ReadyPlanet.com
dot dot
โคลงสี่สุภาพ “ลมปาก” มิถุนายน 2551 สำนวนที่ 1-20 article

ระดับอุดมศึกษา และประชาชนทั่วไป (โคลงสี่สุภาพ) – 49 สำนวน

หน้า(1) สำนวนที่ 1-20

 

(1. วารีริน) พักใจในสายลม

ส่ง 1 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ ลมลอยคอยเป่าให้                    เย็นกาย

ความเหนื่อยเนือยเหน็ดหาย          ผ่องแผ้ว

หลับเนตรนิ่งพิงกาย                    พักจิต ได้ฤๅ

ใจบ่สงบแล้ว                              ย่ำย้ำคำคน

 

๏ รนรับเสียงมุ่งร้าย                      นานา

เผาแผดกมลพา                          โศกเศร้า

จิตคิดยิ่งลงมา                            ตกต่ำ

ดำดิ่งสำเนียงเร้า                         เร่าร้อนใจราน

 

๏ บางวาจาหว่านล้อม                  คำหวาน

ฟังรื่นรมย์กมลพาน                     ชุ่มชื้น

หลงคำยกจิตปาน                       ฟูฟ่อง

ลอยล่องปองคำรื้น                      ที่ต้องดังใจ

 

๏ วาโยยังพัดต้อง                        ใจกาย

ลมลิ่วผิวสบาย                           ไป่ร้อน

ลมปากต่างลมสาย                     พัดผ่าน

หวานและขมปนป้อน                   สิ่งล้วนทุกข์กรรม

 

๏ สัจธรรมตอกย้ำ                        สดับจิต

คำเป่าหูเนืองนิจ                          ป่าวป้าย

เป็นเพียงแค่ลมลิด-                     รอนโง่ เง่าแฮ

เราไม่จำคำร้าย                           ร่ายรั้งใจตน

 

๏ คำคนยอเยิ่นเย้อ                       จงรับ ฟังแล

แต่อย่าเหลิงถึงกับ                       ซ่านฟุ้ง

คำคนด่าฟังจับ                           จงปรับ ปรุงแฮ

แต่อย่าเก็บคำคลุ้ง                       ใส่ให้ตรอมตรม

 

๏ แรงลมปากจักร้าย                    รุนแรง จริงฤๅ

หากบ่ไหวใจแข็ง                         แกร่งกล้า

จิตสงบเงียบแฝง                         วางปล่อย

ลมพัดโชยโบยช้า                        ฉ่ำทั้งกายใจฯ

...............................................

(2. เทิดฟ้า) ลมปาก

ส่ง 2 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ ปากพูดกล่อมโลกให้                 หอมหวน

ปากร่ำเกิดรัญจวน                       แจ่มได้

ปากเสริมรูปลักษณ์ชวน               ชมชื่น

ปากแกว่งหาเสี้ยนไซร้                  เถิดรู้ควรสยอน

 

๏ ปากบอนชอบพูดฟ้อง                ส่งเสียง

ปากจัดตอบโต้เถียง                     กล่าวกร้าน

ปากแข็งบ่ยอมเอียง                     อิดออด

ปากเปราะเราะรายจ้าน                จัดท้าทุกหน

 

๏ ปากหวานก้นเปรี้ยวปลอด          จริงใจ

ปากมากพล่ามซ้ำไป                    ไป่ค้อม

ปากโป้งโพล่งบรรลัย                    เสียพลาด 

ปากว่ามือถึงพร้อม                      คลุกเข้าสะสาง

 

๏ ปากสว่างเรื่องผู้อื่น                   ออกเผย

ปากหนักห่อนใคร่เคย                   เปิดเอื้อน

ปากเบาพูดล้ำเลย                       เร็วล่วง

ปากว่าตาขยิบเขยื้อน                   บ่คล้องตรงคำ

 

 ๏ ปากตำแยบ่รู้                           อยู่สุข

ปากตะไกรคมปลุก                      ปลาบไส้

ปากตลาดกราดรานรุก                 ร้องด่า

ปากต่อปากต่อให้                        เรื่องร้ายโฉ่เหม็น

 

๏ ปากเป็นนายพูดพลั้ง                 วาจา

เผลอพล่อยคล้อยคืนมา               เชือดเนื้อ

คิดก่อนพูดปรัชญา                      จริงแน่  แท้เฮย

มธุรพจน์พากย์เคื้อ                      โสตซึ้งซ่านเสมอฯ

...............................................

 

(3. เบ็ญจวรรณ)  ลมปาก

ส่ง 2 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์) (ขอแก้ไข “ไว้” เป็น “ไทย” 3 มิถุนายน 2551)

 

๏ คุณโทษมีมากล้น                     ลมปาก
พูดกลับกลอกพูดมาก                  ปากร้าย
พาความเชื่อหนีจาก                     ลอยล่อง
หมองหม่นดูไปคล้าย                   กลอกกลิ้งลวงใจ


๏ ในคำพูดใส่ไคล้                       เสียดสี
แนมเหน็บเจ็บทุกที                      ชอกช้ำ
ระกำจิตอยากหนี                        ไกลห่าง
การย่ำเหยียบตอกย้ำ                    สุดกล้ำฝืนทน


๏ ดวงกมลสุดเศร้า                      แหลกสลาย
ถูกเชือดเฉือนมากมาย                 ร่ำไห้
เป็นแผลลึกเจียนตาย                   เจ็บยิ่ง
ตกสะเก็ดดำไหม้                         ทุกห้องฤดี


๏ มีปากเพียงเพื่อใช้                     ลมลวง
หวังเก็บเกี่ยวตักตวง                    เพื่อนพ้อง
จิตใจแคบแสนกลวง                    โบ๋ลึก
หนีห่างและปัดป้อง                     อย่าได้นับถือ


๏ ระบือไกลร่ำร้อง                        โหยหา
ความอ่อนหวานตรึงตรา               ชิดใกล้
ความอบอุ่นเคียงมา                     ควบอยู่
สดชื่นดวงใจไซร้                         ทั่วหล้าเรืองรอง

 

๏ ครอบครองแลกล่าวอ้าง            ทุกที
ควรกลั่นกรองทุกวลี                     ว่าไว้
ความจริงมากมายมี                     สมทบ
ประสบสำเร็จได้                          เลิศล้ำทุกครา


๏ เวลาเดินผ่านพ้น                      ไปไกล
คำพูดดีเทิดไทย                          เพียบพร้อม
ยังคงอยู่ในใจ                             ทุกเหล่า
ตรึงติดยอมนบน้อม                     ต่อสู้เคียงกาย


๏ ภายในจิตแจ่มจ้า                     เจิดจรัส
ผุดผ่องยามสัมผัส                       แวดล้อม
พานพบสุดโสมนัส                      อบอุ่น
ปิยะวาจาพร้อม                          รัดร้อยโลกงามฯ

...............................................

