ระดับมัธยมปลาย (กลอนสุภาพ) 33 สำนวน
(1.อมันตา) ลมปาก
ส่ง 27 เมษายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ อันด้วยกรรณ เชื่อว่า พันสำลี ยามยกที นั้นเบา สุดเหลือหลาย
เเม้ฟังที ดีชั่ว นั้นกลับกลาย ดีหรือร้าย ไม่อาจ จะคาดเดา
๏ อันวาจา เชื่อว่า คือยาพิษ มีมากฤทธิ์ ให้ร้าย ไม่เหลือเค้า
พูดไม่ดี เเทงไป ในใจเรา โอ้เเสนเศร้า โกรธกัน กั้นไมตรี
๏ อันดวงตา เชื่อว่า คือหน้าต่าง ส่องสว่าง แทนใจ ไม่ใส่สี
ดั่งจันทรา บอกทาง กลางราตรี บอกเรานี้ ให้ทราบ ถึงความนัย
๏ ท่านสอนมา ดูคน ต้องดูตา อย่าเพียงว่า หูเบา ไม่เข้าใจ
เพียงเขาลือ ถือเชื่อ ไม่สืบไกล จะจริงเท็จ เช่นไร สุดจะทาย
๏ ท่านสอนมา บางวาจา เเค่ลมปาก บางก็กร่าง พูดมาก รากพรั่งพราย
กล่าวออกมา เพียงเเค่ จากรูปกาย สุดใจหาย จากใจ นั้นไม่มี
๏ อยากพูดดี ควรมี วาจาจิต สุดจะคิด จากใจ ไม่หน่ายหนี
ต้องซื่อสัตย์ ยึดมั่น คำไว้ดี มิเช่นนี้ จะเป็นเพียง ลมปาก เอยฯ
...............................................
(1. อมันตา) ลมปาก (ฉบับแก้ไข)
ส่ง 14 มิถุนายน 2551 ฉบับแก้ไข (ทางอีเมล์)
๏ อันด้วยกรรณเชื่อว่าพันสำลี ยามยกทีนั้นเบาสุดเหลือหลาย
เเม้ฟังทีดีชั่วนั้นกลับกลาย ดีหรือร้ายไม่อาจจะคาดเดา
๏อันวาจาเชื่อว่าคือยาพิษ มีมากฤทธิ์ให้ร้ายไม่เหลือเค้า
พูดไม่ดีเเทงไปในใจเรา โอ้เเสนเศร้าโกรธกันกั้นไมตรี
๏ อันดวงตาเชื่อว่าคือหน้าต่าง ส่องสว่างแทนใจไม่ใส่สี
ดั่งจันทราบอกทางกลางราตรี บอกเรานี้ให้ทราบถึงความนัย
๏ ท่านสอนมาดูคนต้องดูตา อย่าเพียงว่าฟังเขลาตามที่ให้
เพียงเขาลือถือเชื่อไม่สืบไกล จะจริงเท็จเช่นไรสุดจะทาย
๏ ท่านสอนมาบางวาจาเเค่ลมปาก บางก็กร่างพูดมากรากพรั่งพราย
กล่าวออกมาเพียงเเค่จากรูปกาย สุดใจหายจากใจนั้นไม่มี
๏ อยากพูดดีควรมีวาจาจิต สุดจะคิดจากใจไม่หน่ายหนี
ต้องซื่อสัตย์ยึดมั่นคำไว้ดี มิเช่นนี้จะเป็นเพียง ลมปาก เอยฯ
...............................................
(2. นวภัทร) ลมปาก
ส่ง 10 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)
๏ กระเพื่อมพริ้ว ริ้วไหว บนสายน้ำ พฤกษาฉ่ำ เมื่อต้อง ละอองผิว
ลมเอ๋ย ลมเอ๋ย ลมโบกปลิว พัดหวิวหวิว พัดเอื่อยเอื่อย พัดเรื่อยมา
๏ ลมหนึ่ง ซึ่งพัดลึก ลึกในจิต ลมนี้ จากความคิด ริษยา
ลมนี้ พัดรินริน กลิ่นมาลา ลมนี้ พัดเรื่อยมา จากมนุษย์
๏ ลมเอ๋ย ลมเป่า ให้เจ้าเคลิ้ม ลมเอ๋ย พัดเติม ความสิ้นสุด
ลมเอ๋ย ลมโบก ให้โลกทรุด ลมเอ๋ย ลมนี้ฉุด ให้ยุดยืน
๏ ลมเย็นฉ่ำ ร่ำใจ หายหม่นหมอง ลมความร้อน มาครอง ต้องขัดขืน
ลมดี พัดมา เรากลมกลืน ลมชั่ว อย่าหยิบยื่น พัดไป
๏ ลมพายุ ไหนเล่า เท่าลมนี้ พัดไปที เสียหาย ก็สร้างใหม่
ลมนี้ ลมลึก ตรึกในใจ หยั่งราก ชอนไช ในอุรา
๏ ลมเย็นแหล่งใดในโลก ที่พัดโบก พัดนาน หาญกล้า
ลมนี้ พัดหลาก จากวาจา มีค่า มีโทษ มีโกรธ ดี
๏ ลมนี้อยู่ไม่ไกลเกินเรา มีเศร้า มีทุกข์ เพราะลมนี่
ดีใจ ปลื้มใจ เพราะลมนี้ พัดดี พัดไม่ดี อยู่ที่ใจ
๏ ลมที่ว่า นี่คือลมปาก ลมนี้แหละที่มากความยิ่งใหญ่
บันดาล ทุกข์ สุข ในฤทัย สรรค์สร้าง ความเกรียงไกร ให้กวี...
