เรือพระราชพิธี และเห่เรือ มาจากไหน? เมื่อไร?
ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นพิธีกรรมทางน้ำที่พระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาต้องเสด็จมาประกอบพิธีเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของราชอาณาจักร ภาพลายเส้นนี้เป็นฝีมือชาวยุโรปที่เข้ามาสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1688 (พ.ศ.2231) |
วิชาความรู้หลายเรื่องล้าสมัยหรือไม่มีหลักฐานและร่องรอยสืบเนื่องรองรับสนับสนุน แต่พากันเชื่อถือสืบต่อมาโดยไม่มีสถาบันการศึกษาค้นคว้าตรวจสอบ ทำให้วิชาความรู้ที่ยกย่องล้วนบกพร่องผิดพลาด เช่น อ้างว่าเรือพระราชพิธีมีมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยทั้งๆ ไม่มีหลักฐานเลย ส่วนที่อ้างอิงตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือนางนพมาศ ก็เป็นหนังสือแต่งใหม่สมัยรัชกาลที่ 3 กรุงรัตนโกสินทร์ เรือพระราชพิธีในเรื่องจึงเป็นสมัยรัตนโกสินทร์ ไม่ใช่สมัยกรุงสุโขทัยตามที่อ้างอิงยกย่องกัน
เรือพระราชพิธี มาจากไหน? เมื่อไร?
เรือพระราชพิธี มีต้นกระแสพัฒนาการจากเรือศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มชาติพันธุ์สุวรรณภูมิราว 3,000 ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย
เรือศักดิ์สิทธิ์ มีหลักฐานให้เห็นเป็นรูปลายเส้นสลักบนกลองทอง (สัมฤทธิ์) หรือมโหระทึก เมื่อไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว พบในประเทศไทย, เวียดนาม, จีน ที่มณฑลกวางสี, และที่อื่นๆ ในสุวรรณภูมิบริเวณอุษาคเนย์ แสดงว่าชุมชนและบ้านเมืองยุคดึกดำบรรพ์ในภูมิภาคนี้ล้วนมีเรือศักดิ์สิทธิ์ที่จะเติบโตเป็นเรือพระราชพิธีเหมือนกันทุกแห่ง มิได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น
เรือ มีรูปร่างจากงู ที่ต่อมาเรียกนาค (ตามคำละตินและบาลี) หัวเรือมีรูปเป็นงูหรือนาค ส่วนหางเรือเรียวยาวไปเป็นงูหรือนาคนั่นเอง
คนสุวรรณภูมิทุกชาติพันธุ์ รวมทั้งบรรพชนคนไทยทุกวันนี้ มีความเชื่อ งู เรียก นาค เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นสัตว์บรรพบุรุษ สถิตอยู่บาดาลคือใต้ดิน เมื่อคนตายลงต้องกลับไปหาบรรพบุรุษในถิ่นเดิม คือโลกบาดาลอยู่ใต้ดิน งูหรือนาคเท่านั้น จะพากลับได้ปลอดภัย คนดึกดำบรรพ์สุวรรณภูมิเลยทำเรือรูปงูหรือนาคเป็นพาหนะ ใส่ศพรับกลับไปบาดาล หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทำโลงศพด้วยไม้เป็นรูปงูหรือนาค แล้วเรียกภายหลังว่าเรือ
ยามปกติคนยุคดึกดำบรรพ์ของสุวรรณภูมิทุกชาติพันธุ์ยกย่องงูหรือนาคเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองจากสิ่งชั่วร้ายอื่นๆ จึงเดินทางด้วยพาหนะศักดิ์สิทธิ์คือเรือรูปงูหรือนาค แล้วยังใช้ทำพิธีกรรมอื่นๆ อีก เช่น เสี่ยงทาย เป็นต้น แสดงออกโดยการแข่งเรือ
(บน) เรืออนันตนาคราชที่เมืองบางกอก กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ.2408 (ค.ศ.1865-1866) สมัยรัชกาลที่ 4 (ล่าง) เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชในรัชกาลที่ 4 ภาพนี้วาดจากรูปถ่ายเมื่อคราวรัชกาลที่ 4 เสด็จฯไปพระราชทานพระกฐินทางฝั่งธนบุรี เมื่อ พ.ศ.2408 (ลายเส้นหนังสือ The English Governess at the Siamese Court. โดยแอนนา เลียวโนเวนส์ หรือ Anna Harriette Leonowens. พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1870 หรือ พ.ศ.2413.) |
หลังรับศาสนาพราหมณ์-พุทธจากอินเดีย (ชมพูทวีป) แล้วมีราชสำนักขึ้นในบ้านเมืองและรัฐตั้งแต่ราวหลัง พ.ศ.1000 ลงมา ราชสำนักในภูมิภาคนี้ล้วนรับความเชื่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของพราหมณ์ที่นำเข้ามาใหม่ เช่น นาค เป็นแท่นบรรทมพระนารายณ์, หงส์เป็นพาหนะของพระพรหม, ฯลฯ ก็เริ่มดัดแปลงหัวเรือที่มีมาก่อนให้เป็นรูปสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามคติในศาสนาพราหมณ์ เพื่อยกย่องพระเจ้าแผ่นดินที่ประทับในเรือให้เป็นเทวดาตามคติพราหมณ์
นานเข้าก็มีเรือพระราชพิธีเพิ่มมากขึ้นจนเป็นขบวน เรียกขบวนเรือพระราชพิธีสืบเนื่องถึงปัจจุบัน
เห่เรือ มาจากไหน? เมื่อไร?
