ReadyPlanet.com
dot dot
กลอนสุภาพ “ลมปาก” มิถุนายน 2551 สำนวนที่ 1-20

ระดับมัธยมปลาย (กลอนสุภาพ) – 33 สำนวน

 

(1.อมันตา) ลมปาก

ส่ง 27 เมษายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ อันด้วยกรรณ เชื่อว่า พันสำลี                             ยามยกที นั้นเบา สุดเหลือหลาย

เเม้ฟังที ดีชั่ว นั้นกลับกลาย                                  ดีหรือร้าย ไม่อาจ จะคาดเดา

๏ อันวาจา เชื่อว่า คือยาพิษ                                  มีมากฤทธิ์ ให้ร้าย ไม่เหลือเค้า

พูดไม่ดี เเทงไป ในใจเรา                                       โอ้เเสนเศร้า โกรธกัน กั้นไมตรี

๏ อันดวงตา เชื่อว่า คือหน้าต่าง                             ส่องสว่าง แทนใจ ไม่ใส่สี

ดั่งจันทรา บอกทาง กลางราตรี                              บอกเรานี้ ให้ทราบ ถึงความนัย

๏ ท่านสอนมา ดูคน ต้องดูตา                                อย่าเพียงว่า หูเบา ไม่เข้าใจ

เพียงเขาลือ ถือเชื่อ ไม่สืบไกล                               จะจริงเท็จ เช่นไร สุดจะทาย

๏ ท่านสอนมา บางวาจา เเค่ลมปาก                       บางก็กร่าง พูดมาก รากพรั่งพราย

กล่าวออกมา เพียงเเค่ จากรูปกาย              สุดใจหาย จากใจ นั้นไม่มี

๏ อยากพูดดี ควรมี วาจาจิต                                 สุดจะคิด จากใจ ไม่หน่ายหนี

ต้องซื่อสัตย์ ยึดมั่น คำไว้ดี                                    มิเช่นนี้ จะเป็นเพียง “ลมปาก” เอยฯ

...............................................

 

(1. อมันตา) ลมปาก (ฉบับแก้ไข)

ส่ง 14 มิถุนายน 2551 ฉบับแก้ไข (ทางอีเมล์)

 

๏ อันด้วยกรรณเชื่อว่าพันสำลี                               ยามยกทีนั้นเบาสุดเหลือหลาย

เเม้ฟังทีดีชั่วนั้นกลับกลาย                                    ดีหรือร้ายไม่อาจจะคาดเดา

๏อันวาจาเชื่อว่าคือยาพิษ                                     มีมากฤทธิ์ให้ร้ายไม่เหลือเค้า

พูดไม่ดีเเทงไปในใจเรา                                         โอ้เเสนเศร้าโกรธกันกั้นไมตรี

๏ อันดวงตาเชื่อว่าคือหน้าต่าง                               ส่องสว่างแทนใจไม่ใส่สี

ดั่งจันทราบอกทางกลางราตรี                                บอกเรานี้ให้ทราบถึงความนัย

๏ ท่านสอนมาดูคนต้องดูตา                                  อย่าเพียงว่าฟังเขลาตามที่ให้

เพียงเขาลือถือเชื่อไม่สืบไกล                                 จะจริงเท็จเช่นไรสุดจะทาย

๏ ท่านสอนมาบางวาจาเเค่ลมปาก             บางก็กร่างพูดมากรากพรั่งพราย

กล่าวออกมาเพียงเเค่จากรูปกาย                            สุดใจหายจากใจนั้นไม่มี

๏ อยากพูดดีควรมีวาจาจิต                                   สุดจะคิดจากใจไม่หน่ายหนี

ต้องซื่อสัตย์ยึดมั่นคำไว้ดี                                      มิเช่นนี้จะเป็นเพียง “ลมปาก” เอยฯ

...............................................

  

(2. นวภัทร) ลมปาก

ส่ง 10 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ กระเพื่อมพริ้ว ริ้วไหว บนสายน้ำ                   พฤกษาฉ่ำ เมื่อต้อง ละอองผิว

ลมเอ๋ย ลมเอ๋ย  ลมโบกปลิว                            พัดหวิวหวิว พัดเอื่อยเอื่อย พัดเรื่อยมา

๏ ลมหนึ่ง ซึ่งพัดลึก ลึกในจิต                          ลมนี้ จากความคิด ริษยา

ลมนี้ พัดรินริน กลิ่นมาลา                               ลมนี้ พัดเรื่อยมา จากมนุษย์

๏ ลมเอ๋ย ลมเป่า ให้เจ้าเคลิ้ม                          ลมเอ๋ย พัดเติม ความสิ้นสุด

ลมเอ๋ย ลมโบก ให้โลกทรุด                             ลมเอ๋ย ลมนี้ฉุด ให้ยุดยืน

๏ ลมเย็นฉ่ำ ร่ำใจ หายหม่นหมอง                    ลมความร้อน มาครอง ต้องขัดขืน

ลมดี พัดมา เรากลมกลืน                               ลมชั่ว อย่าหยิบยื่น พัดไป

๏ ลมพายุ ไหนเล่า เท่าลมนี้                            พัดไปที เสียหาย ก็สร้างใหม่

ลมนี้ ลมลึก ตรึกในใจ                                    หยั่งราก ชอนไช ในอุรา

๏ ลมเย็นแหล่งใดในโลก                                ที่พัดโบก พัดนาน หาญกล้า

ลมนี้ พัดหลาก จากวาจา                               มีค่า มีโทษ มีโกรธ ดี

๏ ลมนี้อยู่ไม่ไกลเกินเรา                                  มีเศร้า มีทุกข์ เพราะลมนี่

ดีใจ ปลื้มใจ เพราะลมนี้                                 พัดดี พัดไม่ดี อยู่ที่ใจ

๏ ลมที่ว่า นี่คือลมปาก                                   ลมนี้แหละที่มากความยิ่งใหญ่

บันดาล ทุกข์ สุข ในฤทัย                                สรรค์สร้าง ความเกรียงไกร ให้กวี...

...............................................