 

(4.สนธยา)  "ลมร้ายทั้งห้า"

ส่ง 3 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ โครมครามคลาคล่ำเคล้า           ฝนลม

น้ำเจิ่งบ้านเรือนจม                      ทั่วหล้า

จั๊ก จั๊ก ไม่อาจข่ม                         ใจฝ่อ

พื้นร่นพิรุณบ้า                            หน่อเนื้อระทม

 

๏ พายุก่อบังเกิดแล้ว                    สลาตัน

กระหึ่มกวาดแสนพัน                   ล่มบ้าน

นาร์กีสโร่โรมรัน                           ไร้อู่

หดหู่สุดจะต้าน                           ร่ำไห้เสียขวัญ

 

๏ ใบไม้หล่นเริ่มแล้ว                     ลมหนาว

ผ้าห่มขาดบางคราว                     ป่วยได้

กกกอดก่ายกายเคล้า                   พออุ่น

ไฟอ่อนฟืนมอดไหม้                     อ่อนล้าปวดร้าว

 

๏ ลมร้อนโลกรุ่มร้อน                    อันตราย

คนไม่อาจคลี่คลาย                      ช่วยห้าม

พอกพูนเพิ่มขยาย                       ร้อนเร่ง

กรรมก่อร่วมกันข้าม                     ผ่านพ้นวอดวาย

 

๏ สี่ลมรวมร่วมร้าย                      ทุกข์ยาก

อีกหนึ่งคือลมปาก                       ยิ่งร้าย

สี่ลมร่วมอย่างมาก                      กายป่วย

ปากชั่วพาตนย้าย                        ล่มสิ้นตระกูล

 

๏ โกหกปากพล่อยพร้อม               รับปาก

พูดไม่คิดพูดหยาบ                      ยิ่งร้าย

เพ้อเจ้อส่อเสียดสาบ                    สิ่งชั่ว

พูดยั่วลามกป้าย                         เสื่อมแล้วศรัทธาฯ

...............................................

 

(4.สนธยา)  "ลมร้ายทั้งห้า" (ฉบับแก้ไข)

ส่ง 23 มิถุนายน 2551 ฉบับแก้ไข (ทางอีเมล์)

 

๏ โครมครามคลาคล่ำเคล้า           ฝนลม
น้ำเจิ่งบ้านเรือนจม                      ทั่วหล้า
จั๊ก จั๊ก ไม่อาจข่ม                        ใจฝ่อ

พื้นร่นพิรุณบ้า                            หน่อเนื้อระทม


๏ พายุเกิดก่อแล้ว                        สลาตัน

กระหึ่มกวาดแสนพัน                   ล่มบ้าน
นาร์กีสโร่โรมรัน                           ไร้อู่
หดหู่สุดจะต้าน                           ร่ำไห้เสียขวัญ


๏ ใบไม้หล่นเริ่มแล้ง                     ลมหนาว
ผ้าห่มขาดบางคราว                     ป่วยได้
กกกอดก่ายกายร้าว                     พออุ่น
ไฟอ่อนฟืนมอดไหม้                     อ่อนล้าปวดร้าว


๏ ลมร้อนโลกรุ่มร้อน                    อันตราย

คนไม่อาจคลี่คลาย                      ช่วยห้าม
พอกพูนเพิ่มขยาย                       ร้อนเร่ง
กรรมก่อร่วมกันข้าม                     ผ่านพ้นวอดวาย


๏ สี่ลมรวมร่วมร้าย                      ทุกข์ยาก
อีกหนึ่งคือลมปาก                       ใส่ร้าย
สี่ลมร่วมอย่างมาก                      กายป่วย
ปากชั่วพาตนย้าย                        ล่มสิ้นตระกูล

 

๏ โกหกปากพล่อยพร้อม               รับปาก
พูดไม่คิดพูดหยาบ                      ยิ่งร้าย
เพ้อเจ้อส่อเสียดสาบ                    สิ่งชั่ว
พูดยั่วลามกป้าย                         เสื่อมแล้วศรัทธาฯ

...............................................

 

(5. โดยคำ ลานเทวา) บางลมคำ

ส่ง 8 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ บางคำคอยบ่งย้ำ                      คำพราง

แลสื่อในทีทาง                            เล่ห์ย้อม

ประจงแจ่มแต่งวาง                     เติมต่อ ใจนา

บางสิ่งแลสุดน้อม                       ผ่านพ้นมลทิน

 

๏ บางคำลมปากสร้าง                  เพียงลม

เสียงย่อมยวนใจชม                     ยั่วเย้า

มารยาบ่งนิยม                            ตามแต่ ใจพา

หลงซื่องมคำเค้า                         ซ่านซึ้งโสตตรม

 

๏ ดัดจริตการก่อเชื้อ                     ลวงตา

ร้อยเล่ห์ห่มมารยา                       ล่อไว้

แอบลอบห่วงหูกพา                     ใจลุ่ม  หลงแฮ

หยาบชั่วบดบังไซร้                       ไป่รู้จิตคน

 

๏ แลคนผิใช่พ้อง                         แพรพรรณ

แลซึ่งถ้อยจำนรรจ์                       บ่งรู้

แลผิวผ่านใดยัน                          ธรรมเที่ยง ตรึงแด

แลส่อบางอย่างยู้                        ย่อมย้ำจริงปลอม

 

๏แลโลกเราห่อหุ้ม                        มายา

สรรพสิ่งล้วนลวงตา                    ใช่แท้

แปลกปลอมต่อศรัทธา                 เพียงผ่าน  ในลวง

จึงข่มความจริงแพ้                      พ่ายลิ้นลมโลม ฯ

 

(5. โดยคำ ลานเทวา) บางลมคำ (ฉบับแก้ไข)

ส่ง 23 มิถุนายน 2551 ฉบับแก้ไข (ทางอีเมล์)

 

๏ บางคำคอยบ่งย้ำ                      คำพราง

แลสื่อในทีทาง                            เล่ห์ย้อม

ประจงแจ่มแต่งวาง                     เติมต่อ ใจนา

บางสิ่งแลสุดน้อม                       ผ่านพ้นมลทิน ฯ

 

