
Exclusive Interview จิระนันท์ พิตรปรีชากับ The Secret ผลงานแปลเล่มล่าสุด
True Coffee สยามพารากอน วันที่ 18 ตุลาคม 2550
ตัดสินใจแปล The Secret เพราะอะไร
มันสนุกตรงที่เรื่องยากๆ ซับซ้อน บางทีก็มีการอภิปรายด้วยอภิปรัชญาต่างๆ รวมถึงจิตวิทยา หนังสือเล่มนี้ทำให้ง่ายแบบเหลือเชื่อ ภารกิจของคนแปลคือแปลด้วยสำนวนที่ง่าย ทำให้ง่ายเหมือนกับต้นฉบับ แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องทำให้มันลึกซึ้งด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าเราทำง่ายให้มันง่ายยิ่งขึ้น มันจะกลายเป็นตื้นเขินไปเลย เราต้องรักษาความลึกไว้ด้วย ในเรื่องการใช้ศัพท์แสง ดังนั้นเวลาแปลหนังสือเล่มนี้ มันทำให้เราได้คิดไปด้วยว่าจะเอายังไงดี ระหว่างที่คิดถึง มันก็ได้ย่อยเนื้อหาไปด้วย
The Secret เป็นหนังสือที่ค่อนข้างเสมอภาคกับผู้อ่าน มันไม่ได้บอก หรือสั่งสอนเราลูกเดียว เราต้องคิดตาม อย่าให้ตกหลุมคำอธิบายด้วยภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย หรือบางครั้งเราก็คิดว่าพูดแค่วิธีคิดเองเหรอ เพราะในขณะนั้นแหละ จิตเราก็ได้คิดต่อทันที ตอนแปล พี่จึงรู้สึกว่าพี่ได้โต้ตอบกับหนังสือเล่มนี้ตลอดเวลา ทั้งในแง่ภาษา ในแง่เหตุผล แต่พอกระบวนการโต้เถียงจบลง มันทำให้เรารู้ได้โดยฉับพลันว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้เราคิดอะไรออกได้อีกเยอะเลย โดยไม่ต้องมาตั้งคำถามให้เราเสียด้วยซ้ำ
จุดเด่นของ The Secret คืออะไร
T he Secret ต่างจากหนังสือฮาวทูทั่วไปที่ไม่ได้บอกวิธีทำ แต่บอกวิธีคิด ซึ่งวิธีคิดนี้ มันแบ่งได้ออกเป็น
ข้อแรกคือ คุณต้องการอะไรในชีวิต คุณต้องตอบโจทย์ให้ได้ก่อน เพราะคนเราส่วนใหญ่ต้องการทุกอย่างในชีวิต ถ้าเรานั่งลงคิดอย่างจริงจังว่าอะไรคือสิ่งที่เราคิดอย่างจริงจัง หนังสือเล่มนี้สอนให้เราคิดให้ออกว่าแท้จริงแล้ว เราต้องการอะไร ใช่ออกเดทพร้อมกันทีละ 3 คนหรือเปล่า หรืออะไรกันแน่ที่เราต้องการแบบจริงแท้
อันที่สองเพื่อที่จะก้าวไปสู่สิ่งที่เราต้องการ เราต้องตั้งใจ ต้องโฟกัส ไม่ใช่มุ่งมั่นแบบดิ้นรนกระเสือกกระสนนะ แต่ต้องมุ่งมั่นด้วยจิตที่นิ่ง ในหนังสือเค้าใช้คำว่ากฎแห่งการดึงดูด เค้าพูดว่าถ้าคุณหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับสิ่งนั้น มันก็จะมาหาคุณ แต่อันนี้มันต้องตีความ มันไม่ใช่อภินิหาริย์ เพราะถ้าคุณเผลอไปเชื่อแบบนั้นจริงๆ มันจะผลลัพธ์จะต่างออกไปเลย ต้องอ่านดูดีๆ เค้าพูดง่าย แต่เราต้องคิด
อีกเรื่องที่หนังสือเล่มนี้พูดเสมอคือ เรื่องความเพียร ความเพียรอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่ในที่นี่หมายถึงว่าไม่ใช่เพียร ทุ่มเทแรงกายแรงใจจนความสุขหมดไป เพราะมันต้องตามมาด้วยความสำนึกรู้คุณว่าเรามีแล้ว
การคิดแบบ The Secret มีส่วนให้ประสบความสำเร็จในทุกด้านได้อย่างไร