 

(3. ฆาตกวี) ลมปาก

ส่ง 30 พฤษภาคม 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ ลมกรรโชกโกรกกระหน่ำคร่ำครวญคราง               ฤๅจะสู้เล่ห์ลมบางทางชิวหา
แม้เพียงนิดแฝงพิษร้ายพรางกายมา                       ดั่งลมบ้าถาโถมครึกโครมครัน

๏ ลม...บางครั้งฟังสดชื่นระรื่นหู                            ราวดอกไม้พรั่งพรูพาสุขสันต์
สุรเสียงเรียงร้อยถ้อยรำพัน                                    ใครจะรู้เท่าทันว่ามีภัย

๏ ลม...เสกสรรค์ปั้นแต่งคือแช่งสาป                      คอยกำราบปราบคนโง่ผู้หลงใหล
เพราะคำหยอดยวนเย้าจึงเข้าใจ                            ว่าลมนั้นคือดอกไม้กลิ่นหอมอวล

๏ ลม...เสแสร้งแกล้งประดิษฐ์ให้จิตเชื่อ                  ดังใบมีดกรีดเนื้อเมื่อสรวล
หากหูเบาเขลาคลั่งคำรัญจวน                               เหมือนหอกทวนจ่อคอรอวันตาย

๏ ลมปากใครใคร่พร่ำคำพรรณนา                          เจรจาควรคำนึงถึงความหมาย
อย่าหูเบาให้เป่าเล่นเป็นวอดวาย                            อาจเจ็บกายในภายหลังระวังตน

๏ ลมป้อยอปอปั้นท่านสรรเสริญ                            หูเบาเพลินหลงไหลใจสับสน
เชื่อแต่เขาเมาลมปากอาจอับจน                            ลมปากคนฆ่าคนได้ง่ายดายเอย

...............................................

 

(4. ภัทรียา) ลมปาก

ส่ง 4 มิถุนยน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ ลมเพลมพัดลมซัดลมโชย                                  ลมโบกลมโบยลมโหมลมหึง

ลมใดเล่าเบาบางหากลึกซึ้ง                                  ลมปากหนึ่งน้อยนิดพิชิตคน

๏ ลมรำเพยคำหวานน้ำตาลหยด                           มธุรสวาจาพาสายฝน

เย็นระรื่นชุ่มฉ่ำจากเบื้องบน                                  น้ำใจรินเอ่อล้นรดผืนทราย

๏ ลมรำพึงคำหยาบดั่งหนามยอก                           ทั้งเจ็บนอกเจ็บในไม่ยอมหาย

ร้อนระอุผลาญอกจวนเจียนตาย                            ความสบายคลายสิ้นด้วยลิ้นพาล

๏ ลมลวงหลอกร้ายกาจนั้นบาดจิต             ดุจยาพิษเคลือบแฝงแต่งรสหวาน

เมื่อลิ้มลองฝาดขมตรมเนิ่นนาน                            ต้องซมซานซัดเซเพราะเล่ห์กล

๏ ลมจริงแท้ทุกถ้อยก็กร่อยจืด                               มันฟังฝืดฝืนหูรูขุมขน

ขวานผ่าซากพรากเสน่ห์ออกจากคน                       ระคายตนเหมือนมดกัดคันคะเยอ

๏ ปากกับใจตรงกันสำคัญนัก                                ต้องรู้จักยั้งคิดอย่าพลั้งเผลอ

คบพูดดีพูดหวานไว้เป็นเกลอ                                ฤทธิ์เสมอทรัพย์ติดตัวไปชั่วกาลฯ

...............................................

 

(5. สุทธิ) ลมปาก

ส่ง 14 มิถุนายน 2551(ทางอีเมล์) และ 15 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ ...หยิบสมุดปากกามาเรียงร้อย                            ให้แช่มช้อยอ่อนหวานจะขานไข

เปรียบลมปากดุจลมโบกโบกในใจ              พัดพาให้ทุกสิ่งสรรพปรับเปลี่ยนพลัน

๏ ลมนี้พาใจคนให้สูงต่ำ                                       ลมนี้นำชีวาพาสุขสันต์

ลมนี้สร้างทางสุขทุกคืนวัน                                   ลมนี้หันหนีทุกข์นำสุขมา

๏ หากลมร้ายพัดมาพากลับกลอก                          ดุจเอาหอกทิ่มแทงทั้งแข้งขา

ทำให้คนเป็นตายวายชีวา                                     เพราะวาจาไม่สัตย์ชื่อถือคุณธรรม

๏ แม้นลมใดในโลกที่โบกพัด                                 พายุซัดโหมนำกระหน่ำซ้ำ

มิอาจสู้ลมในจิตคิดทิ่มตำ                                    เป็นเหตุทำให้คนเปลี่ยนหมุนเวียนวน

๏ เหตุเพราะลมจากวาจาอันว่าไป                          เหนือสิ่งใดคือคำนึงถึงเหตุผล

หากพูดไปไม่ระวังพลั้งเผลอตน                             สิ่งที่คนได้รับจะอับอาย

๏ ก่อนจะกล่าวออกไปให้ยั้งคิด                              ให้พินิจพิจารณาหาความหมาย

ให้รื่นหูดุจต้องมนตร์อยู่มิคลาย                        ค่ามากมายหากพูดเพราะเสนาะกรรณ

๏ โบราณว่าอย่าหมุนไปในลมปาก                 จะยุ่งยากหากพลั้งผิดคิดเปลี่ยนผัน

ก่อนเชื่อจงตรองตริพินิจครัน                                 แล้วชีวันจะมีสุขทุกเพลา...

...............................................