๏ บางคำลมปากสร้าง                  เพียงลม

เสียงย่อมยวนใจชม                     ยั่วเย้า

มารยาบ่งนิยม                            ตามแต่  ใจพา

หลงซื่องมคำเค้า                         ซ่านซึ้งโสตตรม ฯ

 

๏ ดัดจริตการก่อเชื้อ                     ลวงตา

ร้อยเล่ห์ห่มมารยา                       ล่อไว้

แอบลอบห่วงหูกพา                     ใจลุ่ม  หลงแฮ

หยาบชั่วบดบังไซร้                       ไป่รู้จิตคน ฯ

 

 ๏ แลคนผิใช่พ้อง                        แพรพรรณ

แลซึ่งถ้อยจำนรรจ์                       บ่งรู้

แลผิวผ่านใดยัน                          ธรรมเที่ยง  ตรึงแด

แลส่อบางอย่างยู้                        ย่อมย้ำจริงปลอม ฯ

 

 ๏ แลโลกเราห่อหุ้ม                      มายา

สรรพสิ่งล้วนลวงตา                    ใช่แท้

แปลกปลอมต่อศรัทธา                 เพียงผ่าน ในลวง

จึงข่มความจริงแพ้                      พ่ายลิ้นลมโลม ฯ

 

 ๏ เวียนวาดวนว่ายเวิ้ง                  มรรคา

มนต์แห่งคำลวงตา                      ร่ายล้อม

เสกสรรค์ก่อมายา                        คอยบ่ง  บงการ

ไหวสู่ห้วงหทัยน้อม                      นั่นแล้วลมคำฯ

...............................................

 

(6. นิศานาถ) ลมปาก

ส่ง 9 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ พัดเพพาพ่ายเพี้ยง                   โพยภัย

ลมเล่ห์ลวงแล้ไร                         ร่ายร้าย

จวนเจียนจิตจนใจ                       จดจบ

ลมหลอกล่อเหลือหลาย               หลบหลีก..ไรฤา

 

๏มนต์ม่านเมฆหมอกมัว               เมามาย

ลมปากหลอกเป็นภัย                   พ่นพิษ

ไม่หนักแน่นอันตราย                    ตายแตก

ฟังสงบสยบคิด                           ครองเขตคามใจ

 

๏ ใช้สติตรองไตร่                         ใคร่ครวญ

อย่าทำจิตเรรวน                          เร่งรู้

มั่นในศีลไร้ยวน                           ยั่วย่าม

มารดลลังเลสู้                             สติสร้างทางสวรรค์

 

๏ หูเบาเชื่อสิ้นแสร้ง                     สรรคำ

จิตจมดิ่งถลำ                              หลอกเล่า

ปัญญาไร้ธงนำ                           ดับสิ้น

ตกเป็นเครื่องมือเฝ้า                     ฝักใฝ่..แฝงเฝือ

 

๏ ก่อนสดับสรรพเสียง                  สั่งความ

สร้างสมาธิตรองตาม                   ต่อแต้ม

เท็จจริงผิดถูกยาม                       ย่นย่อ

อย่าเพียงปักใจแย้ม                     หยิบแยกส่วนดี

 

๏ โบราณนานเก่าสร้าง                 เสกคำ

พกหินมีคุณล้ำ                           เลิศแล้

พกนุ่นวุ่นวายกรรม                      เกิดก่อ

พกหินดีกว่าแน่                           หนักแน่นแดนธรรมฯ

...............................................

 

(7. นางสาวศิริพร) ลมปาก

ส่ง 13 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ ขาดรักดุจดั่งสิ้น                       ดวงกมล เจียวนา

ขาดที่พึ่งประคองตน                   เหนี่ยวรั้ง

เปรียบประหนึ่งเวียนวน                มาคู่ เคียงเรา

เปรียบเรื่องรักนับครั้ง                   บ่ได้เพียงพอ

 

๏ ยามรักใครใคร่คล้อย                 ตามเขา

ดุจดั่งเด็กวัยเยาว์                        ร่ำร้อง

ตามติดดั่งเป็นเงา                       ไปทั่ว ทุกสถาน

หอมกรุ่นความรักก้อง                   เอ่อล้นดวงใจ

 

๏ ยามรักเปรียบอนึ่งน้อง               นวลนาง อรชร

งามดั่งนวลสะอาง                      พรั่งพร้อม

ชายชมว่างามพลาง                     หลงเล่ห์ ชายลวง

ชายที่รักจักน้อม                          ซ่านซึ้งทรวงใน

 

๏ นานวันรักเริ่มใกล้                     โรยรา

แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา                  บ่อยครั้ง

เวลาล่วงเลยมา                          เหินห่าง จางหาย

หมองหม่นตนพลาดพลั้ง             นั่งน้ำตาคลอ

 

๏ ความรักเปรียบเรื่องสั้น              หมดหวาน สิ้นซาก

เฉกเช่นคบคนพาล                      เพียงครั้ง

มอบรักอย่างอาจหาญ                  โดยไม่ แคลงใจ

เราที่เจ็บสุดยั้ง                            ยิ่งแล้วดวงใจ

 

๏ หลงเพียงคำหว่านล้อม             แยบยล คนลวง

หลงคลั่งคำทรชน                        เพลี่ยงพล้ำ

ลวงหลอกกี่สิบหน                       มิต่าง ลมปาก

ลองไตร่ตรองดูซ้ำ                        อย่าได้หลงกลฯ

...............................................

 

(7. นางสาวศิริพร) ลมปาก (ฉบับแก้ไข)

ส่ง 17 มิถุนายน 2551 ฉบับแก้ไข (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ ขาดรักดุจดั่งสิ้น                       ดวงกมล

ขาดหนึ่งประคองตน                    เหนี่ยวรั้ง

เปรียบประหนึ่งเวียนวน                มาคู่

เปรียบเรื่องรักนับครั้ง                   บ่ได้เพียงพอ

 

๏ ยามรักใครใคร่คล้อย                 ตามเขา

ดุจดั่งเด็กวัยเยาว์                        ร่ำร้อง

ตามติดดั่งเป็นเงา                       ไปทั่ว

หอมกรุ่นความรักก้อง                   เอ่อล้นดวงใจ

 

๏ ยามรักเปรียบอนึ่งน้อง               นวลนาง

งามดั่งนวลสะอาง                      พรั่งพร้อม

ชายชมว่างามพลาง                     หลงเล่ห์

ชายที่รักจักน้อม                          ซ่านซึ้งในทรวง

 

๏ นานวันรักเริ่มใกล้                     โรยรา

แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา                  บ่อยครั้ง

เวลาล่วงเลยมา                          เหินห่าง

หมอหม่นตนพลาดพลั้ง               นั่งน้ำตาคลอ

 

๏ ความรักเปรียบเรื่องสั้น              หมดหวาน

เฉกเช่นพบคนพาล                      ชั่วครั้ง

มอบรักอย่างอาจหาญ                  เพียงใคร่

เราที่เจ็บสุดยั้ง                            ยิ่งช้ำดวงใจ

 

๏ หลงเพียงคำหว่านล้อม             กลลวง

หลงคลั่งเจ็บปวดทรวง                 เพลี่ยงพล้ำ

ลวงใจกี่สิบดวง                           เล่นลิ้น  ลมปาก

ลองไตร่ตรองดูซ้ำ                        อย่าได้หลงกลฯ

...............................................