...............................................
(3. ฆาตกวี) ลมปาก
ส่ง 30 พฤษภาคม 2551 (ทางอีเมล์)
๏ ลมกรรโชกโกรกกระหน่ำคร่ำครวญคราง ฤๅจะสู้เล่ห์ลมบางทางชิวหา
แม้เพียงนิดแฝงพิษร้ายพรางกายมา ดั่งลมบ้าถาโถมครึกโครมครัน
๏ ลม...บางครั้งฟังสดชื่นระรื่นหู ราวดอกไม้พรั่งพรูพาสุขสันต์
สุรเสียงเรียงร้อยถ้อยรำพัน ใครจะรู้เท่าทันว่ามีภัย
๏ ลม...เสกสรรค์ปั้นแต่งคือแช่งสาป คอยกำราบปราบคนโง่ผู้หลงใหล
เพราะคำหยอดยวนเย้าจึงเข้าใจ ว่าลมนั้นคือดอกไม้กลิ่นหอมอวล
๏ ลม...เสแสร้งแกล้งประดิษฐ์ให้จิตเชื่อ ดังใบมีดกรีดเนื้อเมื่อสรวล
หากหูเบาเขลาคลั่งคำรัญจวน เหมือนหอกทวนจ่อคอรอวันตาย
๏ ลมปากใครใคร่พร่ำคำพรรณนา เจรจาควรคำนึงถึงความหมาย
อย่าหูเบาให้เป่าเล่นเป็นวอดวาย อาจเจ็บกายในภายหลังระวังตน
๏ ลมป้อยอปอปั้นท่านสรรเสริญ หูเบาเพลินหลงไหลใจสับสน
เชื่อแต่เขาเมาลมปากอาจอับจน ลมปากคนฆ่าคนได้ง่ายดายเอย
...............................................
(4. ภัทรียา) ลมปาก
ส่ง 4 มิถุนยน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ ลมเพลมพัดลมซัดลมโชย ลมโบกลมโบยลมโหมลมหึง
ลมใดเล่าเบาบางหากลึกซึ้ง ลมปากหนึ่งน้อยนิดพิชิตคน
๏ ลมรำเพยคำหวานน้ำตาลหยด มธุรสวาจาพาสายฝน
เย็นระรื่นชุ่มฉ่ำจากเบื้องบน น้ำใจรินเอ่อล้นรดผืนทราย
๏ ลมรำพึงคำหยาบดั่งหนามยอก ทั้งเจ็บนอกเจ็บในไม่ยอมหาย
ร้อนระอุผลาญอกจวนเจียนตาย ความสบายคลายสิ้นด้วยลิ้นพาล
๏ ลมลวงหลอกร้ายกาจนั้นบาดจิต ดุจยาพิษเคลือบแฝงแต่งรสหวาน
เมื่อลิ้มลองฝาดขมตรมเนิ่นนาน ต้องซมซานซัดเซเพราะเล่ห์กล
๏ ลมจริงแท้ทุกถ้อยก็กร่อยจืด มันฟังฝืดฝืนหูรูขุมขน
ขวานผ่าซากพรากเสน่ห์ออกจากคน ระคายตนเหมือนมดกัดคันคะเยอ
๏ ปากกับใจตรงกันสำคัญนัก ต้องรู้จักยั้งคิดอย่าพลั้งเผลอ
คบพูดดีพูดหวานไว้เป็นเกลอ ฤทธิ์เสมอทรัพย์ติดตัวไปชั่วกาลฯ
...............................................
(5. สุทธิ) ลมปาก
ส่ง 14 มิถุนายน 2551(ทางอีเมล์) และ 15 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)
๏ ...หยิบสมุดปากกามาเรียงร้อย ให้แช่มช้อยอ่อนหวานจะขานไข
เปรียบลมปากดุจลมโบกโบกในใจ พัดพาให้ทุกสิ่งสรรพปรับเปลี่ยนพลัน
๏ ลมนี้พาใจคนให้สูงต่ำ ลมนี้นำชีวาพาสุขสันต์
ลมนี้สร้างทางสุขทุกคืนวัน ลมนี้หันหนีทุกข์นำสุขมา
๏ หากลมร้ายพัดมาพากลับกลอก ดุจเอาหอกทิ่มแทงทั้งแข้งขา
ทำให้คนเป็นตายวายชีวา เพราะวาจาไม่สัตย์ชื่อถือคุณธรรม
๏ แม้นลมใดในโลกที่โบกพัด พายุซัดโหมนำกระหน่ำซ้ำ
มิอาจสู้ลมในจิตคิดทิ่มตำ เป็นเหตุทำให้คนเปลี่ยนหมุนเวียนวน
๏ เหตุเพราะลมจากวาจาอันว่าไป เหนือสิ่งใดคือคำนึงถึงเหตุผล
หากพูดไปไม่ระวังพลั้งเผลอตน สิ่งที่คนได้รับจะอับอาย
๏ ก่อนจะกล่าวออกไปให้ยั้งคิด ให้พินิจพิจารณาหาความหมาย
ให้รื่นหูดุจต้องมนตร์อยู่มิคลาย ค่ามากมายหากพูดเพราะเสนาะกรรณ
๏ โบราณว่าอย่าหมุนไปในลมปาก จะยุ่งยากหากพลั้งผิดคิดเปลี่ยนผัน
ก่อนเชื่อจงตรองตริพินิจครัน แล้วชีวันจะมีสุขทุกเพลา...