 

(6. Chocoholics) ลมปาก

 

๏ หนึ่งถ้อยคำสำเนียงที่กล่าวมา                            หนึ่งเวลายังคงจำคำคนกล่าว

หนึ่งถ้อยคาใจคนรับเคยแพรวพราว                        หนึ่งเรื่องราวยังคงจำตราตรึงใจ

๏ เพียงถ้อยคำที่ออกมาจากลมปาก                       เกิดหลายหลากอารมณ์ของใครใคร

มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนไป                                     สุดแต่ใจอยากเอ่ยสิ่งใดมา

๏ คนบางคนพูดออกมาเพียงบอกผ่าน                   พอถึงกาลผ่านพ้นก็จากลา

คำสัตย์แท้ของคนยากจะหา                                 เมื่อเวลาผ่านไปก็กลับคำ

๏ ดั่งเช่นเอ่ยสาบานต่อฟากฟ้า                              จะรักษาคำสัตย์จะจดจำ

จะทำดีกรรมชั่วจะไม่ทำ                                       คำพึมพำเหล่านั้นใช่จริงใจ

๏ เหมือนคู่รักหญิงชายให้สัญญา                           รักหนักหนาจะไม่จากลาไปไกล

คำพูดนั้นเหมือนจริงใจและห่วงใย                         แต่ไฉนไหนตอนจบคือจากลา

๏ เมื่อสดับรับฟังเช่นนี้แล้ว                                    เสียงเจื้อยแจ้วก่อนจะกล่าวสิ่งใดมา

อยากสมปรารถนาดั่งวาจา                                    ให้รักษาคำพูดให้จริงใจ

๏ อย่าได้กล่าวออกมาแต่ลอยลอย                         มีคนคอยรับฟังไม่ว่าใคร

เขามีสุขหรือทุกข์อยู่ที่ไหน                                     สิ่งนั้นไซร้มีที่มาจากลมปากฯ

...............................................

 

 (7. นัยน์ภัค)

ส่ง 25 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์ + ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ สายลมโบกพัดพลิ้วปลิวไสว                               สายลมโบกไกวไปในสายฝน

สายลมโบกพัดพลิ้วในสายชล                               สายลมโบกผ่านพ้นธรณี

๏ สายลมพัดพาดผ่านลานทุ่งหญ้า                        สายลมพัดฟากฟ้าราวสุขี

สายลมพัดผ่านตัวทุกนาที                                    สายลมพัดยังมีจิตมั่นคง

๏ แต่ลมปากดั่งพร่ำเพ้อพรรณนา                           เหมือนวาจามุ่งพาชวนลุ่มหลง

หลอกลวงเล่นลิ้นเล่ห์ลากรั้งลง                             ให้จิตตรงผู้เอื้อนเอ่ยถ้อยวจี

๏ ก่อนปลักจิตจึ่งคิดพินิจเคราะห์                           อย่าเชื่อเพราะวาจาพาสุขศรี

จงนึกคิดตริตรองอย่าลองดี                                  จักเปรมปรีดิ์มีสุขทุกคืนวัน

๏ ลมปากคนเปรียบได้กับยาพิษ                             ฆ่าชีวิตทำร้ายทำลายฝัน

ใจประดิษฐ์สร้างแต่งมากอนันต์                 เปลี่ยนแปรผันผันตามผู้เปล่งพจน์นิพันธ์

๏ หากเป็นเช่นนั้นจักเชื่อได้ฤๅ                                ทุกพจน์คือความจริงแน่หรือนั่น

เพียงคำพูดเอื้อนเอ่ยจรรจานั้น                               ยังขวางกลั้นหยั่ง บ สุดกมลมาน

๏ ดังนั้นฟังลมวจีอย่าเพิกเฉย                                หรือละเลยเชื่อมั่นเป็นหนักหนา

ต้องนึกคิดวิเคราะห์จารณา                                   ลมปากมาทำร้ายมิได้เอยฯ

...............................................

 

(8. อมลรดา) ลมหนาว

ส่ง 28 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ ลมหนาวเอยโหมรำเพยมาทางนี้                         ทุกท่วงทีพากายให้หนาวสั่น

อดทนได้หนาวกายลมโรมรัน                                 ยังยืนยันอยู่ได้ด้วยกายใจ

๏ หากแต่ลมที่พัดใช่ลมหนาว                                เป็นลมปล่าวจากปากมากสงสัย

ลมปากบาดหัวจิตและหัวใจ                                 กายก็อยู่สู้มิไหวไร้แรงยืน

๏ คนเป็นคนใช่วัดคนที่ลมปาก                    คำหลายหลากกลับกลอกหลอกลวงหนี

 อย่านำคิดพิจารณาว่าคำดี                                  จะมามีสิทธิตัดสินความคิดเรา

๏ จิตมนุษย์หยั่งแล้วมิอาจถึง                                สุดลึกซึ้งความคิดติดสงสัย

คำบางคำบางคนพูดจับใจ                                    คำบางคนฟังแล้วไซร้ใจเจ็บจริง

๏ ตัวเราเองมิชอบคำลมปาก                                 สุดอนาจทำจิตให้พิจหมอง

คำพูดเลวนินทาว่ากลับกลอน                               ใครจะอยู่ให้รอนทอนศักดิ์ลง

๏ คนหลายคนหลายความหลายความหมาย           มีมากมายยากตีความจากการเห็น

ดูง่ายดายดวงตาดูให้เป็น                                     หรือจะซ่อนจะเร้นจะปิดบัง

๏ สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ให้คิด                                   พิจสักนิดคำควรครหา

อน่าเชื่อหลงคำคนจนมรณา                                 แต่จงฟังแค่มาประดับตนฯ

...............................................

 

(9.ชลธิชา) ลมปาก

ส่ง 29 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์) และ จันทร์ 30 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ อันวาจาจากมนุษย์สุดลึกล้ำ                              สามารถนำน้อมใจให้คิดเผลอ

จะให้รักรักเร้าเฝ้าละเมอ                                       หรือให้เก้อเกลียดคิดเพียงบิดเบือน

๏ เมื่อลมปากปากเป่าจนเข้าหู                               แล่นเข้าสู่ทรวงแล้วมิแคล้วเคลื่อน

เปล่งคำพูดพูดแน่อย่าแชเชือน                              จะเชือดเฉือนกระชากจิตให้ผิดใจ

๏ วาทศิลป์ศิลป์ศาสตร์วาดฝีปาก                          โน้มน้าวฝากฝังวาจาน่าหลงไหล

ให้เชื่อตนเลือกตนทุกหนไป                                   บ้างก็ได้ดั่งประสงค์ตรงจิตปอง

