เราจะต้องเอาปราสาทเขาพระวิหารกลับคืนมา ให้เป็นของชาติไทยให้จงได้
อติภพ ภัทรเดชไพศาล
คำปราศรัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ที่ผมยกมาตั้งเป็นหัวเรื่อง ถูกตอกย้ำรุนแรงมากขึ้นทุกทีๆ ในปัจจุบัน คำพูดนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และเผลอๆ อาจจะกลายไปเป็นวาทะอมตะอีกอันหนึ่งของท่าน เหมือนประโยคอื่นๆ อย่าง พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ ก็ได้
จอมพลผ้าขาวม้าแดงผู้เคยสั่งแบนเพลงอย่างกลิ่นโคลนสาปควาย และเคยโมโหโกรธากับเพลงบางเพลงของคำรณ สัมบุณณานนท์ แสดงความรักชาติผ่านคำปราศรัยในค่ำวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ที่มีลักษณะไม่ผิดไปจาก drama ความโกรธเกลียด ผูกใจเจ็บไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า ลุกลามสะเทือนไปถึงวงการเพลงไทย เกิดงานเพลงที่เกี่ยวเนื่องกันเป็นจำนวนไม่น้อย
เพลงแรกๆ น่าจะเป็นงานของชัยชนะ บุณนะโชติ ที่ชื่อว่า ของเขาไม่เอา ของเราไม่ให้ ที่แต่งโดยพยงค์ มุกดา อยู่ในงานที่เป็นการบันทึกเสียงครั้งแรกสุดของชัยชนะ อันส่งผลให้เส้นทางความเป็นนักร้องอาชีพของเขาปรากฏเป็นจริง
อีกเพลงหนึ่งคือ เขาพระวิหารต้องเป็นของไทย ของก้าน แก้วสุพรรณ ที่ร้องด้วยสำเนียงไทยแปร่งๆ ขึ้นต้นด้วยเสียงตะโกนกู่ว่าเขาพระวิหารต้องเป็นของไทย!
เพลงของคำรณ สัมบุณณานนท์ ที่ชื่อว่า เขาพระวิหารแห่งความหลัง นั้นลงท้ายด้วยลูกคู่แสบๆ ที่ยกความจริงเรื่องทางขึ้นเขาพระวิหารมาเป็นอาวุธได้อย่างแหลมคม:
ขี้ตู่กลางนา ขี้ตาตุ๊กแก ของเราแท้ๆ แล้วจะมาแย่งเอาไป
ขี้ตู่กลางนา ขี้ตาตุ๊กแก เป็นของขะแม แล้วไงมาขึ้นทางไทย
นอกจากนี้แล้วยังมีเพลงคู่ ร้องโต้ตอบกันระหว่างพร ภิรมย์ กับชาย เมืองสิงห์
ส่วนงานสมัยใหม่หน่อยก็เห็นจะเป็นวงอินโดจีน ที่ออกมาในช่วงปี พ.ศ. 2533 ใช้ชื่อเพลงว่าเขาพระวิหาร จับประเด็นว่าทางเข้าอยู่ที่ศรีสะเกษ (กรณีนี้น่าแปลกใจนิดๆ ที่อยู่ดีๆ ก็เกิดการปลุกกระแสขึ้นมาเองโดยนักดนตรี โดยไม่มีเงื่อนปมทางการเมืองมาเกี่ยวข้องในระยะนั้น)
ที่จริงการเคยได้เข้าครอบครองดินแดนส่วนนั้นของไทยก็เป็นไปในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ไม่ใช่หรือ? รัฐบาลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ทำการปักเขตแดนเอาก็เมื่อ พ.ศ. 2483 เข้าไปแล้ว โดยอาศัยการไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่นที่เป็นผู้ทรงอิทธิพลอยู่ในขณะนั้น
แล้วก่อนหน้านั้น เขาพระวิหารเป็นของใครหรือ? มีหลักฐานที่บันทึกถึงการเดินทางไปตรวจราชการมณฑลนครราชสีมาของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพใน พ.ศ. 2472 ซึ่งพระองค์ได้เสด็จขึ้นไปทอดพระเนตรปราสาทเขาพระวิหารด้วย โดยได้ทรงทำเรื่องขออนุญาตจากสถานกงสุลฝรั่งเศสก่อน ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นชัดๆ แล้วไม่ใช่หรือ ว่าในขณะนั้น เจ้านายชาวสยามยอมรับว่าดินแดนส่วนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส
แต่เอาเถิด ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เส้นพรมแดนมันไม่เคยเป็นเรื่องจริง ในบรรพกาลดินแดนต่างๆ ก็ไม่เคยมีเส้นแบ่ง และมีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติชาติวงศ์อย่างซับซ้อน
ปราสาทพระวิหารมีชื่อเก่าเรียกว่า ศรีศิขเรศวร มีลักษณะชัยภูมิที่โดดเด่นซึ่งอาจแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสถานที่แห่งนี้มาแต่แรก มีจารึกที่เล่าประวัติความเป็นมาของสายตระกูลพระเจ้าชัยวรมันที่สอง ที่ขยายอำนาจเข้าสู่ดินแดนแถบนี้ และมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับผู้ครองดินแดนรุ่นก่อนอย่างใกล้ชิด แสดงให้เห็นว่าพื้นที่แถบนี้เป็นดินแดนร่วมที่ผนวกแผ่นดินหลายๆ ผืนเข้าไว้ด้วยกันอย่างกว้างขวางมากในสมัยหนึ่ง
ก็พื้นที่ทับซ้อนแบบปราสาทพระวิหารนี่แหละ ที่แสดงให้เราเห็นว่าเราทั้งสองประเทศนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน มันควรเป็นสิ่งที่นำไปสู่ความร่วมมือ มากกว่าจะนำไปสู่ความแตกแยก มากกว่าที่จะถูกใช้เป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจของใครบางคน พื้นที่นี้ควรเป็นดินแดนที่เชื่อมโยงเราเข้าหากัน อย่างเป็นอิสระ ไม่มีขอบ ไม่มีเขตต่างหาก!
จะมีประโยชน์อะไรกับการมากำหนดเส้นเขตแดนปลอมๆ เพียงเพื่อที่จะสร้างความแตกแยกให้ร้าวลึกลงไปในใจของผู้คนทั้งสองประเทศ?

คำรณ สัมบุณณานนท์ ศิลปินอันตรายผู้ร้องเพลงเขาพระวิหารแห่งความหลัง