ระดับมัธยมต้น (กาพย์ยานี 11) 8 สำนวน
(1. วิมลรัตน์) ลมปาก
ส่ง 29 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ มนุษย์เผ่าพงศ์พันธุ์ ได้สร้างสรรค์ซึ่งภาษา
บ้างกลายเป็นคำด่า ครหาคำเสียดสี
๏ เกิดมาเป็นมนุษย์ เปรียบปากดุจเส้นชั่วดี
รสคำย่อมพึงมี บ่งบอกชี้ถึงจิตใจ
๏ เพียงลมที่ออกปาก บ่งบอกมากถึงนิสัย
กล่าวแค่คำหนึ่งไซร้ บ่งบอกได้ถึงใจคน
๏ พูดดีคนคบหา กอปรกิจจาย่อมเกิดผล
สวรรค์ย่อมดาลดล ให้หลุดพ้อจากภัยพาล
๏ พูดชั่วหยิ่งยโส ยามโมโหปานไฟกัลป์
คราวทุกข์แม้สวรรค์ ยังไม่หันมาอวยชัย
๏ ก่อนพูดคิดสักนิด ไตร่ตรองคิดก่อนจะสาย
กล่าวผิดควรละอาย ยามต่อไปไม่กระทำฯ
...............................................
(2. สิรามล) ลมปาก
ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ คารมหรือลมปาก ฟังไม่ยากหากหวานหู
ทันใดได้รับรู้ ได้ฟังดูแล้วชื่นใจ
๏ สำเนียงเสียงหวานหวาน ยามกล่าวขานสะท้านไหว
น้ำคำหวานฉ่ำใจ บอกความนัยน้ำใจคน
๏ น้ำคำจะล้ำค่า มีวาจาเป็นนายตน
วาจาจะไร้ผล ถ้าหากคนมุสากัน
๏ หลงชมหลงลมปาก อาจลำบากและโศกศัลย์
มุสาวาทานั้น โทษมหันต์แห่งพิษภัย
๏ พูดดีเป็นศรีศักดิ์ คนรู้จักย่อมรักใคร่
ทุกสิ่งพูดจริงใจ ย่อมจะได้ซึ่งไมตรี
๏ พูดดีมีคนรัก จงตระหนักในศักดิ์ศรี
เอ่ยคำพร่ำพาที ลมปากดีเป็นศรีตนฯ
...............................................
(3. นายภาสกร) ลมปาก
ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ ลมปากที่หวานหู น่าชื่นชูไมตรีจิต
หากแฝงแรงยาพิษ ย่อมหมดสิทธิ์ระแวงภัย
๏ เรื่องเล่าที่กล่าวอ้าง เป็นหลุมพรางที่กว้างใหญ่
ก่อนคิดตัดสินใจ วินิจฉัยให้ถ่องแท้
๏ คำพูดคนสองหน้า ประเมินค่าเป็นสองแง่
ดีชั่วเป็นตัวแปร ชี้วัดในจิตใจคน
๏ คำพูดที่สัตย์ซื่อ น่านับถือกลับไร้ผล
ลมปากของคนจน กลับมืดมนไม่สนใจ
๏ ลมปากของคนมี กลับเป็นที่น่าเลื่อมใส
กำหนดกฎเกณฑ์ใด ลมปากใครคือความจริง
๏ ฤาเงินฤาอำนาจ มีสิทธิ์ขาดเหนือทุกสิ่ง
คนใหญ่ไม่ถูกติง เหมือนขว้างทิ้งความเป็นธรรม
๏ เพราะปากที่เหม็นเหน่า บ้านเมืองเราจึงตกต่ำ
บอดใบ้ชดใช้กรรม หยุดพูดพร่ำ...หยุดทำลาย...ฯ
...............................................