...............................................
(6. Chocoholics) ลมปาก
ส่ง 24, 25 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ หนึ่งถ้อยคำสำเนียงที่กล่าวมา หนึ่งเวลายังคงจำคำคนกล่าว
หนึ่งถ้อยคาใจคนรับเคยแพรวพราว หนึ่งเรื่องราวยังคงจำตราตรึงใจ
๏ เพียงถ้อยคำที่ออกมาจากลมปาก เกิดหลายหลากอารมณ์ของใครใคร
มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนไป สุดแต่ใจอยากเอ่ยสิ่งใดมา
๏ คนบางคนพูดออกมาเพียงบอกผ่าน พอถึงกาลผ่านพ้นก็จากลา
คำสัตย์แท้ของคนยากจะหา เมื่อเวลาผ่านไปก็กลับคำ
๏ ดั่งเช่นเอ่ยสาบานต่อฟากฟ้า จะรักษาคำสัตย์จะจดจำ
จะทำดีกรรมชั่วจะไม่ทำ คำพึมพำเหล่านั้นใช่จริงใจ
๏ เหมือนคู่รักหญิงชายให้สัญญา รักหนักหนาจะไม่จากลาไปไกล
คำพูดนั้นเหมือนจริงใจและห่วงใย แต่ไฉนไหนตอนจบคือจากลา
๏ เมื่อสดับรับฟังเช่นนี้แล้ว เสียงเจื้อยแจ้วก่อนจะกล่าวสิ่งใดมา
อยากสมปรารถนาดั่งวาจา ให้รักษาคำพูดให้จริงใจ
๏ อย่าได้กล่าวออกมาแต่ลอยลอย มีคนคอยรับฟังไม่ว่าใคร
เขามีสุขหรือทุกข์อยู่ที่ไหน สิ่งนั้นไซร้มีที่มาจากลมปากฯ
...............................................
(7. นัยน์ภัค) ลมปาก
ส่ง 25 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์ + ทางเว็บบอร์ด)
๏ สายลมโบกพัดพลิ้วปลิวไสว สายลมโบกไกวไปในสายฝน
สายลมโบกพัดพลิ้วในสายชล สายลมโบกผ่านพ้นธรณี
๏ สายลมพัดพาดผ่านลานทุ่งหญ้า สายลมพัดฟากฟ้าราวสุขี
สายลมพัดผ่านตัวทุกนาที สายลมพัดยังมีจิตมั่นคง
๏ แต่ลมปากดั่งพร่ำเพ้อพรรณนา เหมือนวาจามุ่งพาชวนลุ่มหลง
หลอกลวงเล่นลิ้นเล่ห์ลากรั้งลง ให้จิตตรงผู้เอื้อนเอ่ยถ้อยวจี
๏ ก่อนปลักจิตจึ่งคิดพินิจเคราะห์ อย่าเชื่อเพราะวาจาพาสุขศรี
จงนึกคิดตริตรองอย่าลองดี จักเปรมปรีดิ์มีสุขทุกคืนวัน
๏ ลมปากคนเปรียบได้กับยาพิษ ฆ่าชีวิตทำร้ายทำลายฝัน
ใจประดิษฐ์สร้างแต่งมากอนันต์ เปลี่ยนแปรผันผันตามผู้เปล่งพจน์นิพันธ์
๏ หากเป็นเช่นนั้นจักเชื่อได้ฤๅ ทุกพจน์คือความจริงแน่หรือนั่น
เพียงคำพูดเอื้อนเอ่ยจรรจานั้น ยังขวางกลั้นหยั่ง บ สุดกมลมาน
๏ ดังนั้นฟังลมวจีอย่าเพิกเฉย หรือละเลยเชื่อมั่นเป็นหนักหนา
ต้องนึกคิดวิเคราะห์จารณา ลมปากมาทำร้ายมิได้เอยฯ
...............................................
(8. อมลรดา) ลมหนาว
ส่ง 28 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ ลมหนาวเอยโหมรำเพยมาทางนี้ ทุกท่วงทีพากายให้หนาวสั่น
อดทนได้หนาวกายลมโรมรัน ยังยืนยันอยู่ได้ด้วยกายใจ
๏ หากแต่ลมที่พัดใช่ลมหนาว เป็นลมปล่าวจากปากมากสงสัย
ลมปากบาดหัวจิตและหัวใจ กายก็อยู่สู้มิไหวไร้แรงยืน
๏ คนเป็นคนใช่วัดคนที่ลมปาก คำหลายหลากกลับกลอกหลอกลวงหนี
อย่านำคิดพิจารณาว่าคำดี จะมามีสิทธิตัดสินความคิดเรา
๏ จิตมนุษย์หยั่งแล้วมิอาจถึง สุดลึกซึ้งความคิดติดสงสัย
คำบางคำบางคนพูดจับใจ คำบางคนฟังแล้วไซร้ใจเจ็บจริง
๏ ตัวเราเองมิชอบคำลมปาก สุดอนาจทำจิตให้พิจหมอง
คำพูดเลวนินทาว่ากลับกลอน ใครจะอยู่ให้รอนทอนศักดิ์ลง
๏ คนหลายคนหลายความหลายความหมาย มีมากมายยากตีความจากการเห็น
ดูง่ายดายดวงตาดูให้เป็น หรือจะซ่อนจะเร้นจะปิดบัง
๏ สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ให้คิด พิจสักนิดคำควรครหา
อน่าเชื่อหลงคำคนจนมรณา แต่จงฟังแค่มาประดับตนฯ
...............................................