เริ่มต้นกระบวนการคิด อย่างแรกสอนให้พยามตั้งจิตมั่น แต่ระหว่างกระบวนการจนไปถึงจุดหมายก็ปล่อยให้มันเป็นไปเอง เดี๋ยวจักรวาลจะนำมามอบให้เราเอง แต่ในใจเรา ราต้องสำนึกคุณ คือง่ายๆ มันจะทำให้เราสงบใจ ไม่กระเสือกกระสน ดิ้นรนให้วุ่นวาย แล้วคนที่จิตนิ่งแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จ เค้ายกตัวอย่างไอสไตน์ นี่ใช่เลย อย่างตอนที่กำลังคิดเรื่องทฤษฎีสัมพันธภาพ เค้าโฟกัส แต่เค้าไม่รู้หรอกว่าทางข้างหน้า เขาจะไปเจออะไร แต่จิตเค้ามุ่งมั่นไปแล้ว
ได้นำแนวทาง The Secret ไปใช้ หรือคิดว่าตัวเองก็ได้เคยปฎิบัติตาม The Secret มาบ้างแล้ว
สิ่งหนึ่งที่เราทำอยู่เป็นประจำโดยไม่รู้ว่าเป็นทฤษฎี หรือเคล็ดลับของผู้ประสบความสำเร็จ คือเรื่องของความมุ่งมั่นด้วยจิตที่นิ่ง เพราะปกติตัวเองก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าต้องทำอะไร ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จะตรึงใจไว้ตรงนั้น แล้วมันได้ผลนะ เพราะบางอย่างเรื่องที่ไม่น่าสำเร็จ เราก็ทำสำเร็จจนได้
ส่วนเรื่องการสำนึกรู้คุณนี่ชอบที่สุดเลยนะ เพราะจะรู้สึกเสมอว่าเรารู้สึกว่าเราโชคดี เราจึงไม่ฟูมฟาย คนทั่วไปเวลาอยากได้อะไร เราไม่เคยย้อนกลับไปดูหรอกว่าที่ผ่านมา เราได้อะไรมาบ้าง เราควรหัดสำนึกคุณกับชีวิต ในหนังสือเค้าบอกให้ลิสต์มาเป็นข้อๆ เลยว่าคุณได้อะไรในสิ่งที่คุณชอบมาแล้วด้วยซ้ำ ข้อนี้ทำให้เรานิ่งยิ่งขึ้น
คนไทยจะคุ้นเคยกับ The Secret ได้เหมือนชาวตะวันตกหรือไม่
นักอ่านบ้านเราจะติดหนังสือประเภทฮาวทูที่บอกวิธีอย่างละเอียดหนึ่งสองสามสี่ แล้วฮาวทูแบบนี้มันมีหมดทุกเรื่อง อย่างวิธีบริหาร สร้างเงินทอง บางเล่มเขียนว่าหาผัวฝรั่งยังมี
แต่ The Secret ไม่ใช่เลย หนังสือสอนให้เราคิดว่าเราต้องมุ่งมั่นตั้งใจมากขนาดไหนกว่าจะได้สิ่งที่เราชอบ ในส่วนผู้อ่านนั้น ถือว่าไม่มีกำแพงเชื้อชาติภาษามากั้น คนที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นมนุษย์ ปุถุชน มีความอยาก อยากได้ อยากดี อยากสวย อยากเก่ง ซึ่งมันก็คือคนทั่วไป ก็อ่านเล่มนี้ได้ มันถึงขายได้ทั่วโลกไง
ประโยชน์หลักของการอ่านหนังสือเล่มนี้
สิ่งที่มีประโยชน์คือกระตุกให้คุณคิดด้วยตัวเองและเพื่อตัวเอง ส่วนคุณจะคิดอย่างไร คุณไม่ต้องไปตามหน้าต่อหน้าของหนังสือหรอก
อุปสรรคในการแปล
เวลา และ The law of attraction นี่มันเป็นทฤษฎีที่ได้รับความนิยมในเมืองนอก จนมีสำนักคิดแบบนี้ เราจะแปลว่าอย่างไรดี ที่จริงในเมืองไทยมีคนที่เค้าแปลไว้ เค้าใช้คำว่ากฎแห่งแรงดึงดูด ซึ่งพี่เห็นด้วย เพราะพี่เรียนวิทย์ก็นึกพ้องถึงคำว่ากฎแห่งแรงโน้มถ่วง เราก็ต้องตามไปเทียบกับที่เค้าแปลไว้แล้ว ส่วนอีกเรื่องคือทำอย่างไรให้เข้าถึงผู้อ่านชาวไทย แต่อันนี้ไม่ยากมาก เพราะเป็นสิ่งที่เราถนัด เราเคยแปลนิยายฝรั่งจนคนไทยร้องไห้มาแล้วนิ