(4. ศุภกฤต) ลมปาก
ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)
๏ ลมเอ๋ยลมปาก หวานเดี๋ยวจากสิ้นจางหาย
พร่ำเพรื่อพูดโปรยปราย ไร้ความหมายไม่เป็นจริง
๏ลมปากคล้ายลมโชย โบกผิวโบยมิหยุดนิ่ง
ร้อนแรงอย่างพริกขิง บ้างเย็นยิ่งอย่างพงไพร
๏ ลมปากมักชักจูง โน้มน้าวสูงให้หวั่นไหว
จงคิดตริตรองไว้ อย่าเชื่อใครไม่หูเบา
๏ ลมปากเหมือนปลาหมอ อาจเสื่อมก็เพราะปากเจ้า
พูดดีไม่มีเศร้า พูดชั่วเข้าเพิ่มมลทิน
๏ ลมปากไม่แน่วแน่ มิเที่ยงแท้ซื่อตรงสิ้น
ทำให้คนพังภิน ประชาหมิ่นไม่หันมอง
๏ ลมปากดาบสองคม ให้สุขสมตามหมายปอง
บ้างพูดให้หม่นหมอง ตามครรลองวิถีคน
๏ ถ้าหากคิดจะกล่าว ขอให้เจ้าคิดสองหน
ลมปากอาจพาจน หรือสุขล้นพ้นทุกข์ไป
๏ ถ้าหากสนทนา อย่าเอ่ยอ้านินทาใคร
พูดคิดสิ่งดีไว้ ย่อมทำให้ใจเบิกบาน
๏ ถ้าเพียงแค่ลมปาก ปราศจากสาระสาร
จงเปลี่ยนลมปากมาร ให้เป็นการพูดดีเอยฯ
...............................................
(5. เกตน์สิรี + สุภาพร) ลมปาก
ส่ง 26 มิถุนายน 2551 (ทางไปรษณีย์)
๏ พูดไปไร้เหตุผล ไม่ทำตนให้ไร้ค่า
อย่าไปพูดดุด่า อย่าไปว่าพาวอดวาย
๏ ไม่พูดดูถูกใคร ไม่ใส่ไฟให้เสียหาย
อีกฝ่ายจะมลาย จะกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่
๏ คิดพูดหาเหตุผล อย่าเป็นคนเอาแต่ใจ
พูดดีมีแต่ได้ ขุ่นอยู่ในใสอยู่นอก
๏ จงพูดแต่สิ่งดี ไม่ราคีไม่นอกคอก
มุสาศีลพระบอก ไม่ลวงหลอกเป็นสิ่งดี
๏ ลมปากเป็นเสน่ห์ ช่างดูเท่ห์มีศักดิ์ศรี
รักดีลมปากนี้ เอื้อนวจีเป็นมงคลฯ
...............................................
หมายเหตุคณะทำงานฯ :
1. ผิดกติกา เขียน 5 บท (กติกากำหนด 6-10 บท)
2. ผิดกติกา มีชื่อผู้ส่งเข้าประกวด 2 คน ในผลงานชิ้นเดียวกัน
(ไม่ใช่ผลงานของผู้เขียนคนเดียว)
(6. ศรีระณา) ลมปาก
ส่ง 27 มิถุนายน 2551 (ทางไปรษณีย์)
๏ ลมปากโบราณว่า ยากหนักหนาจะเชื่อได้
คำพูดเปรียบน้ำไหล ผันแปรไปไม่จบสิ้น
๏ ได้ฟังหลงดีใจ จริงแน่ไซร้ที่ได้ยิน
เขาหลอกจนเคยชิน เราหมดสิ้นกลิ่นศรัทธา
๏ เหมือนดั่งคู่หญิงชาย ที่หมั้นหมายไว้หนักหนา
ไม่นานก็เลิกลา เพราะวาจาไม่ตรงใจ
๏ โทษมากนักลมปาก เพราะเกิดจากเอ่ยผิดไป
ผลลัพธ์เห็นหรือไม่ สุดแต่ใจใคร่นึกคิด
๏ ลมปากหากต้องใช้ อย่าเอ่ยในทางที่ผิด
อาจทำให้มิ่งมิตร ต้องร้อนจิตคิดวุ่นวาย
๏ โปรดอย่าพูดป้ายสี เก็บความดีใส่ตัวไว้
เพื่อนพ้องต้องเสียใจ ผลสุดท้ายใครไม่แล
๏ คำพูดสื่อตัวตน ว่าเป็นคนเช่นไรแน่
หากพูดจากใจแท้ มิผันแปรน่าชื่นชม
๏ โปรดเถิดเหล่าชายหญิง กล่าวเรื่องจริงสิ่งเหมาะสม
ปากต่อปากชื่นชม ชนนิยมแม้ห่างไกล
๏ คนไทยมีภาษา เป็นคาถาน่าเลื่อมใส
ควรนำออกมาใช้ สื่อด้วยใจและวาจา
๏ จึงขอฝากไว้หน่อย ก่อนจะปล่อยลมปากมา
คิดก่อนเอ่ยพจนา ตรองก่อนว่าพูดอะไรฯ
...............................................