 

(8. คมสัน) เสียงว่ากล่าวจากข้างบ้าน

ส่ง 15 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ บางครั้งเราไม่รู้                         ตัวเอง

ก็พร่ำโดยมิเกรง                          บ่นบ้า

คนฟังส่ายหัวเคลง                      เบือนหลบ

คิดสยบหากทายท้า                     ปวดร้าวเคืองกัน

 

๏ ทุกวันก็อยากให้                        ดีงาม

เพียงแต่คำประณาม                    ขุ่นข้อง

อารมณ์ก่อยินตาม                       ทับกด

สบถพูดเสียงหวีดร้อง                  ตอกย้ำโง่งม

 

๏ นิยมชอบพร่ำถ้อย                     สร้างสรรค์

ฟังชื่นจิตจำนรรจ์                        เปิดกว้าง

เลิกคิดเปรียบวงวรรณ                  เทียบสัตว์

หันบอกคำจรรโลงบ้าง                 ปลุกเร้าวิญญาณ

 

๏ดักดาน-ใครมอบไว้                    กรอกหู

เขียนฉลากแปะมองดู                  ยิ่งเศร้า

คำคนมากพรั่งพรู                        กำหนด

ฝังลึกกำแพงเฝ้า                         กรอบกั้นตัวตน

 

๏ สับสนหากมุ่งชี้                        ทิศทาง

ชีวิตย่อมเลือนลาง                       ผิดรู้

ทุกคนใฝ่ฝันพลาง                       มุ่งสู่

หวังที่หมายกอบกู้                        ครุ่นได้ตามควร

 

๏ คำนวณตรองหยั่งเฟ้น               วิถี ตนแล

อดีตเกิดผลมี                              เจ็บช้ำ

ควรลองเปลี่ยนถ้อยวจี                 มุมใหม่

ทางบวกประเสริฐล้ำ                    ปลูกไว้ยั่งยืนฯ

...............................................

 

(9 .ศิริพร) (ลมปาก) คุณฤๅโทษ

ส่ง 17 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ สายลมพัดเอ่ยเอื้อน                  ความใน

เย็นฉ่ำจิตชโลมใจ                       ค่ำเช้า

สายลมผ่านเลยไป                       ทุกที่

พัดเย็นดั่งหยอกเย้า                     แผ่นฟ้าทุกแดน

 

๏ ลมหอบความคลั่งใคล้              มวลภมร

หอมกรุ่นพวงเกษร                       หมู่ไม้

ลมพัดแผ่วอาวรณ์                       ทุกถิ่น

หากลมบ่พัดไซร้                          รุ่มร้อนทรวงใน

 

๏ ลมพัดมาเช่นนี้                         สุขใจ

พัดเพื่อพาร้อนไกล                      ห่างแก้ม

ลมเอยเหนื่อยหรือไร                     วานเอ่ย

วอนลมช่วยเติมแต้ม                    แต่งฟ้างดงาม

 

๏ ลมใดจักเร่าร้อน                       อุรา

เปรียบเช่นลมพัดพา                    เรื่องร้าย

สายลมส่งความมา                      หลายสิ่ง

หลากเรื่องดีแลร้าย                      แน่แท้ลมปาก

 

๏ ฤาลมเพียงเพื่อโน้ม                   ดวงจิต

เราจึ่งควรพินิจ                            ถี่ถ้วน

ลมปากที่เป็นพิษ                         ควรห่าง

ทำดั่งเอ่ยจักล้วน                         ผ่องแผ้วพิมล

 

๏ ลมปากดีแซ่ซ้อง                       สรรเสริญ

ลมย่อมนำความเจริญ                  สู่เหย้า

ดลสิ่งดีควรเดิน                          แบบอย่าง

พูดเรื่องดีหมดเศร้า                      ยิ่งล้นคนชมฯ

...............................................

 

(10. ศิริพร) การเมืองเรื่องลม-ลม

ส่ง 18 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ ทุกวานวันล่วงรู้                        มากมาย

หลากเรื่องของหญิงชาย               ร่วมสู้

สิทธิคู่เคียงกาย                           ประหนึ่ง

ชนรุ่นหลังกอบกู้                          ย่อมได้ธิปไตย

 

๏ ลูกหลานเรากู่ก้อง                     ตะโกน

ดุจค่ายของกองโจร                      ขู่ข้า

พูดพร่ำพลางกระโจน                  กราดเก่ง

เดือดพล่านโชว์ความบ้า               คลั่งคลุ้งอารมณ์

 

๏ ชุมนุมกันต่อต้าน                      การเมือง

ราวกับเคยโกรธเคือง                    ขัดแย้ง

พูดพ่นความประเทือง                  อวดเก่ง

อรรถเอ่ยความเสแสร้ง                 พ่นร้ายใส่ตน

 

๏ นักการเมืองใคร่สร้าง                พัฒนา

นับแต่ถูกเลือกมา                        ก่อตั้ง

วาทะเอ่ยความมา                       หลากสิ่ง

จักเร่งกันหยุดยั้ง                         เรื่องร้ายเมืองเรา


๏ ประจักษ์เพียงเอ่ยอ้าง               วาจา

นับเมื่อดำรงค์มา                         แต่ต้น

ชาวเราเหนื่อยระอา                      สุดกู่

หยุดพล่ามวิกฤตพ้น                    ผ่านได้ปรีดิ์เปรม

 

๏ หากหยุดคำพร่ำเพ้อ                  พรรณา

เพียงเอ่ยจากวาจา                       ถั่งถ้อย

ประโยชน์เกิดเหลือคณา               เจียวท่าน

คุณแก่คนนับร้อย                        เมื่อสร้างความดีฯ

...............................................