เห่เรือในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นประเพณีที่เพิ่งสร้างใหม่ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ น่าเชื่อว่าเริ่มมีในละครและเพลงดนตรีที่สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์ ทรงสร้างสรรค์ขึ้นในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 เพราะถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานตรงว่ายุคกรุงศรีอยุธยามีเห่เรือแบบเดียวกับที่มีทุกวันนี้ แต่มีผู้พบว่าแรกมีในรัชกาลที่ 4 แล้ว
เห่เรือ ทุกวันนี้หมายถึงขับลำนำเป็นทำนองอย่างหนึ่งในขบวนเรือพระราชพิธีพยุหยาตราทางชลมารค มีต้นเสียงเห่นำ แล้วมีลูกคู่เห่ตาม
แต่ เห่ หมายถึงทำนองขับลำนำเพื่อวิงวอนร้องขอหรือทำให้เพลินใจแล้วเคลิบเคลิ้มถึงหลับไปก็ได้ บางทีก็ใช้ควบคู่กับกล่อม คือเห่กล่อมพระบรรทมถวายเจ้านายเมื่อจะทรงบรรทม
กล่อม หมายถึงร้องเป็นทำนองเพื่อเล้าโลมใจ เช่น กล่อมเด็กคือร้องลำนำกล่อมให้เด็กเพลินจนนอนหลับ กล่อมหอ ขับร้องหรือเล่นดนตรีบนเรือนหอเพื่อให้รื่นเริงในพิธีแต่งงาน ฯลฯ
ในพิธีพราหมณ์สยาม มีพิธีกล่อมหงส์เป็นทำนองอย่างหนึ่งเรียกช้าเจ้าหงส์ คือเอาเทวดาลงเปล แล้วไกวพร้อมกล่อมช้าเจ้าหงส์ เป็นต้น ในกฎมณเฑียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยาไม่มีกล่าวถึงเห่เรือ จะมีก็แต่การละเล่นเพลงเรือของราษฎรทั่วไป ที่มีโห่ร้องแล้วมีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ดีดสี ตีเป่า ประกอบด้วย แต่เห่เรือต่างจากโห่ร้อง ฉะนั้นอย่าเอาไปปนกัน
ทวาทศมาส ไม่มีเห่เรือ
พิธีพระบรมศพของกษัตริย์เวียดนามสมัยก่อน ด้านบนเป็นลายเส้นกระบวนเรือในพิธีพระบรมศพ (เขียนเมื่อ ค.ศ.1782 (พ.ศ.2325) จาก Encyclopedia HANOI VIETNAM, 2000.) |
วรรณคดีเก่าสุดยุคต้นกรุงศรีอยุธยาแต่งขึ้นราว พ.ศ.2000 พรรณนาประเพณีพิธีกรรม 12 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือน 5 ราศีเมษ ตามคติพราหมณ์ พอถึงเดือน 11 มีแข่งเรือ เดือน 12 มีลอยโคม (ปัจจุบันเรียกลอยกระทง) แต่โคลงดั้นที่พรรณนากระบวนเรือ "ไกรสรมุข" และ "ศรีสมรรถไชย" ไม่มีกล่าวถึงเห่เรือ หรืออื่นใดที่เกี่ยวข้องกับเห่กล่อมเลย ดังโคลงดั้นพรรณนาเริ่มต้นฤดูแข่งเรือเดือน 11 อาสยุช
ถ้าจะเกี่ยวข้องเห่เรือบ้างแม้จะไม่กล่าวถึงโดยตรง แต่ชวนให้เชื่อได้ว่ามีพิธีขับลำนำเป็นทำนองวิงวอนร้องขอ เช่น ขอขมาดินและน้ำ ฯลฯ ก็จะมีในพิธีบริเวณตำบลบางขดาน
ทวาทศมาสโคลงดั้น ระบุตำบลย่านที่ทำพิธีไล่น้ำชื่อบางขดาน มีเอกสารระบุว่าอยู่ใต้ขนอนหลวงวัดโปรดสัตว์ ที่แห่งนี้เมื่อ พ.ศ.2129 สมเด็จพระนเรศวรฯ เคยยกทัพมาตั้งค่าย มีปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า "ครั้งนั้นเสดจ์ออกไปประชุมพลทั้งปวง ณ บางกะดาน เถิง ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 เพลาอุษาโยค เสดจ์พยุหยาตราจากบางกะดานไปตั้งทัพชัย ณ ชายเคือง แล้วเสดจ์ไปละแวก ครั้งนั้นได้ช้างม้าผู้คนมาก" ในกำสรวจสมทุรเขียนว่า "จากมามาแกล่ใกล้ บางขดาน ขดานราบคือขดานดือ ดอกไม้" เพราะบริเวณนี้เป็น "ดินสะดือ" หมายถึงมีน้ำวนเป็นเกลียวลึกลงไป ถือเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำ เป็นทางลงบาดาลของนาค ต้องทำพิธีกรรมเห่กล่อมวิงวอนร้องขอต่อ "ผี" คือนาคที่บันดาลให้เกิดน้ำ
กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก ของ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (กุ้ง) ทรงพรรณนาประเพณีพิธีกรรม 12 เดือน เมื่อถึงเดือน 12 มีแต่ลอยโคม ไม่มีเห่เรือ
แม้พระนิพนธ์กาพย์เห่เรือของเจ้าฟ้ากุ้งก็ไม่พบหลักฐานว่าเคยใช้เห่เรือในยุคของพระองค์หรือยุคต่อมา ฉะนั้น น่าจะเป็นพระนิพนธ์กาพย์กลอนสังวาสที่ใช้ลีลาเห่เรือจริงๆ ของราษฎรยุคนั้น มาแต่งเลียนแบบตามที่ทรงพระนิพนธ์ว่า "ร้องโห่เห่ โอ้เห่มา"สอดคล้องกับยุคพระเจ้าบรมโกศนี้ โน้มหาธรรมชาติและความเป็นเสรีมากที่สุด (นิราศธารโศกพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์) มีตัวอย่างจำนวนมากในพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้ากุ้ง
ตลอดยุคกรุงธนบุรีไม่มีพยานเรื่องเห่เรือพระราชพิธีสืบจนยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ก็ไม่พบหลักฐานแม้เอกสารสำคัญที่น่าจะเป็นพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 3 อย่างเรื่องนางนพมาศ ก็ไม่พรรณนาเห่เรือ ทั้งๆ ที่พรรณนาเสด็จทางชลมารคยืดยาว จะมีก็แต่ร้องเล่นอย่างสักวา และเพลงเรือของราษฎร
"เสมียนมี" หรือหมื่นพรหมสมพัตสร กวีสมัยรัชกาลที่ 3 แต่งนิราศเดือน พรรณนาประเพณี 12 เดือน พอถึงเดือน 11 เดือน 12 มีประเพณีทางเรือแต่ไม่มีเห่เรือ
เห่เรือในขบวนพยุหยาตราทางชลมารคที่รู้จักทั่วไปบัดนี้ น่าจะมีขึ้นจาก รัชกาลที่ 4 มีพระราชนิยมปรับเปลี่ยนโบราณราชประเพณีให้ทันสมัย ส่งผลให้วัฒนธรรมด้านอื่นๆ ต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย เช่น งานละครและเพลงดนตรีแบบหนึ่งของสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ที่ทรงเริ่มสร้างสรรค์ตั้งแต่ พ.ศ.2442 มีร่องรอยในเพลงเต่าเห่ (มีคำอธิบายในสารานุกรมศัพท์ดนตรีไทย ภาคประวัติและบทร้องเพลงเถา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2538)
เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงปรับปรุงเพลงเต่าเห่ร่วมกับหลวงเสนาะดุริยางค์ (ทองดี ทองพิรุฬห์) บรรจุไว้ในบทคอนเสิร์ตเรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางลอย ได้จัดให้มีการเห่สอดปี่พาทย์เพิ่มเข้าไปในตอนท้ายต่อจากท่อน 3 อีกกระบวนหนึ่ง เป็นเหตุให้ผู้ฟังพากันเรียกเพลงนี้ว่า "เพลงเต่าเห่" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เห่เรือทุกวันนี้มีลูกคู่สอดแทรกจังหวะ ชะ กับ สร้อย ฮ้าไฮ้ ล้วนได้จากเพลงเรือที่ชาวบ้านร้องเล่นตั้งแต่ลุ่มน้ำโขงถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยา แล้วมีเหลือร่องรอยเค้าต้นอยู่ในเพลงเทพทอง, เพลงอีแซว, เพลงเรือ ฯลฯ ซึ่งน่าเชื่อว่าเห่เรือทางชลมารคของหลวงได้จากประเพณีชาวบ้านมาปรับใช้เป็นประเพณีในราชสำนักสืบจนทุกวันนี้
คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม นสพ.มติชน หน้า 34วันที่ 02 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10828