๏ พูดให้ดีดีก็ได้ดั่งใจอยาก                                    ไม่พูดมากมุ่งแต่ทำเร่งนำร่อง

พูดไม่ดีดีไม่ได้ใครอยากมอง                                 ดีแต่ท่องว่าทำแน่แต่ไม่ทำ

๏ อีกลมปากปากไม่ดีมีโทษอีก                               มันจะฉีกกระชากมิตรไม่คิดขำ

มันเชือดเฉือนเหน็บเจ็บทุกคำ                                ไมตรีช้ำชอกฉุนขุ่นข้องมัว

๏ พูดให้เย็นเย็นจิตไม่คิดมาก                                พูดมาจากใจจิตไม่คิดชั่ว

พูดใส่ใจใจเขาเข้าใส่ตัว                                       แล้วถ้วนทั่วจะสงบพบสุขดี

๏ พูดให้ร้อนร้อนใจใจไร้สุข                                   พบแต่ทุกข์ท้วนท้นคนหน่ายหนี

พูดใส่ไฟไฟก็เผาเข้าทันที                                      ให้ร้อนรี่รุ่มเร้าเข้าสุ่มกาย

๏ เปรียบ ไฟ น้ำ น้ำย่อมเย็นยะเยือกกว่า                  ชโลมหล้าให้ซึมซับดับกระหาย

ผิดกับไฟไฟเผามอดจนวอดวาย                             ฤทธิ์เหลือร้ายร้อนลนคนระอา

๏ สังคมหมู่หมู่คนชนร่วมพัก                                 ต้องรู้จักเรียงร้อยถ้อยภาษา

พูดอะไรอย่างไรเหมาะวิเคราะห์มา             ก่อนวาจาจะทำผลคนหน่ายกัน

๏ รู้จักใช้ใช้ลมปากถากทางวิ่ง                               ให้ทุกสิ่งสมได้ดั่งใจฝัน

แต่ต้องถูกผูกคล้องทำนองกัน                               อย่าฟาดฟันหั่นหัวเพื่อตัวเอยฯ

...............................................

 

(9. ชลธิชา) ลมปาก (ฉบับแก้ไข)

ส่งจันทร์ 30 มิถุนายน 2551 ฉบับแก้ไข (ทางอีเมล์)

 

๏ อันวาจาจากมนุษย์สุดลึกล้ำ                              สามารถนำน้อมใจให้คิดเผลอ
จะให้รักรักเร้าเฝ้าละเมอ                                       หรือให้เก้อเกลียดคิดเพียงบิดเบือน
๏ เมื่อลมปากปากเป่าจนเข้าหู                               แล่นเข้าสู่ทรวงแล้วมิแคล้วเคลื่อน
เปล่งคำพูดพูดแน่อย่าแชเชือน                              จะเชือดเฉือนกระชากจิตให้ผิดใจ
๏ วาทศิลป์ศิลป์ศาสตร์วาดฝีปาก                          โน้มน้าวฝากฝังวาจาน่าหลงใหล
ให้เชื่อตนเลือกตนทุกหนไป                                   บ้างก็ได้ดั่งประสงค์ตรงจิตปอง
๏ พูดให้ดีดีก็ได้ดั่งใจอยาก                                    ไม่พูดมากมุ่งแต่ทำเร่งนำร่อง
พูดไม่ดีดีไม่ได้ใครอยากมอง                                 ดีแต่ท่องว่าทำแน่แต่ไม่ทำ
๏ อีกลมปากปากไม่ดีมีโทษอีก                               มันจะฉีกกระชากมิตรไม่คิดขำ
มันจะเชือดเฉือนเหน็บเจ็บทุกคำ                            ไมตรีช้ำชอกฉุนขุ่นข้องมัว
๏ พูดให้เย็นเย็นจิตไม่คิดมาก                                พูดมาจากใจจิตไม่คิดชั่ว
พูดเอาใจของเขาเข้าใส่ตัว                                    แล้วถ้วนทั่วจะสงบพบสุขดี
๏ พูดให้ร้อนร้อนใจใจไร้สุข                                   พบแต่ทุกข์ท่วมท้นคนหน่ายหนี
พูดใส่ไฟไฟก็เผาเข้าทันที                                      ให้ร้อนรี่รุมเร้าเข้าสุ่มกาย
๏ เปรียบ ไฟ น้ำ น้ำย่อมเย็นยะเยือกกว่า                  ชโลมหล้าให้ซึมซับดับกระหาย
ผิดกับไฟไฟเผามอดจนวอดวาย                             ฤทธิ์เหลือร้ายร้อนลนคนระอา
๏ สังคมหมู่หมู่คนชนร่วมพัก                                 ต้องรู้จักเรียงร้อยถ้อยภาษา
พูดอะไรอย่างไรเหมาะวิเคราะห์มา             ก่อนจรรจาจะทำผลคนหน่ายกัน
๏ รู้จักใช้ใช้ลมปากถากทางวิ่ง                               ให้ทุกสิ่งสมได้ดั่งใจฝัน
แต่ต้องถูกผูกคล้องทำนองกัน                               อย่าฟาดฟันหั่นหัวเพื่อตัวเอยฯ

...............................................

 

(10. ชวิน) ลมปาก

ส่ง 29 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ หลายบทกลอนสอนย้ำเรื่องคำพูด                       ช่วยพิสูจน์ความจริงที่ยิ่งใหญ่

ถึงหมื่นลมทำลายเมืองหายไป                               มิเท่าภัยลมปากหากไม่คิด

“ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์                               มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต”

 อำนาจของวาจานำพามิตร                                  หรือแผลงฤทธิ์ฆ่าตนไปจนตาย

“อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก                   แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย”

  หยาดน้ำคำซึ้งใจไม่รู้คลาย                                 ด้วยความหมายซ่อนไว้ใช่ของปลอม

  ”สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน                             ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม”

ในความหวานภุมรินเที่ยวบินดอม                          ฤาอาจออมมิตรภาพที่ซาบซึ้ง

๏ อย่าให้ตนรับกรรมจากคำเอ่ย                              เป็นจำเลยจากภัยคาดไม่ถึง

ทุกถ่วงถ้อยทุกคำควรคำนึง                                   สมควรจึงพูดไปให้ได้ความ

๏ บทเรียนจากลมปากมีมากอยู่                              ลองมองดูคิดย้ำตั้งคำถาม

ถ้าหากปากพูดเพลินเกินห้ามปราม                        ควรนิยามเรื่องอะไร...ให้ปากทำฯ

...............................................