 

(11. ทวิร) ลมปาก

ส่ง 20 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ ลมปากเปรียบดั่งหน้า                ดั่งตา

ชังรักด้วยวาจา                            กล่าวถ้อย

พูดผิดเปรียบอำลา                      ญาติมิตร ตีจาก

กล่าวถูกผู้คนคล้อย                     รอดพ้นอันตราย

 

๏ ลมเย็นพัดโบกพริ้ว                    เย็นกาย  เย็นใจ

รู้สึกดั่งพระพาย                          เป่าให้

เปรียบกับพูดคมคาย                    รอบคอบ

ตั้งสติจัดคำไว้                            แต่งแต้มลงตัว

 

๏ พายุช่างโหดเหี้ยม                    เหลือหลาย

กระหน่ำผู้คนตาย                        มากล้น

ปากร้ายย่อมวอดวาย                   เชื่อมั่น หมดไป

ไม่คิดและไม่ค้น                          แต่งแต้มตามใจ

 

๏ ก่อนพูดดูรอบข้าง                     ถูกที่ ถูกทาง

กล่าวถูกย่อมได้ดี                        เที่ยงแท้

การพูดดั่งตัวชี้                            ระดับ ความรู้

พลาดพลั้งต้องปรับแก้                 ปรับใช้ตามกาล

 

๏ ผู้คนอยากซาบซึ้ง                     คำหวาน

นึกรักนึกพบพาน                         ไขว่คว้า

ใครใครต่างเล่าขาน                     ผู้ซึ่ง พูดดี

เปรียบดั่งเห็นนางฟ้า                    ปลาบปลื้มยินดี

 

๏ ลม     เย็นขับไล่ร้อน                 ออกไป

ปาก      ปราบและผลักไส            สิ่งร้าย

ลม        แรงเหวี่ยงคนไกล            ออกห่าง จากตน

ปาก      ไล่ให้โยกย้าย                  ไม่ได้สิ่งดีฯ

...............................................

 

(12.วลี) ลมปาก

ส่ง 21 มิถุนายน 2551

 

๏ โอษฐ์เอยยามเอ่ยถ้อย                คำใด

คนถ่อยมักปากไว                        เปลี่ยนปลิ้น

ลมปากบ่จริงใจ                           ใครเชื่อ คำนา

หลงย่องคารมลิ้น                        ด่าวดิ้นโดยคำ

 

๏ บัณฑิตหากเอ่ยถ้อย                  ลำนำ

ปากบ่เคยคืนคำ                          เที่ยงแท้

คือคนน่าจดจำ                           ตามเยี่ยง อย่างนา

คำสัตย์มิเคยแพ้                          ต่อน้ำคำใดฯ

...............................................

 

หมายเหตุคณะทำงานฯ : ผิดกติกา ส่ง 2 บท (กำหนด 6-10 บท)

 

(13.สุภาวดี) ลมปาก

ส่ง 21 มิถุนายน 2551  (ทางอีเมล์)

 

๏ ลมเย็นเย็นเคลื่อนคล้อย            ลมบาง
แผ้วผ่านร่างเรือนบาง                  ผิแผ้ว
ผ่านผิวแผ่นหน้านาง                  นวลน้อง
ลมลิ่วโลดแล่นแล้ว                     แล่นล้อชลธาร


๏ลมเย็นเย็นเคลื่อนคล้อย             ลมบาง
ผิแข่งแต่งลมบาง-                       อย่างได้
ลมพัดฟั่นเนื้อนาง                      อากาศ
ลมว่างพัดผ่านใกล้                      ไป่ช้ำลมใด


๏ ลมเย็นเย็นเคลื่อนคล้อย            ลมบาง
เจ็บสุดเจ็บมิลาง                        ส่างได้
ลมปากหากยินนาง                      สุดเจ็บ
ใช่ว่าเย็นลมไซร้                           หน่ายล้ำคำคน


๏ ลมเย็นเย็นเคลื่อนคล้อย            ลมบาง
ใจชุ่มอุ้มใจนาง                           ว่างไว้
ลมปากหากไร้จาง                      หวานฉ่ำ
ยิ่งกว่าเย็นลมไซร้                        ซาบซึ้งเหลือหลายฯ

...............................................

 

หมายเหตุคณะทำงานฯ : ผิดกติกา ส่ง 4 บท (กำหนด 6-10 บท)

 

(14. พิมบงกช) ลมปาก

ส่ง 21 มิถุนายน 2551 ทางอีเมล์ และ 22 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ มีเย็นมีเร่าร้อน                          ถาโถม

มีอ่อนมีอวลโลม                          ซอกไซ้

อาจพัดพาดครืนโครม                  ครามลั่น นาแม่

หรือหวีดหวามลามไล้                  ลูบเนื้อวาบฝัน

 

๏ คือลมอันเกิดพร้อม                   จักรวาล

ดาลดับตะวันฉาน                       แดดกั้น

เพียงพาเมฆคืบคลาน                  ลอยเลื่อน บังเอย

อัดเมฆหนาเบียดชั้น                    กลั่นได้หยาดฝน

 

๏ ดังคำคนพูดล้วน                      คือลม

มีกลิ่นปากประสม                       แทรกบ้าง

บางคำบาดโสตตรม                    จิตเศร้า หมองแฮ

บางบทเสริมสุขสร้าง                   ส่งให้ใจฟู

 

๏ ฟัง ดู ชิม จับ รู้                         สึกตาม

หูคั่นหัวมิถาม                             โง่ใบ้

ปิดโสตหนึ่งจึงงาม                      สติมั่น

หูกลั่นกรองลมไว้                        แค่เสี้ยวพอความ

 

๏ ลามปามลมปากล้วน                ลือไป

ลอกเปลือกเลือกคำไข                  กระพี้

จนเหลือแก่นเก็จใน                     จึงเชื่อ นาพ่อ

ดีชั่วลมปากชี้                              อย่าเต้นตามลม

 

๏ ลมปากดีช่วยค้ำ                       ความดี

ลมปากปราชญ์เป็นศรี                  ส่องหล้า

เชิญเถิดเปล่งพจนีย์                     ดีต่อ กันเทอญ

ลมปากเย็นถึงฟ้า                        ดับร้อนถึงสวรรค์ฯ

...............................................

 

(15. สมศักดิ์) ...วัยเยาว์ : ปู่และข้า กับบทสนทนาข้างกองไฟ....