(9.ชลธิชา) ลมปาก
ส่ง 29 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์) และ จันทร์ 30 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)
๏ อันวาจาจากมนุษย์สุดลึกล้ำ สามารถนำน้อมใจให้คิดเผลอ
จะให้รักรักเร้าเฝ้าละเมอ หรือให้เก้อเกลียดคิดเพียงบิดเบือน
๏ เมื่อลมปากปากเป่าจนเข้าหู แล่นเข้าสู่ทรวงแล้วมิแคล้วเคลื่อน
เปล่งคำพูดพูดแน่อย่าแชเชือน จะเชือดเฉือนกระชากจิตให้ผิดใจ
๏ วาทศิลป์ศิลป์ศาสตร์วาดฝีปาก โน้มน้าวฝากฝังวาจาน่าหลงไหล
ให้เชื่อตนเลือกตนทุกหนไป บ้างก็ได้ดั่งประสงค์ตรงจิตปอง
๏ พูดให้ดีดีก็ได้ดั่งใจอยาก ไม่พูดมากมุ่งแต่ทำเร่งนำร่อง
พูดไม่ดีดีไม่ได้ใครอยากมอง ดีแต่ท่องว่าทำแน่แต่ไม่ทำ
๏ อีกลมปากปากไม่ดีมีโทษอีก มันจะฉีกกระชากมิตรไม่คิดขำ
มันเชือดเฉือนเหน็บเจ็บทุกคำ ไมตรีช้ำชอกฉุนขุ่นข้องมัว
๏ พูดให้เย็นเย็นจิตไม่คิดมาก พูดมาจากใจจิตไม่คิดชั่ว
พูดใส่ใจใจเขาเข้าใส่ตัว แล้วถ้วนทั่วจะสงบพบสุขดี
๏ พูดให้ร้อนร้อนใจใจไร้สุข พบแต่ทุกข์ท้วนท้นคนหน่ายหนี
พูดใส่ไฟไฟก็เผาเข้าทันที ให้ร้อนรี่รุ่มเร้าเข้าสุ่มกาย
๏ เปรียบ ไฟ น้ำ น้ำย่อมเย็นยะเยือกกว่า ชโลมหล้าให้ซึมซับดับกระหาย
ผิดกับไฟไฟเผามอดจนวอดวาย ฤทธิ์เหลือร้ายร้อนลนคนระอา
๏ สังคมหมู่หมู่คนชนร่วมพัก ต้องรู้จักเรียงร้อยถ้อยภาษา
พูดอะไรอย่างไรเหมาะวิเคราะห์มา ก่อนวาจาจะทำผลคนหน่ายกัน
๏ รู้จักใช้ใช้ลมปากถากทางวิ่ง ให้ทุกสิ่งสมได้ดั่งใจฝัน
แต่ต้องถูกผูกคล้องทำนองกัน อย่าฟาดฟันหั่นหัวเพื่อตัวเอยฯ
...............................................
(9. ชลธิชา) ลมปาก (ฉบับแก้ไข)
ส่งจันทร์ 30 มิถุนายน 2551 ฉบับแก้ไข (ทางอีเมล์)
๏ อันวาจาจากมนุษย์สุดลึกล้ำ สามารถนำน้อมใจให้คิดเผลอ
จะให้รักรักเร้าเฝ้าละเมอ หรือให้เก้อเกลียดคิดเพียงบิดเบือน
๏ เมื่อลมปากปากเป่าจนเข้าหู แล่นเข้าสู่ทรวงแล้วมิแคล้วเคลื่อน
เปล่งคำพูดพูดแน่อย่าแชเชือน จะเชือดเฉือนกระชากจิตให้ผิดใจ
๏ วาทศิลป์ศิลป์ศาสตร์วาดฝีปาก โน้มน้าวฝากฝังวาจาน่าหลงใหล
ให้เชื่อตนเลือกตนทุกหนไป บ้างก็ได้ดั่งประสงค์ตรงจิตปอง
๏ พูดให้ดีดีก็ได้ดั่งใจอยาก ไม่พูดมากมุ่งแต่ทำเร่งนำร่อง
พูดไม่ดีดีไม่ได้ใครอยากมอง ดีแต่ท่องว่าทำแน่แต่ไม่ทำ
๏ อีกลมปากปากไม่ดีมีโทษอีก มันจะฉีกกระชากมิตรไม่คิดขำ
มันจะเชือดเฉือนเหน็บเจ็บทุกคำ ไมตรีช้ำชอกฉุนขุ่นข้องมัว
๏ พูดให้เย็นเย็นจิตไม่คิดมาก พูดมาจากใจจิตไม่คิดชั่ว
พูดเอาใจของเขาเข้าใส่ตัว แล้วถ้วนทั่วจะสงบพบสุขดี
๏ พูดให้ร้อนร้อนใจใจไร้สุข พบแต่ทุกข์ท่วมท้นคนหน่ายหนี
พูดใส่ไฟไฟก็เผาเข้าทันที ให้ร้อนรี่รุมเร้าเข้าสุ่มกาย
๏ เปรียบ ไฟ น้ำ น้ำย่อมเย็นยะเยือกกว่า ชโลมหล้าให้ซึมซับดับกระหาย
ผิดกับไฟไฟเผามอดจนวอดวาย ฤทธิ์เหลือร้ายร้อนลนคนระอา
๏ สังคมหมู่หมู่คนชนร่วมพัก ต้องรู้จักเรียงร้อยถ้อยภาษา
พูดอะไรอย่างไรเหมาะวิเคราะห์มา ก่อนจรรจาจะทำผลคนหน่ายกัน
๏ รู้จักใช้ใช้ลมปากถากทางวิ่ง ให้ทุกสิ่งสมได้ดั่งใจฝัน
แต่ต้องถูกผูกคล้องทำนองกัน อย่าฟาดฟันหั่นหัวเพื่อตัวเอยฯ
...............................................