 

(11. วิชุดา)

ส่ง 29มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์) และ  30 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ คำพูดกล่าวที่ใช้ในกลุ่มวัยรุ่น                             อาจมิครุ่นมิคิดตรองความหมาย

อาจด่าพ่อด่าแม่กันมากมาย                                 อาจทำลายประเพณีอันดีงาม

๏ แต่ไฉนเมื่อเพื่อนด่าจึ่งไม่โกรธ                            มิกล่าวโทษมิเคืองแค้นมิผลีผลาม

หรือเพราะเพียงแค่ลมปากจึงหักห้าม                     เลี่ยงไม่ให้เกิดสงครามเพราะน้ำลาย

๏ กล่าวคำหยาบอย่าพระบาทฟาดพระโอษฐ์           เพื่อผู้ฟังเคืองโกรธกันมากหลาย

แต่ไม่ถือเป็นคำด่าหรือว่าร้าย                            เพราะความหมายที่ต่างคิดคือ"เล่นกัน"

๏ แล้วใยผู้ใหญ่ไทยสมัยนี้                                    ต้องแก่งแย่งชิงดีมิสร้างสรรค์

เพียงเพราะแค่เอ่ยวาจาอันแสนสั้น                        ก็ทำชาติสะบั้นรอวันล่มจมฯ

...............................................

 

หมายเหตุคณะทำงานฯ : ผิดกติกา ส่ง 4 บท (กติกาให้ส่ง 6-10บท)

(12. จิรายุทธ) ลมปาก

ส่ง 28 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ ลมปากคนพ่นใส่กันนั้นไม่ง่าย                            ทั้งสองฝ่ายต้องถ้อยทีมีเธอฉัน

กล่าวด้วยใจไมตรีมีสัมพันธ์                                  พูดแก่กันฉันผู้คนสนทนา

๏ ลมปากหวานปานน้ำผึ้งซึ้งดวงจิต                       ก่อมิ่งมิตรมากมายให้คบหา

รักผูกพันถ้อยเสนาะเพราะวาจา                            ด้วยภาษาสื่อสารเบิกบานใจ

๏ ลมปากที่นุ่มนวลชวนสดับ                                 เสียงคะครับน้อมเคารพนบผู้ใหญ่

มีคาราวะน่าชื่นชมสมแก่วัย                                  น่ารักใคร่ใครฟังชื่นรื่นสราญ

๏ ลมปากตรงส่งจากใจให้รู้สึก                               บ่งสำนึกความสัตย์ซื่อถือคำขาน

เปิดเผยใจให้เห็นเป็นสัญญาณ                             ถึงดวงมานที่เที่ยงตรงมั่นคงดี

๏ ลมปากงามตามแผ่เผื่อเกื้อเพื่อนพ้อง                  ช่วยคลายหมองข้องขุ่นใจไม่สุขี

คอยไกล่เกลี่ยเอื้ออำนวยด้วยวาที                           ผูกไมตรีผู้คนไว้ให้รักกัน

๏ ลมปากหอมจรุงใจให้ความหวัง                          เสริมพลังจิตใจให้แข็งขัน

ลดย่อท้อก่อมานะประเสริฐครัน                             ช่วยแบ่งปันกำลังใจให้เกิดแรง

๏ ลมปากดีมีคุณค่ามหาศาล                                ตราบเท่านานสถานยุคถ้วนทุกแหล่ง

เป็นลมที่เข้มขลังพลังแรง                                 ทั้งความแกร่งความอ่อนไหวในลมเดียวฯ

...............................................

 

(13. ธนพล) ลมปาก

ส่ง 28 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ คำพูดคนมักเห็นเป็นลมปาก                          เป็นเสียงจากภายในคือสื่อความหมาย

อาจเป็นเสียงแห่งพลังทั้งหญิงชาย                        มีทั้งร้ายทั้งดีเด่นจนเป็นครู

๏ คำพูดดีมีคนชอบมอบรักให้                                ด้วยหลงใหลในคำชื่นระรื่นหู

ถ้อยคำงามคนเคารพนบเชิดชู                           ก่อความรู้ความพิเคราะห์ที่เหมาะงาม

๏ คำพูดที่เห็นประจักษ์ว่าหนักแน่น                        ย่อมเป็นแก่นเป็นสารได้ไร้ข้อถาม

ด้วยวจีที่แข็งแกร่งแห่งใจความ                              ให้ยอมตามยอมรับกับถ้อยคำ

๏ ลมปากของมนุษย์สุดหลากหลาย                       ฟังยากง่ายทั้งที่ซื่อหรือคมขำ

ทั้งที่ควรกำหนดเพื่อจดจำ                                    ทั้งที่ย้ำให้ช้ำชอกบอกความนัย

๏ ลมจากถ้อยร้อยเรียงเป็นเสียงศัพท์                      บอกความลับเล่าแจ้งแถลงไข

เปิดเส้นทางออกจากจิตก่อพิษภัย                          พัดผ่านไปแต่หลอกล่อและก่อเวร

๏ คำพูดชมเป็นขนมมีรสหวาน                              คนอยากทานเพราะชอบสุดมีจุดเด่น

แต่คำหวานคือพายุทะลุเกณฑ์                              มักซ่อนเร้นอำพรางเส้นทางจริง

๏ ลมจากปากผู้คนจึงดลให้                                  มีทั้งได้ทั้งหมดสลดยิ่ง

ทำให้รักให้หวังให้ชังชิง                                        สร้างทุกสิ่งและทำลายในคราวเดียวฯ

...............................................