ส่ง 22 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ ดาวพรายพราวพร่างฟ้า เรืองราง

หนาวเสน่ห์เรไรพลาง                   กล่อมเกื้อ

กองไฟหนึ่งก่อกลาง                     กาลเก่า

ผิงฝุ่นไฟอุ่นเนื้อ                          ปู่พร้องพรรณา ฯ

 

-ข้า-

๏ เคยว่าถามเถื่อนด้าว                  แดนไกล

“ยินข่าวจริงหรือใน                  ถิ่นกว้าง

เขาว่าห่างผืนไพร                   แดนป่า

สาดแต่คำกล่าวอ้าง                ถากถ้อยเสียดสี ฯ

 

๏ มีที่ถมถากสร้าง                   สอพลอ

หวังที่ดีด้วยยอ                      กล่าวกล้า

อีกหนึ่งที่ปากคอ                     เสริมส่ง

ลับเล่ห์ลมปากท้า                   เร่งร้ายเกินการ ฯ”

 

-ปู่-

“วารนี้ปู่เล่าแล้ว                   หลานเอย

กระจิริดใหนเลย                     เร่งรู้

โวหารหนึ่งนั้นเปรย                  ปวงดาบ

มาแต่อัตตาสู้                       ส่องรู้โดยตน ฯ

 

๏ คำคนนั้นยิ่งแม้น                 คำกา*

อันป่าวทั่วอาณา                     ร่ำร้อง

เช้าโผผ่านพารา                     แดนถิ่น

ร้องว่ากากาก้อง                     บ่สู้ถากถาง ฯ

   

๏ ลางว่าใดดื่มได้                   โดยหมาย

มวลชื่นฉาบเช้าสาย                เสกสร้าง

เสมอทิพย์ท่วงเพทาย               วจีแจ่ม

จรัสรื่นลมปากสล้าง                ไป่รู้มลายหาย ฯ          

 

๏ สายเสน่ห์สูญเสื่อมสิ้น           เสน่ห์ใด

ท่านว่าตัดบัวใย-                    บ่สะบั้น

หากเหห่างเหินใน                   วจีเสื่อม

แม้มีดมิหั่นซ้ำ                       ห่อนรั้งใยใด ฯ

 

๏ ไปลิ่วเหินแห่งฟ้า                  ฟากสวรรค์

จวบจรดบาดาลผัน                  แผ่นหล้า

โลกล้วนอัตตาปัน                   ปรุงแต่ง

จักเลิศหรือต่ำช้า                    ก่อด้วยโวหาร ฯ”

 

๏ หลานนั่งตาปริบซ้ำ                   งวยงง

ข้าอยู่แต่แดนดง                          ไปรู้

คำที่ปู่บรรจง                               เพียรเล่า

ซับแต่คำดีสู้                               ดั่งน้ำค้างงาม ฯ

 

๏ ครั้นยามอรุณรุ่งร้าง                  กองไฟ

กาลกลับผ่านเยาว์วัย                   เปลี่ยนพร้อม

แม้มิซ่านซับใน                            คำปู่

สู้แต่นำเก็บน้อม                          นอบไว้รอเฉลย ฯ

 

*คำคนยาวกว่าคำกา : คำกล่าวปราชญ์โบราณอีสานมาจากการที่กาบินเหนือหมู่บ้านร้องกากายามรุ่งอรุณก่อนออกหากิน, แต่คำนินทาว่า ดี-ร้ายนั้นยินไกลกว่าคำกาเสียด้วยซ้ำ

...............................................

 

(16. อมฤต) ลมปาก

ส่ง 23 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ พูดดีก็อาจสร้าง                       มวลมิตร

พูดสิ่งที่ผิดจิต                            ขุ่นข้อง

พูดโดยไม่ได้คิด                          ก่อบาป

พูดถูกจิตถูกต้อง                         มิแย้งหลักธรรม

 

๏ พจีดั่งอำมฤตพร้อม                  ชโลมใจ

พจีดั่งอสรพิษใน                         แหล่งหล้า

พจีดั่งกระบือไพร                         บ่กลับ คืนมา

พจีดั่งทวนเหล็กกล้า                    อาจสู้ดัสกร

 

๏ พูดดีสอนจิตให้                        ทำดี

โอ้อวดจิตราคี                             ชอกช้ำ

ขวานผ่าซากมากมี                      ในที่ ชุมชน

ชนสดับโกรธเกลียดซ้ำ                 ยิ่งย้ำความพาล

 

๏ งานการคนอื่นหน้า                   สนใจ

จึงชอบพูดเรื่อยไป                       สนุกล้ำ

เพ้อเจ้อมากเท่าไร                       ยิ่งปด

เปี่ยมบาปคนฟังห้ำ                    หั่นเนื้อเพราะเคือง

 

๏ ลมปากมีเรื่องร้าย                     และดี

สุดแต่ปัญญามี                           กล่าวอ้าง

ถือสากปากย่ำยี                          ข่มท่าน

พูดหยาบส่อเสียดสร้าง               ชั่วช้าเพิ่มพูน

 

๏ สูญหรือเพิ่มทรัพย์ได้                 เพราะปาก

ชีวิตมีจนยาก                              เพราะถ้อย

โป้ปดมดเท็จมาก                        ไป่น่า วางใจ

ชีวิตจักต่ำต้อย                            ทับถ้วนพันทวี

 

 ๏ คำพูดดีบ่งชี้                          ปรีชญาณ

คำพูดมีแก่นสาร                         แน่นแฟ้น

ย่อมมีค่ายืนนาน                         ควรแก่ การจำ

ช่วยประสานใจแม้น                    อยู่ใกล้ไกลกัน

 

๏ ตรึกตรองทันถี่ถ้วน                    ควรการ

จึงค่อยมีบรรหาร                         กล่าวพร้อง

วจีบอกความชาญ                       เฉลียวฉลาด

วจีงดงามสอดคล้อง                    กับฟ้าดินสมัย

 

๏ ในสุภาษิตล้วน                        ควรจำ

ใช่กล่าวเป็นแต่คำ                       เลาะร้าย

คิดก่อนจึ่งค่อยนำ                       ปากพูด

ประโยชน์ในตอนท้าย                   ตกให้คนฟัง

 

๏ ระวังบาปเหล่านี้                       ในกมล

เพราะจิตสร้างยุบล                     จับคว้า

ปะติดปะต่อจน                           ลืมคิด ถ้วนถี่

จนจิตเหนื่อยเมื่อยล้า                   ที่ด้อยจะแสดงฯ

...............................................