(10. ชวิน) ลมปาก
ส่ง 29 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ หลายบทกลอนสอนย้ำเรื่องคำพูด ช่วยพิสูจน์ความจริงที่ยิ่งใหญ่
ถึงหมื่นลมทำลายเมืองหายไป มิเท่าภัยลมปากหากไม่คิด
๏ ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
อำนาจของวาจานำพามิตร หรือแผลงฤทธิ์ฆ่าตนไปจนตาย
๏ อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
หยาดน้ำคำซึ้งใจไม่รู้คลาย ด้วยความหมายซ่อนไว้ใช่ของปลอม
๏ สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม
ในความหวานภุมรินเที่ยวบินดอม ฤาอาจออมมิตรภาพที่ซาบซึ้ง
๏ อย่าให้ตนรับกรรมจากคำเอ่ย เป็นจำเลยจากภัยคาดไม่ถึง
ทุกถ่วงถ้อยทุกคำควรคำนึง สมควรจึงพูดไปให้ได้ความ
๏ บทเรียนจากลมปากมีมากอยู่ ลองมองดูคิดย้ำตั้งคำถาม
ถ้าหากปากพูดเพลินเกินห้ามปราม ควรนิยามเรื่องอะไร...ให้ปากทำฯ
...............................................
(11. วิชุดา) ลมปาก
ส่ง 29มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์) และ 30 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)
๏ คำพูดกล่าวที่ใช้ในกลุ่มวัยรุ่น อาจมิครุ่นมิคิดตรองความหมาย
อาจด่าพ่อด่าแม่กันมากมาย อาจทำลายประเพณีอันดีงาม
๏ แต่ไฉนเมื่อเพื่อนด่าจึ่งไม่โกรธ มิกล่าวโทษมิเคืองแค้นมิผลีผลาม
หรือเพราะเพียงแค่ลมปากจึงหักห้าม เลี่ยงไม่ให้เกิดสงครามเพราะน้ำลาย
๏ กล่าวคำหยาบอย่าพระบาทฟาดพระโอษฐ์ เพื่อผู้ฟังเคืองโกรธกันมากหลาย
แต่ไม่ถือเป็นคำด่าหรือว่าร้าย เพราะความหมายที่ต่างคิดคือ"เล่นกัน"
๏ แล้วใยผู้ใหญ่ไทยสมัยนี้ ต้องแก่งแย่งชิงดีมิสร้างสรรค์
เพียงเพราะแค่เอ่ยวาจาอันแสนสั้น ก็ทำชาติสะบั้นรอวันล่มจมฯ
...............................................
หมายเหตุคณะทำงานฯ : ผิดกติกา ส่ง 4 บท (กติกาให้ส่ง 6-10บท)
(12. จิรายุทธ) ลมปาก
ส่ง 28 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ ลมปากคนพ่นใส่กันนั้นไม่ง่าย ทั้งสองฝ่ายต้องถ้อยทีมีเธอฉัน
กล่าวด้วยใจไมตรีมีสัมพันธ์ พูดแก่กันฉันผู้คนสนทนา
๏ ลมปากหวานปานน้ำผึ้งซึ้งดวงจิต ก่อมิ่งมิตรมากมายให้คบหา
รักผูกพันถ้อยเสนาะเพราะวาจา ด้วยภาษาสื่อสารเบิกบานใจ
๏ ลมปากที่นุ่มนวลชวนสดับ เสียงคะครับน้อมเคารพนบผู้ใหญ่
มีคาราวะน่าชื่นชมสมแก่วัย น่ารักใคร่ใครฟังชื่นรื่นสราญ
๏ ลมปากตรงส่งจากใจให้รู้สึก บ่งสำนึกความสัตย์ซื่อถือคำขาน
เปิดเผยใจให้เห็นเป็นสัญญาณ ถึงดวงมานที่เที่ยงตรงมั่นคงดี
๏ ลมปากงามตามแผ่เผื่อเกื้อเพื่อนพ้อง ช่วยคลายหมองข้องขุ่นใจไม่สุขี
คอยไกล่เกลี่ยเอื้ออำนวยด้วยวาที ผูกไมตรีผู้คนไว้ให้รักกัน
๏ ลมปากหอมจรุงใจให้ความหวัง เสริมพลังจิตใจให้แข็งขัน
ลดย่อท้อก่อมานะประเสริฐครัน ช่วยแบ่งปันกำลังใจให้เกิดแรง
๏ ลมปากดีมีคุณค่ามหาศาล ตราบเท่านานสถานยุคถ้วนทุกแหล่ง
เป็นลมที่เข้มขลังพลังแรง ทั้งความแกร่งความอ่อนไหวในลมเดียวฯ
...............................................