 

(14. นายสหรัฐ) ลมปาก

ส่ง 28 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ อันลมปากของคนพ้นหยั่งถึง                              กระแสซึ่งมีมากล้วนหลากหลาย

ให้ทั้งเกียรติความงามความอับอาย                        เมื่อถอดถ่ายพร้อมตำหนิและติชม

๏ ลมอะไรก็ไม่แน่แพ้ลมปาก                                 กำลังมากลากไม่หยุดฉุดไม่ล่ม

จึงลมปากใช่จะเป็นเช่นเพียงลม                            คำที่ชมก็มีมากยากเชื่อใจ

๏ ลมปากคนทรงพลังดังลมพัด                             อาจขจัดสิ่งกีดขวางอย่างน้ำไหล

ลมปากคนจึงใช่เล่นมักเป็นภัย                              ประทุษใจทำลายหวังให้พังภินท์

๏ ปะทะเข้าคราวใดใครก็หวั่น                                อาจดับฝันหรือสรรค์สร้างทางถวิล

เป็นลมที่พัดพาเป็นอาจิณ                                    ทั้งติฉินทั้งยกย่องก่อคำคม

๏ ภาษิตไทยพูดไปสองไพเบี้ย                                รู้นิ่งเสียได้ผลงานตามเหมาะสม

คำโบราณขานว่าเป็นคารม                                   เพื่อเพาะบ่มให้คิดก่อนผ่อนวจี

๏ พูดคำงามคำจริงอิงแก่นสาร                              เสริมการงานชีวิตให้ได้สุขศรี

ย่อมผูกใจให้โดดเด่นเป็นไมตรี                              ชื่นชีวีด้วยสมญาว่าลิ้นทอง

๏ ลมปากเป็นจิตวิญญาณผ่านคำพูด                     ย่อมพิสูจน์ความคิดผิดถูกผอง

วัดความซื่อแห่งจิตความคิดตรอง                          จะยกย่องหรือถ่มทุดสุดแต่งคำฯ

...............................................

 

(15.นางสาวมาริษา) ลมปาก

ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์) และ 30 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ ก่อนจะเปล่งวาจาใดใคร่พินิจ                             ควรใคร่คิดถึงถ้อยความนำคำหวาน

ก่อนจะพูดพลั้งปากไปใคร่พิจารณ์                         มิระรานรู้สำนึกตรึกตรองใจ

๏ หาก “พูดดี” อ่อนน้อมคนล้อมรัก                         แจ้งประจักษ์บารมีที่ผ่องใส

ดั่งโบราณขานกล่าวเล่าเอาไว้                                พูดดีไซร้เป็นศรีตนคนชื่นชม

“พูดโกหก”ตลบตะแลงแฝงความชั่ว                    “พูดเมามัว”ใส่ผู้อื่นแสนขื่นขม

คนรอบข้างเหินห่างไปไม่นิยม                                ต้องตรอมตรมทุกข์เศร้าเคล้าน้ำตา

“พูดส่อเสียด”เบียดเบียนคนแสนทนทุกข์              มิเป็นสุขโศกศัลย์ไม่หรรษา

ให้ผู้อื่นโศกย้ำช้ำอุรา                                            เกิดปัญญาไปทั่วทุกตัวคน

๏ เปรียบวาจาดั่งชโลทรไม่ย้อนกลับ                        ไหลลงลับเร้นแหล่งแห่งหน

พูดสิ่งใดให้ตรองมองเล่ห์กล                                 สุขกมลเย็นฉ่ำเย็นเยือนเหมือนคงคา

๏ สังคมพวกหมู่คนชนชอบชิด                               ต้องพินิจกลั่นกรองตรองภาษา

เรียงร้อยคำก่อนเฉลยเผยพจนา                             ชื่นอุราเมื่อยินเสียงสำเนียงเอยฯ

...............................................

 

(16. ลัดดาวัลย์) ลมปาก

ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์) และ 30 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ คำพูดเราที่เปล่งออกบอกจากปาก                       ความหลายหลากควรพินิจคิดให้แจ้ง

ก่อนคิดพูดก่อนคิดทำนำแจกแจง                          ก่อนแถลงกับผู้คนได้ยลยิน

๏ หากพูดดีศรีแก่ตนคนลือเลื่อง                            ยิ่งรุ่งเรืองเสริมบารมีนี้ทุกถิ่น

ปฏิบัติหัดฝึกฝนจนเคยชิน                                    เป็นอาจินแก่ตนคนชื่นชม

๏ พูดใส่ร้ายป้ายสีชีวีวอด                                      พูดเสียดสอดชั่วนับจักทับถม

ติดตัวตายไม่มีสุขทุกข์ระทม                                 แสนขื่นขมช้ำดวงจิตพิษอนันต์

๏ ต่อหน้าพูดอีกอย่างพลางความหมาย                  เปลืองน้ำลายเสียศักดิ์ศรีมีโศกศัลย์

พูดลับหลังแปรเปลี่ยนปรับกลับคำพลัน                  แสนผกผันมิเหมือนคนบนโลกา

๏ พูดเหยียดหยามตามจิตมิคิดก่อน                       พูดเพราะซ่อนเรื่องร้ายนำคำอิจฉา

เพียงคำพูดที่พูดบอกเปล่งออกมา                          ช่างไร้ค่าชอกช้ำระกำใจ

๏ เอาเวลาที่พูดพร่ำนำวิเคราะห์                             แล้วสืบเสาะแสวงหาคุณค่าให้

กับตัวเองกับคนอื่นชื่นฤทัย                                    ศรัทธาในดวงจินต์วิญญาณตน

๏ ดุจน้ำกลิ้งบนใบบอนไม่สอนคิด                          ว่าถูกผิดตัวทำนำฝึกฝน

พูดโกหกตลบตะแตงแฝงเล่ห์กล                           เกิดเป็นคนต้องปฏิบัติพัฒนา

๏ แล้วลูกหลานรุ่นหลังจะยั้งคิด                            รู้ถูกผิดคำพูดส่อก่อศึกษา

มีคุณธรรมนำคิดพิจารณา                                    มิผลาญพร่าใช้ลมปากปรักปรำคนฯ

...............................................