 

(17. ลักษณ์) ลมปาก
ส่ง 23 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์) และ 30 มิถุนายน 2551 (ทางเว็บบอร์ด)

 

๏ ปลงไปทั่วท้องทุ่ง                      บ้านเมือง
มากมุ่งความขุ่นเคือง                   มอบไว้
ปากหนึ่งพูดเนืองเนือง                 พร่ำบ่น
ลมปากพ่นสิ้นไร้                          ค่าด้อยต่ำความ


๏ ตามยศลาภหาบไว้                   ลือนาม
มาหมดม้วยด้วยความ                 หยาบช้า
สนทนาประสาตาม                     ใจด่า
สบถขว้างหอกท้า                        จาบจ้วงประจานตัว


๏ กลัวแล้วดวงเนตรน้อง               ของใจ
คงจบสิ้นเยื่อใย                           หยุดยั้ง
ปากพี่พูดออกไป                         ไกลจาก
ลมปากเจ้าเพียงครั้ง                    ดับดิ้นสิ้นครา


๏ ลาแล้วดวงนิ่มน้อง                   ผองใจ
มากมั่นความห่วงใย                    เหนี่ยวรั้ง
ปากพี่พูดออกไป                         ไกลเปล่า
ลมปากเจ้าเพียงพลั้ง                   ฝากเฝ้าฝังจำ


๏ คำพระธรรมสุขล้ำ                    อื่นใด
มากชื่นความสุขใจ                      ใฝ่เฝ้า
เปรียบประหนึ่งข้ามไป                  หมายฝั่ง
สวดท่องฟังค่ำเช้า                       ไต่เต้าถึงธรรม

 

๏ คำพระนำสุขล้ำ                       ฉ่ำทรวง
มากซึ่งความด่ำดวง                     จิตแล้
อันคำรักมักลวง                          ทวงสุข
จริงดั่งทุกสิ่งแท้                          ตรัสด้วยพุทธองค์ฯ

...............................................

 

(18. นขวิภา) ลมปาก

ส่ง 25 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ หายใจเต็มปอดอั้น                    อกขยาย
เป่าสุดแรงบ่ระคาย                      บาดเนื้อ
ไร้ศัพท์สื่อความหมาย                  กระทบโสต
ลมปากออกปากเอื้อ                     โฉดร้ายได้ไฉน


๏ ลูกรักในโลกล้อม                      กระแสลม
เลียนแบบสื่อสั่งสม                     สิ่งร้าย
ฟังจิตชั่วกรีดคม                          คำพูด
แสนบริสุทธิ์สุดท้าย                     ปากส้วมปากเสีย


๏ ลมลิ้นเลียตวัดร้อย                   มารยา
เริ่มจากอ่าน ก กา                        แต่กี้
คำพระมินำพา                            พึงสดับ
ฟังหยาบจึงหยาบชี้                      จิตคล้ายคำขาน


๏ ลมหวานลมเฝื่อนสร้าง              สรรพรส
ถอดรหัสคำกำหนด                     มนุษย์ได้
สุขทุกข์แสบรันทด                       เถื่อนพล่อย
สุดแต่การเลือกใช้                       เลือกเฟ้นรับฟัง


๏ ลมใดยังโสตผู้                         สมองกลวง
ย่อมผ่านตลอดทะลุทะลวง          ปากกั้น
ลมใดผ่านหูปวง                          นักปราชญ์
จึงเปลี่ยนโดยปากปั้น                   สู่ถ้อยประทับใจ


๏ ผ้าขาวในโลกป้าย                     เทาดำ
สอนสดับซึ่งเสียงธรรม                 เทศน์บ้าง
ปล่อยมารสะสมคำ                     คลอนสติ
ลมปากแผดพินาศล้าง-               โลกได้ดังเห็นฯ

...............................................

 

19. ก.ไกรศิรกานท์) ลมปาก

ส่ง 26 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)


๑.จวบแจ้งจึงเจื่อยแจ้ว                เจรจา

รีบตื่นเถิดนายขา                        รุ่งแล้ว

เป็นหน้าที่เจ้าระกา                      ก.ไก่

นอนนิ่งแนบคอนแก้ว                   จ่งรู้นายเคือง

 

๒.กาเหว่าชุบปีกย้อม                   กายา

ข้าใช่โกกิลา                                ค่าด้อย

เป็นหงส์กลุ่มโกญจา                    ลงเล่น ธารเฮย

สอดซ่อนตามติดต้อย                  ปากร้อง“กากา”

 

๓.ปลาหมอแหวกว่ายน้ำ              ตรงมา

หนอนหนึ่งร่วงธารา                     เร่งเร้า

รุดรีบรี่แล่นหา                             ตรองห่อน มีเฮย

ปากเกี่ยวบ่วงเบ็ดเข้า                   จึ่งรู้คราวตาย

 

๔.หวีดหวิวหวานแว่วแหว้ว           คีตา

ผิวแผ่วเพียงวาทยา                     ท่านไท้

วาตวาทดั่งภักษา-                       หารนั่น

รสชาติชวนฉาบไส้                       เช่นนั้นคนชม

 

๕. ปากเอกอันเลขนั้น                   เป็นโท

ปากพล่อยพล่ามยโส                   ใส่ไคล้

ปากชั่วเร่งโมโห                           เคืองโกรธ กันนา

ปากเปล่งเปิดเป็นได้                    แต่ร้ายกับดี

 

๖.พูดดีมีพี่น้อง                           เมตตา

พูดชั่วเสื่อมราคา                         แน่ไซร้

พูดเก่งเร่งยศถา                          เรืองรุ่ง เจริญแล

พูดกร่างก็รอไว้                            สุดท้าย...ตรองดู!

...............................................