(13. ธนพล) ลมปาก
ส่ง 28 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ คำพูดคนมักเห็นเป็นลมปาก เป็นเสียงจากภายในคือสื่อความหมาย
อาจเป็นเสียงแห่งพลังทั้งหญิงชาย มีทั้งร้ายทั้งดีเด่นจนเป็นครู
๏ คำพูดดีมีคนชอบมอบรักให้ ด้วยหลงใหลในคำชื่นระรื่นหู
ถ้อยคำงามคนเคารพนบเชิดชู ก่อความรู้ความพิเคราะห์ที่เหมาะงาม
๏ คำพูดที่เห็นประจักษ์ว่าหนักแน่น ย่อมเป็นแก่นเป็นสารได้ไร้ข้อถาม
ด้วยวจีที่แข็งแกร่งแห่งใจความ ให้ยอมตามยอมรับกับถ้อยคำ
๏ ลมปากของมนุษย์สุดหลากหลาย ฟังยากง่ายทั้งที่ซื่อหรือคมขำ
ทั้งที่ควรกำหนดเพื่อจดจำ ทั้งที่ย้ำให้ช้ำชอกบอกความนัย
๏ ลมจากถ้อยร้อยเรียงเป็นเสียงศัพท์ บอกความลับเล่าแจ้งแถลงไข
เปิดเส้นทางออกจากจิตก่อพิษภัย พัดผ่านไปแต่หลอกล่อและก่อเวร
๏ คำพูดชมเป็นขนมมีรสหวาน คนอยากทานเพราะชอบสุดมีจุดเด่น
แต่คำหวานคือพายุทะลุเกณฑ์ มักซ่อนเร้นอำพรางเส้นทางจริง
๏ ลมจากปากผู้คนจึงดลให้ มีทั้งได้ทั้งหมดสลดยิ่ง
ทำให้รักให้หวังให้ชังชิง สร้างทุกสิ่งและทำลายในคราวเดียวฯ
...............................................
(14. นายสหรัฐ) ลมปาก
ส่ง 28 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ อันลมปากของคนพ้นหยั่งถึง กระแสซึ่งมีมากล้วนหลากหลาย
ให้ทั้งเกียรติความงามความอับอาย เมื่อถอดถ่ายพร้อมตำหนิและติชม
๏ ลมอะไรก็ไม่แน่แพ้ลมปาก กำลังมากลากไม่หยุดฉุดไม่ล่ม
จึงลมปากใช่จะเป็นเช่นเพียงลม คำที่ชมก็มีมากยากเชื่อใจ
๏ ลมปากคนทรงพลังดังลมพัด อาจขจัดสิ่งกีดขวางอย่างน้ำไหล
ลมปากคนจึงใช่เล่นมักเป็นภัย ประทุษใจทำลายหวังให้พังภินท์
๏ ปะทะเข้าคราวใดใครก็หวั่น อาจดับฝันหรือสรรค์สร้างทางถวิล
เป็นลมที่พัดพาเป็นอาจิณ ทั้งติฉินทั้งยกย่องก่อคำคม
๏ ภาษิตไทยพูดไปสองไพเบี้ย รู้นิ่งเสียได้ผลงานตามเหมาะสม
คำโบราณขานว่าเป็นคารม เพื่อเพาะบ่มให้คิดก่อนผ่อนวจี
๏ พูดคำงามคำจริงอิงแก่นสาร เสริมการงานชีวิตให้ได้สุขศรี
ย่อมผูกใจให้โดดเด่นเป็นไมตรี ชื่นชีวีด้วยสมญาว่าลิ้นทอง
๏ ลมปากเป็นจิตวิญญาณผ่านคำพูด ย่อมพิสูจน์ความคิดผิดถูกผอง
วัดความซื่อแห่งจิตความคิดตรอง จะยกย่องหรือถ่มทุดสุดแต่งคำฯ
...............................................
(15.นางสาวมาริษา) ลมปาก
ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์) และ 30 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)
๏ ก่อนจะเปล่งวาจาใดใคร่พินิจ ควรใคร่คิดถึงถ้อยความนำคำหวาน
ก่อนจะพูดพลั้งปากไปใคร่พิจารณ์ มิระรานรู้สำนึกตรึกตรองใจ
๏ หาก พูดดี อ่อนน้อมคนล้อมรัก แจ้งประจักษ์บารมีที่ผ่องใส
ดั่งโบราณขานกล่าวเล่าเอาไว้ พูดดีไซร้เป็นศรีตนคนชื่นชม
๏ พูดโกหกตลบตะแลงแฝงความชั่ว พูดเมามัวใส่ผู้อื่นแสนขื่นขม
คนรอบข้างเหินห่างไปไม่นิยม ต้องตรอมตรมทุกข์เศร้าเคล้าน้ำตา
๏ พูดส่อเสียดเบียดเบียนคนแสนทนทุกข์ มิเป็นสุขโศกศัลย์ไม่หรรษา
ให้ผู้อื่นโศกย้ำช้ำอุรา เกิดปัญญาไปทั่วทุกตัวคน
๏ เปรียบวาจาดั่งชโลทรไม่ย้อนกลับ ไหลลงลับเร้นแหล่งแห่งหน
พูดสิ่งใดให้ตรองมองเล่ห์กล สุขกมลเย็นฉ่ำเย็นเยือนเหมือนคงคา
๏ สังคมพวกหมู่คนชนชอบชิด ต้องพินิจกลั่นกรองตรองภาษา
เรียงร้อยคำก่อนเฉลยเผยพจนา ชื่นอุราเมื่อยินเสียงสำเนียงเอยฯ
...............................................