 

(17. นายสุกฤษฎิ์) ลมปาก

ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ เปล่งวาลาว่าออกไปไตร่ตรองก่อน                  ผลสะท้อนมีมากมายหลายหลากเหลือ

ทั้งคนชังคนรักจักจุนเจือ                                       คิดทุกเมื่อก่อนพูดไซร้ให้ระวัง

๏ คำพูดดีไพเราะเสนาะหู                                     ยลยินรู้ตระกูลพูลปลูกฝัง

พูดอ่อนน้อมถ่อมตนคนมิชัง                                 พูดดีดังดาวประดับจับดวงแด

๏ มีปิยะวาจาน่าหลงไหล                                      พูดละไมเป็นเช่นแสงแห่งดวงแข

ส่องสว่างกลางฤทัยไม่ผันแปร                               ชนชูเชิดซ้องแซ่แน่แท้นา

๏ หากพูดชั่วตัววอดวายทำลายมิตร                       ไร้ความคิดคารมคำนำปัญหา

คมบาดลึกลงหทัยให้ระอา                                    เป็นตัวตราตรึงติดมิตรทุกข์ทน

๏ พูดกลับกลอกหลอกกันนั้นสิ่งผิด                        ทำให้จิตตกต่ำบ่นำผล

มวลหมู่มิตรเมินไม่มองหมองกมล                          จิตมืดหม่นมิมีสุขทุกข์เรื่อยไป

๏ อันวาจาพาทีที่หลุดปาก                                    นั้นแสนยากย้อนเวลามาแก้ไข

ดุจวารีที่หลั่งหลากพรากถิ่นไกล                             มิเคยไหลย้อนกลับเห็นชัดความ

๏ จะกล่าวถ้อยร้อยคำย้ำความคิด                          ทั้งพินิจซึ่งวจีอย่าผลีผลาม

ใช้สติเตือนตนไว้ในทุกยาม                                   วาทะงามไมตรีดีมีจรรยา

๏ ลมปาก สร้างซึ่งมิตรจิตสุขสม                            ลมปาก ทำระทมตรมหนักหนา

ลมปาก สร้างหรือทำลายร้ายวาจา             ลมปาก คือปัญญาค่าของคนฯ

...............................................

 

(18. นายกิตติ์) "คำ"

ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ ยินสำเนียงเสียงมนุษย์สุดรอบหล้า                      ส่งภาษาสานลักษณ์สื่ออักษร

บ้างเรียงร้อยสร้อยวจีกวีวร                                   บ้างกัดกร่อนรอนราญผลาญโลกีย์

๏ คำคือดาบสองคมตามลมปาก                            หนึ่งเพริศพากย์พูดพร่ำฉ่ำสุขศรี

สานสันพันธ์สันติสุขทุกชีวี                                    ก่อไมตรีต่างจิตมิตรผูกพัน

๏ บ้างร่ายรินิพันธ์ฉันทลักษณ์                              คอยสานถักถ่องถ้อยร้อยรังสรรค์

กล่อมปวงชนพ้นวิโยคโศกจาบัลย์                          กอปรสิ่งหรรษ์แห่งหล้าทุกครากาล

๏ อีกหนึ่งนั้นหมั่นติบริภาษ                                   กล่าวอาฆาตคิดสร้างแต่ล้างผลาญ

พร่ำแต่ปากกากกร้าวให้ร้าวราน                             ส่ำสามานย์สารโสมมล่มสัมพันธ์

๏ ทั้งชำนิติเตียนเพียรพูดด่า                                 คอยแต่ว่าวาทร้ายให้โศกศัลย์

มัวเพ้อพ้อล้อเล่นเป็นสำคัญ                                 ทั้งห้ำหั่นกันด้วยคำนำสงคราม

๏ จึงต้องหมั่นสรรคำก่อนนำใช้                              หวังเพื่อให้ไร้คำพร่ำเหยียดหยาม

คนพูดดีมีค่าสง่างาม                                           คนพูดทรามเสื่อมศักดิ์หนักแผ่นดินฯ

...............................................

 

(19. ชิงชัน) "วาจาข้าวาจาท่าน"

ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ ปฐพีว่าวาจาข้านั้นแน่นหนัก                               หาใครจักเทียมทัดมิอาจหาญ

ค้นปลายฟ้าสุดใต้หล้าก็เปล่าการ                          สัตยาข้านั้นนานนับนิรันดร์

๏ วารีว่าวาจาข้าแสนอ่อนหวาน                             เสนาะดังกังวานปานรังสรรค์

นพรัตน์อันว่างามนับร้อยพัน                                 สู้สำคัญน้อยกว่าหนึ่งหยดนที

๏ วาโยว่าวาจาข้าแพร่สะพัด                                 หอบตำนานขานขัดไปทั่วที่

เล่าเรื่องราวร้อยเพลงบทกวี                                   คงทำนองครองค่าผ่านสานสืบมา

๏ พฤกษาว่าวาจาข้านั้นร่มเย็น                               กิ่งก้านใบแผ่เห็นเป็นสาขา

ทั้งใหญ่น้อยไม้แมกแทรกงามตา                            ดั่งบทเพลงยามนิทรากล่อมชีวี

๏ ภมรว่าวาจาข้าซ่อนคำคม                                  เสียงส่งดังร้องระงมด้วยกรีดสี

แผ่กำจายกังวานทั่วธรณี                                      ซ่อนเคล็ดดีตรีวิชาปัญญาคุณ

๏ โลกาว่าวาจาข้าเปี่ยมด้วยรัก                               ดังเสาหลักปักย้ำค้ำเกื้อหนุน

ขอเมตตากรุณาข้าเจือจุน                         ด้วยผลบุญแห่งรักจักได้ดี

๏ อันท้ายสุดมนุษาว่าคำใด                                   ขอโปรดพิจารณาทั่วถ้วนถี่

อนึ่งด้วยนรชายทั้งหลายนี้                                    หาได้ดีอยู่ทุกคำที่พร่ำเอยฯ

...............................................