 

(20. นายประสงค์)  ฤทธิ์ลมปาก

ส่ง 27 มิถุนายน 2551 (ทางอีเมล์)

 

๏ ชายโฉดนายหนึ่งอ้าง                อวดตน

เรืองเดชมีเวทมนต์                       แก่กล้า

ลวงหลอกประชาชน                    หลงเชื่อ

คิดว่าท่านหยั่งฟ้า                        อาจรู้ล่วงดิน

 

๏ ลมปากลวงหลอกใช้                 หากิน

คนโง่นำทรัพย์สิน                        มอบให้

หลงเชื่อว่าพระอินทร์                   ทรงร่าง   ท่านเฮย

ไหลหลั่งมากราบไหว้                   มากพ้นคณนา

 

๏ มาณพหนึ่งมากรู้                      ตำรา

จบจากตักสิลา                            เลิศแล้ว

คืนกลับสู่เคหา                            ที่อยู่

เพื่อกราบพ่อแม่แก้ว                     อยู่บ้านเรือนตน

 

๏ เดินทางผ่านหมู่บ้าน                 ตามหน  ทางนา

พบแหล่งชายทรชน                     ชั่วช้า

สำนักหลอกลวงคน                     หลงผิด

คนมากมายดังบ้า                        เชื่อด้วยงมงาย

 

๏ สังเกตเห็นเหตุแล้ว                   นึกอาย

จึงกล่าวประจานชาย                   แก่นั้น

แกใช้แต่อุบาย                            ลวงหลอก

อย่าเชื่อแกชนชั้น                        ชั่วช้าเลวทราม

 

๏ มวลชนคนแห่ห้อม                    เห็นการณ์

เฮ้ยเด็กแต่เมื่อวาน                       ปากกล้า

บังอาจด่าอาจารย์                       ลบหลู่  ท่านนา                                       

รุมต่อยตีจนล้า                            รีบลี้หนีหาย

 

๏ หนุ่มน้อยเจ็บเกือบม้วย              วางวาย

หลบหลีกรักษากาย                     ซ่อนเร้น

ความเจ็บทุเลาคลาย                   หายป่วย

ใจเจ็บไม่วายเว้น                         เคียดแค้นชายชรา

 

๏ กลับหาครูเก่าผู้                        สอนมา

เล่าเรื่องเคืองอุรา                        แต่ต้น

ครูสอนว่าปัญญา                        มีอยู่

รู้จักใช้จึงพ้น                               เหตุร้ายต่อตน

 

๏ มาณพเดินกลับบ้าน                 อีกหน

เมื่อผ่านเรือนทรชน                      อีกครั้ง

กราบขอหนวดเคราขน                 ของท่าน

ศักดิ์สิทธิ์คุ้มภัยทั้ง                      โรคร้ายนานา

 

๏ ปวงชนแตกตื่นด้วย                   วาจา

แก่งแย่งทึ้งชายชรา                      ป่นปี้

ดึงเคราหนวดเกศา                      สูญหมด

ทุกข์ยากลมปากชี้                        ช่องให้กรรมทัน 

...............................................




โคลงสี่สุภาพ 2551

โคลงสี่สุภาพ “ทางออก” สิงหาคม 2551 สำนวนที่ 21-37
โคลงสี่สุภาพ “ทางออก” สิงหาคม 2551 สำนวนที่ 1-20
โคลงสี่สุภาพ “เมืองหุ่น” กรกฎาคม 2551 สำนวนที่ 21-32
โคลงสี่สุภาพ “เมืองหุ่น” กรกฎาคม 2551 สำนวนที่ 1-20
โคลงสี่สุภาพ “ลมปาก” มิถุนายน 2551 สำนวนที่ 41-49 article
โคลงสี่สุภาพ “ลมปาก” มิถุนายน 2551 สำนวนที่ 21-40 article



bulletผลร้อยกรองออนไลน์ 2558
dot
ประกวดร้อยกรองออนไลน์ครั้งที่ 7
dot
bulletข้อมูลการประกวดครั้งที่ 7, 2557
bulletผังร้อยกรอง
bulletอ่านโคลงประกวด 2557
bulletอ่านกลอนประกวด 2557
bulletอ่านกาพย์ยานีประกวด 2557
bulletผลการประกวดร้อยกรอง ปี 2557
dot
ข่าวสาร ข้อมูลสมาคม
dot
bulletกรรมการสมาคมสมัยที่ ๑๕-๑๖
bulletนายกสมาคมสมัยที่ ๑๗
bulletติดต่อนายกสมาคมนักกลอน
bulletติดต่อฝ่ายดูแลส่วนต่างๆ
bulletสมัครสมาชิกสมาคมนักกลอน
bulletนักกลอนตัวอย่าง ๒๕๕๓
dot
หัวข้อน่าสนใจ
dot
bulletรวมลิ้งค์เว็บไซต์น่าสนใจ
bulletส่งบทสักวา น.ส.พ. สยามรัฐ
bulletวารสารวิทยาจารย์ รับต้นฉบับ
bulletส่งข้อเขียนครูในดวงใจ
dot
แนะนำหนังสือ
dot
bulletหน้ารวมหนังสือ
bulletคู่มือเรียนเขียนกลอน
bulletกาสรคำฉันท์ - สมคิด สิงสง
bulletหนังสือสุรินทร์สโมสร
bulletฝากโลกนี้ไว้ในหัวใจเธอ - กอนกูย
bulletเลือน - อติภพ
bulletธาร ธรรมโฆษณ์
bulletนายทิวา
bulletกลอนเกียรติยศ
bulletอ้อมกอดแห่งท้องทุ่ง
bulletทองแถม นาถจำนง
bulletพงศาวดารพิภพ
bulletโป๊ยเซียน คะนองฤทธิ์
dot
โครงการประกวดต่างๆ
dot
bulletนายอินทร์อะวอร์ด ๒๕๕๖
bulletประกวดรางวัลซีไรท์ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลพานแว่นฟ้า ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลวรรณกรรมรามคำแหง ๒๕๕๖
dot
ผลตัดสินรางวัลต่างๆ
dot
bulletรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletผลรางวัลซีไรต์ ๒๕๕๗
bulletผลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ๒๕๕๗
bulletผลรางวัลแว่นแก้ว ๗ (๒๕๕๓)
bulletผลกลอนวิถีคนกับควาย
bulletผลร้อยกรอง “ผมจะเป็นคนดี”
bulletรางวัลนราธิป ๒๕๕๓
bulletนักเขียนอมตะ คนที่ ๖ (๒๕๕๕)
bulletนักเขียนรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletศิลปินมรดกอีสาน ๒๕๕๔
bulletผลรางวัลพานแว่นฟ้า ๒๕๕๕
bulletผลรางวัลรามคำแหง ๒๕๕๖
bulletศิลปินแห่งชาติ ๒๕๕๕
bulletผลประกวดหนังสือ ชีวิตใหม่ 2
dot
ข่าวคราวของลมหายใจ
dot
dot
Weblink
dot
bulletอ่านกลอนประกวด 2556

หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก
สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาภาษาไทย มศว
เว็บรวมกระทู้ อาศรมชาวโคลง ใน pantip.com
หนังสืออีศาน


Copyright © 2010 All Rights Reserved.
ติดต่อ นายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ทองแถม นาถจำนง
โทรศัพท์ ๐๘๙-๑๒๓๔๗๕๔ อีเมล์ tongtham.n@hotmail.com

สำนักพิมพ์แม่โพสพ