(7. ขจรศักดิ์) ลมปาก
ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางไปรษณีย์)
๏ ลมเอ๋ยลมร้ายแรง ภัยร้ายแฝงเหนือลมไหน
ลมปาก กระชากใจ ชนหลงใหลคำหว่านล้อม
๏ สร้างภาพเป็นสันดาน โปรยคำหวานหว่านคำหอม
วาจาฆ่าทางอ้อม แสร้งรอมชอมมัดใจคน
๏ ผู้นำสวมหน้ากาก มือถือสากอยากหวังผล
กอบโกยประโยชน์ตน คอยขันแข่งยื้อแย่งใคร
๏ อวดโอ้นโยบาย ย้อมแมวขายหมายเป็นใหญ่
อำนาจเงินง้างใจ ปากปราศรัยใจเชือดคอ
๏ เหล่าพาลผลาญเหล่าชน กระหายจนน้ำลายสอ
ทรัพย์สินกินไม่พอ ยังอ้อนขอคอเป็นเอ็น
๏ มารยาตีหน้าใส ขี้ก้อนใหญ่ให้เด็กเห็น
คำมั่นสัญญาเป็น คำเล่นลิ้นคนปลิ้นปล้อน
๏ น้ำเย็นทำปลาตาย อันตรายกว่าน้ำร้อน
น้ำคำพิษสั่นคลอน ผลสะท้อนเกินยับยั้ง
๏ กิ้งก่ายามได้ทอง หยิ่งจองหองอวดโอหัง
ลืมตนเมื่อเริ่มดัง ชนชิงชังระอาไป
๏ ปวงราษฎร์รู้ลิ้นลม เคยเล่นชมจนสาใจ
ดอกไม้บานครั้งใหม่ รับฟ้าใสหลังฝนซา
๏ ปลาหมอตายเพราะปาก มัวโลภอยากมากตัณหา
ปากคนยาวกว่ากา อย่าหลงคนเล่ห์คนโกงฯ
...............................................
(8. สาวิตรี) ลมปาก
ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางไปรษณีย์)
๏ สังคมสามัคคี ด้วยวจีที่ปราศรัย
พูดดีคนรักใคร่ ไม่ว่าร้ายใส่อารมณ์
๏ คำพูดนี้สำคัญ ช่วยใช้กันให้เหมาะสม
พูดเพราะน่าชื่นชม ในสังคมนั้นต้องการ
๏ ภาษาเรานี้ใช้ ร่วมปราศรัยการสื่อสาร
หน้าที่และการงาน ล้วนต้องการคำพูดดี
๏ ว่าร้ายใส่ความเท็จ ไม่สำเร็จมิตรหน่ายหนี
คำพูดที่เสียดสี ตัดไมตรีพี่น้องกัน
๏ สังคมคงวุ่นวาย คนทั้งหลายไร้สุขสันต์
หยาบคายกันทุกวัน ใส่ร้ายกันไม่อภัย
๏ พูดดีใจสงบ จิตจะพบความผ่องใส
พูดเพราะกับผู้ใด ผู้นั้นไซร้ผูกสัมพันธ์
๏ สังคมร่วมสั่งสอน ประชากรร่วมสร้างสรรค์
ดีร้ายอย่างไรนั้น สิ่งสำคัญคือวาจาฯ
...............................................