 

(20. อุบลรัตน์) ลมปาก

ส่ง 30 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ เอ่ยวาจาภาษาบ่งบอกนิสัย                                สื่อความหมายนัยตัวตนชนทั้งหลาย

พูดพินิจคิดพิเคราะห์เพราะมิวาย                          บ่เสื่อมคลายชนชวนชมนิยมกัน

“ลมปาก” นี้มีผลต่อคนนัก                                 จิตจะภักดิ์หรือแบ่งแยกแตกโศกศัลย์

ปากสื่อจิตมิตรไมตรีเชื่อมชีวัน                               สร้างสัมพันธ์ด้วยวาจาพาเปรมปรีดิ์

๏ ปากใส่ร้ายป้ายสีราคีหมอง                                หม่นมัวพร้องเพื่อนระอาเสื่อมราศี

พลิกลิ้นกลบตลบตะแลงแปลงชั่วดี                       ทุกข์ทวีทนระทมตรมปากคน

๏ วจีเอ่ยออกไปใคร่ควรคิด                                    จงพินิจราคีไกลไม่สับสน

เพราะวาจาคือเครื่องมือสื่อกมล                            เกิดก่อผลสัมพันธ์ซึ้งตรึงอุรา

๏ อันลมปากเปรียบกระบี่มีคมสอง                         ควรคิดตรองคุณโทษนี้มีมากหนา

อยู่ที่เราจักใช้กันพลันนำมา                                   ดีชั่วตราตรึงติดไว้ในตัวเรา

๏ มนุษย์ใช้วาจากล่าวปราศรัย                               แสดงใจสิ่งแน่แท้แก่ตัวเจ้า

“ลมปาก”คนสนทนานานลำเนา                             บอกพงศ์เผ่าผองหมู่ชนคนทั่วไป

๏ คิดกล่าวดีคือคนดีที่ยกย่อง                                ชนต่างมองชื่นชมนิยมใฝ่

ขอสรรเสริญคนพูดดีศรีเกริกไกร                            ริเริ่มให้เราเดินตามสร้างความดีฯ

...............................................

 




กลอนสุภาพ 2551

กลอนสุภาพ “ทางออก” สิงหาคม 2551 สำนวนที่ 21-33
กลอนสุภาพ “ทางออก” สิงหาคม 2551 สำนวนที่ 1-20
กลอนสุภาพ “เมืองหุ่น” กรกฎาคม 2551 สำนวนที่ 21-35
กลอนสุภาพ “เมืองหุ่น” กรกฎาคม 2551 สำนวนที่ 1-20
กลอนสุภาพ “ลมปาก” มิถุนายน 2551 สำนวนที่ 21-33 article



bulletผลร้อยกรองออนไลน์ 2558
dot
ประกวดร้อยกรองออนไลน์ครั้งที่ 7
dot
bulletข้อมูลการประกวดครั้งที่ 7, 2557
bulletผังร้อยกรอง
bulletอ่านโคลงประกวด 2557
bulletอ่านกลอนประกวด 2557
bulletอ่านกาพย์ยานีประกวด 2557
bulletผลการประกวดร้อยกรอง ปี 2557
dot
ข่าวสาร ข้อมูลสมาคม
dot
bulletกรรมการสมาคมสมัยที่ ๑๕-๑๖
bulletนายกสมาคมสมัยที่ ๑๗
bulletติดต่อนายกสมาคมนักกลอน
bulletติดต่อฝ่ายดูแลส่วนต่างๆ
bulletสมัครสมาชิกสมาคมนักกลอน
bulletนักกลอนตัวอย่าง ๒๕๕๓
dot
หัวข้อน่าสนใจ
dot
bulletรวมลิ้งค์เว็บไซต์น่าสนใจ
bulletส่งบทสักวา น.ส.พ. สยามรัฐ
bulletวารสารวิทยาจารย์ รับต้นฉบับ
bulletส่งข้อเขียนครูในดวงใจ
dot
แนะนำหนังสือ
dot
bulletหน้ารวมหนังสือ
bulletคู่มือเรียนเขียนกลอน
bulletกาสรคำฉันท์ - สมคิด สิงสง
bulletหนังสือสุรินทร์สโมสร
bulletฝากโลกนี้ไว้ในหัวใจเธอ - กอนกูย
bulletเลือน - อติภพ
bulletธาร ธรรมโฆษณ์
bulletนายทิวา
bulletกลอนเกียรติยศ
bulletอ้อมกอดแห่งท้องทุ่ง
bulletทองแถม นาถจำนง
bulletพงศาวดารพิภพ
bulletโป๊ยเซียน คะนองฤทธิ์
dot
โครงการประกวดต่างๆ
dot
bulletนายอินทร์อะวอร์ด ๒๕๕๖
bulletประกวดรางวัลซีไรท์ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลพานแว่นฟ้า ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลวรรณกรรมรามคำแหง ๒๕๕๖
dot
ผลตัดสินรางวัลต่างๆ
dot
bulletรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletผลรางวัลซีไรต์ ๒๕๕๗
bulletผลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ๒๕๕๗
bulletผลรางวัลแว่นแก้ว ๗ (๒๕๕๓)
bulletผลกลอนวิถีคนกับควาย
bulletผลร้อยกรอง “ผมจะเป็นคนดี”
bulletรางวัลนราธิป ๒๕๕๓
bulletนักเขียนอมตะ คนที่ ๖ (๒๕๕๕)
bulletนักเขียนรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletศิลปินมรดกอีสาน ๒๕๕๔
bulletผลรางวัลพานแว่นฟ้า ๒๕๕๕
bulletผลรางวัลรามคำแหง ๒๕๕๖
bulletศิลปินแห่งชาติ ๒๕๕๕
bulletผลประกวดหนังสือ ชีวิตใหม่ 2
dot
ข่าวคราวของลมหายใจ
dot
dot
Weblink
dot
bulletอ่านกลอนประกวด 2556

หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก
สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาภาษาไทย มศว
เว็บรวมกระทู้ อาศรมชาวโคลง ใน pantip.com
หนังสืออีศาน


Copyright © 2010 All Rights Reserved.
ติดต่อ นายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ทองแถม นาถจำนง
โทรศัพท์ ๐๘๙-๑๒๓๔๗๕๔ อีเมล์ tongtham.n@hotmail.com

สำนักพิมพ์แม่โพสพ