นไฟบรรลัยกัลป์ทีเดียวเชียวเหวย เอวัง