(16. ลัดดาวัลย์) ลมปาก
ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์) และ 30 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)
๏ คำพูดเราที่เปล่งออกบอกจากปาก ความหลายหลากควรพินิจคิดให้แจ้ง
ก่อนคิดพูดก่อนคิดทำนำแจกแจง ก่อนแถลงกับผู้คนได้ยลยิน
๏ หากพูดดีศรีแก่ตนคนลือเลื่อง ยิ่งรุ่งเรืองเสริมบารมีนี้ทุกถิ่น
ปฏิบัติหัดฝึกฝนจนเคยชิน เป็นอาจินแก่ตนคนชื่นชม
๏ พูดใส่ร้ายป้ายสีชีวีวอด พูดเสียดสอดชั่วนับจักทับถม
ติดตัวตายไม่มีสุขทุกข์ระทม แสนขื่นขมช้ำดวงจิตพิษอนันต์
๏ ต่อหน้าพูดอีกอย่างพลางความหมาย เปลืองน้ำลายเสียศักดิ์ศรีมีโศกศัลย์
พูดลับหลังแปรเปลี่ยนปรับกลับคำพลัน แสนผกผันมิเหมือนคนบนโลกา
๏ พูดเหยียดหยามตามจิตมิคิดก่อน พูดเพราะซ่อนเรื่องร้ายนำคำอิจฉา
เพียงคำพูดที่พูดบอกเปล่งออกมา ช่างไร้ค่าชอกช้ำระกำใจ
๏ เอาเวลาที่พูดพร่ำนำวิเคราะห์ แล้วสืบเสาะแสวงหาคุณค่าให้
กับตัวเองกับคนอื่นชื่นฤทัย ศรัทธาในดวงจินต์วิญญาณตน
๏ ดุจน้ำกลิ้งบนใบบอนไม่สอนคิด ว่าถูกผิดตัวทำนำฝึกฝน
พูดโกหกตลบตะแตงแฝงเล่ห์กล เกิดเป็นคนต้องปฏิบัติพัฒนา
๏ แล้วลูกหลานรุ่นหลังจะยั้งคิด รู้ถูกผิดคำพูดส่อก่อศึกษา
มีคุณธรรมนำคิดพิจารณา มิผลาญพร่าใช้ลมปากปรักปรำคนฯ
...............................................
(17. นายสุกฤษฎิ์) ลมปาก
ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ เปล่งวาลาว่าออกไปไตร่ตรองก่อน ผลสะท้อนมีมากมายหลายหลากเหลือ
ทั้งคนชังคนรักจักจุนเจือ คิดทุกเมื่อก่อนพูดไซร้ให้ระวัง
๏ คำพูดดีไพเราะเสนาะหู ยลยินรู้ตระกูลพูลปลูกฝัง
พูดอ่อนน้อมถ่อมตนคนมิชัง พูดดีดังดาวประดับจับดวงแด
๏ มีปิยะวาจาน่าหลงไหล พูดละไมเป็นเช่นแสงแห่งดวงแข
ส่องสว่างกลางฤทัยไม่ผันแปร ชนชูเชิดซ้องแซ่แน่แท้นา
๏ หากพูดชั่วตัววอดวายทำลายมิตร ไร้ความคิดคารมคำนำปัญหา
คมบาดลึกลงหทัยให้ระอา เป็นตัวตราตรึงติดมิตรทุกข์ทน
๏ พูดกลับกลอกหลอกกันนั้นสิ่งผิด ทำให้จิตตกต่ำบ่นำผล
มวลหมู่มิตรเมินไม่มองหมองกมล จิตมืดหม่นมิมีสุขทุกข์เรื่อยไป
๏ อันวาจาพาทีที่หลุดปาก นั้นแสนยากย้อนเวลามาแก้ไข
ดุจวารีที่หลั่งหลากพรากถิ่นไกล มิเคยไหลย้อนกลับเห็นชัดความ
๏ จะกล่าวถ้อยร้อยคำย้ำความคิด ทั้งพินิจซึ่งวจีอย่าผลีผลาม
ใช้สติเตือนตนไว้ในทุกยาม วาทะงามไมตรีดีมีจรรยา
๏ ลมปาก สร้างซึ่งมิตรจิตสุขสม ลมปาก ทำระทมตรมหนักหนา
ลมปาก สร้างหรือทำลายร้ายวาจา ลมปาก คือปัญญาค่าของคนฯ
...............................................
(18. นายกิตติ์) "คำ"
ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ ยินสำเนียงเสียงมนุษย์สุดรอบหล้า ส่งภาษาสานลักษณ์สื่ออักษร
บ้างเรียงร้อยสร้อยวจีกวีวร บ้างกัดกร่อนรอนราญผลาญโลกีย์
๏ คำคือดาบสองคมตามลมปาก หนึ่งเพริศพากย์พูดพร่ำฉ่ำสุขศรี
สานสันพันธ์สันติสุขทุกชีวี ก่อไมตรีต่างจิตมิตรผูกพัน
๏ บ้างร่ายรินิพันธ์ฉันทลักษณ์ คอยสานถักถ่องถ้อยร้อยรังสรรค์
กล่อมปวงชนพ้นวิโยคโศกจาบัลย์ กอปรสิ่งหรรษ์แห่งหล้าทุกครากาล
๏ อีกหนึ่งนั้นหมั่นติบริภาษ กล่าวอาฆาตคิดสร้างแต่ล้างผลาญ
พร่ำแต่ปากกากกร้าวให้ร้าวราน ส่ำสามานย์สารโสมมล่มสัมพันธ์
๏ ทั้งชำนิติเตียนเพียรพูดด่า คอยแต่ว่าวาทร้ายให้โศกศัลย์
มัวเพ้อพ้อล้อเล่นเป็นสำคัญ ทั้งห้ำหั่นกันด้วยคำนำสงคราม
๏ จึงต้องหมั่นสรรคำก่อนนำใช้ หวังเพื่อให้ไร้คำพร่ำเหยียดหยาม
คนพูดดีมีค่าสง่างาม คนพูดทรามเสื่อมศักดิ์หนักแผ่นดินฯ
...............................................
(19. ชิงชัน) "วาจาข้าวาจาท่าน"
ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)
๏ ปฐพีว่าวาจาข้านั้นแน่นหนัก หาใครจักเทียมทัดมิอาจหาญ
ค้นปลายฟ้าสุดใต้หล้าก็เปล่าการ สัตยาข้านั้นนานนับนิรันดร์
๏ วารีว่าวาจาข้าแสนอ่อนหวาน เสนาะดังกังวานปานรังสรรค์
นพรัตน์อันว่างามนับร้อยพัน สู้สำคัญน้อยกว่าหนึ่งหยดนที
๏ วาโยว่าวาจาข้าแพร่สะพัด หอบตำนานขานขัดไปทั่วที่
เล่าเรื่องราวร้อยเพลงบทกวี คงทำนองครองค่าผ่านสานสืบมา
๏ พฤกษาว่าวาจาข้านั้นร่มเย็น กิ่งก้านใบแผ่เห็นเป็นสาขา
ทั้งใหญ่น้อยไม้แมกแทรกงามตา ดั่งบทเพลงยามนิทรากล่อมชีวี
๏ ภมรว่าวาจาข้าซ่อนคำคม เสียงส่งดังร้องระงมด้วยกรีดสี
แผ่กำจายกังวานทั่วธรณี ซ่อนเคล็ดดีตรีวิชาปัญญาคุณ
๏ โลกาว่าวาจาข้าเปี่ยมด้วยรัก ดังเสาหลักปักย้ำค้ำเกื้อหนุน
ขอเมตตากรุณาข้าเจือจุน ด้วยผลบุญแห่งรักจักได้ดี
๏ อันท้ายสุดมนุษาว่าคำใด ขอโปรดพิจารณาทั่วถ้วนถี่
อนึ่งด้วยนรชายทั้งหลายนี้ หาได้ดีอยู่ทุกคำที่พร่ำเอยฯ
...............................................
(20. อุบลรัตน์) ลมปาก
ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)
๏ เอ่ยวาจาภาษาบ่งบอกนิสัย สื่อความหมายนัยตัวตนชนทั้งหลาย
พูดพินิจคิดพิเคราะห์เพราะมิวาย บ่เสื่อมคลายชนชวนชมนิยมกัน
๏ ลมปาก นี้มีผลต่อคนนัก จิตจะภักดิ์หรือแบ่งแยกแตกโศกศัลย์
ปากสื่อจิตมิตรไมตรีเชื่อมชีวัน สร้างสัมพันธ์ด้วยวาจาพาเปรมปรีดิ์
๏ ปากใส่ร้ายป้ายสีราคีหมอง หม่นมัวพร้องเพื่อนระอาเสื่อมราศี
พลิกลิ้นกลบตลบตะแลงแปลงชั่วดี ทุกข์ทวีทนระทมตรมปากคน
๏ วจีเอ่ยออกไปใคร่ควรคิด จงพินิจราคีไกลไม่สับสน
เพราะวาจาคือเครื่องมือสื่อกมล เกิดก่อผลสัมพันธ์ซึ้งตรึงอุรา
๏ อันลมปากเปรียบกระบี่มีคมสอง ควรคิดตรองคุณโทษนี้มีมากหนา
อยู่ที่เราจักใช้กันพลันนำมา ดีชั่วตราตรึงติดไว้ในตัวเรา
๏ มนุษย์ใช้วาจากล่าวปราศรัย แสดงใจสิ่งแน่แท้แก่ตัวเจ้า
ลมปากคนสนทนานานลำเนา บอกพงศ์เผ่าผองหมู่ชนคนทั่วไป
๏ คิดกล่าวดีคือคนดีที่ยกย่อง ชนต่างมองชื่นชมนิยมใฝ่
ขอสรรเสริญคนพูดดีศรีเกริกไกร ริเริ่มให้เราเดินตามสร้างความดีฯ
...............................................