ReadyPlanet.com
dot dot
ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป (โคลงสี่สุภาพ) : หัวข้อ “สุริยคราส”

ผลงานประกวดร้อยกรองออนไลน์ฯ ประจำปี 2552

เดือนสิงหาคม (16 สิงหาคม – 15 กันยายน 2552)

 

 

ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป (โคลงสี่สุภาพ) : หัวข้อ “สุริยคราส”

(รวม 28 ชิ้น ผิดกติกาส่งเกินกำหนดเวลา 1 ชิ้น)

 

(1.วลิน)

สุริยคราส

๏ ดวงจันทร์หมุนผ่านใกล้             ไม่ไกล โลกเรา

มองผ่านเห็นเป็นเงา                    เร่าร้อน

มืดมิดเมื่อมองดู                          หดหู่ ในใจ

เป็นหนึ่งด้านเองไซร้                     ไม่ร้ายดังมอง

ทุกคนคอยแต่จ้อง                    มองดู ตะวัน

กลัวผ่านเลยข้ามวัน                     ผ่านพ้น

ตีเคาะเพื่อให้ดัง                          ใจสั่ง ปกป้อง

ทิศทั่วต่างขับร้อง                        เพื่อป้องอาทิตย์

หลายคนต่างใคร่รู้                    อยากดู เด่นชัด

มองไม่เห็นแสงจัด                       เด่นฟ้า

โลกเราเปล่าเปลี่ยวนัก                  เหงากว่า ควรเป็น

จริงสิ่งที่เกิดขึ้น                           ที่แท้ธรรมดา

พอความมืดเคลื่อนพ้น              กลับเห็น แสงทอง

เหมือนผ่านยังครรลอง                 ต่อสู้

กัดฟันเพื่ออดทน             จนผ่าน โพยภัย

เหมือนดั่งสุริยคราสไซร้                จากร้ายกลายดี

 ๏ เอากลับมาเพื่อใช้                    สอนใจ ให้นาน 

ทุกสิ่งมีสองด้าน                         ต่างรู้

ควรทำแต่ด้านดี                          เหมือนดั่ง นักปราชญ์

หลีกเลี่ยงในสิ่งร้าย                      เพื่อให้ดำรง

 ๏ ชีวิตคนต่างสั้น                        นับวัน ใกล้ตาย

ควรเร่งทำดีไว้                             อย่าท้อ

ถึงผลที่ตอบแทน             นานเนิ่น เกินรอ

ขอแค่เราไม่ท้อ                            สิ่งนี้สำคัญฯ

............................(1.วลิน)..........................

 

 (2.ปสุตา)

“สุริยคราส”

โหราศาสตร์ว่าไว้                      ชวนคิด

หากเมื่อดวงจันทร์ชิด                   อยู่ใกล้

คืบคลานเคลื่อนอาทิตย์               ริบรี่  แสงนา

เป็นบ่อเกิดเหตุให้                        ลุ่มร้อนชาติผอง

ใครมองใครเพ่งจ้อง                  ระวัง

ดวงไป่ดีอาจพัง                           พ่ายแพ้

ชาวไทยพึ่งใบบัง                         บุญพ่อ หลวงเฮย

ปรับเปลี่ยนเป็นสุขแท้                  ชุ่มชื้นมลายหาย

๏ กลับกลายเป็นสิ่งต้อง               โยงใย

มีเรื่องเกิดคราวใด                       พุ่งเป้า

เดือนดาวเปลี่ยนหมุนไป               บอกบ่ง  เหตุนา

สุริยคราสเจ้า                              เอ่ยอ้างผลสนอง

๏ ลืมมองลืมมุ่งเน้น                     ตนเอง

กรรมย่อมพาบรรเลง                    เช่นนี้

ทำดีอย่ากลัวเกรง                        ในสิ่ง ใดนา

ผลแห่งกรรมดีชี้                          ผ่านพ้นขวากหนาม

ในยามทุกข์เอ่อล้น                    พรรณนา

จงอย่าจมชะตา                          เยี่ยงนั้น

ยืนหยัดมั่นศรัทธา                       บากบั่น นาเฮย

มีสิ่งใดกางกั้น                            ต่อสู้ดับสลาย

๏ มากมายเวียนว่ายล้วน               ตายเกิด

จงอย่าคิดเตลิด                          ลุ่มร้อน

โลกยังอยู่ชูเชิด                            เกิดก่อ ดับนา

ผันผ่านมายอกย้อน                     อย่าได้หลงใหลฯ

..........................(2.ปสุตา)..............................

 

(3.สุรมนตรี)

ดูสุริยุปราคาที่นครพนม

๏ ยามเช้าเธอเฝ้าอยู่                     กลางสนาม

เพื่อส่องจันทร์ติดตาม                  บาทเบื้อง

จันทร์ก้าวย่างงดงาม                   บังบด  สูรย์แฮ

นานตราบนานจักเยื้อง                 ยาตรแม้นมาเห็น

๏ เอ็นดูเด็กน้อยนั่น                      รอแหงน

ฟ้าบ่เป็นใจแสน                          โศกเศร้า

จันทร์เอยกรีดกรายแขน                ขงขอบ  นั่นฤๅ

ยังเมฆฝนปิดเป้า             ยากแล้แลดู

๏ แต่หนูน้อยห่อนท้อ                    แลหา

แม้นว่าจักศึกษา                          ยากไซร้

ฟ้าลิขิตวิทยา                              ศาสตร์โลก

หรือจักรวาลบอกให้                     เรื่องรู้ปรัชญา

๏ คนตามฟ้ารอบรู้                       บทจร

กว้างใหญ่มีขั้นตอน                     ติดเต้า

สืบทอดต่อกันสอน                      เรียนร่ำ

ทุกสิ่งมีต้นเหง้า                          ต่อท้ายปลายเสมอ

๏ ชวนเธอดูฟากฟ้า                      ยามเหงา

ยามสุขโศกซึมเซา                       ไป่เว้น

ยามรักหากโง่เขลา                       ฟ้าโอบ  อุ้มแฮ

ชีพว่างอย่าโลดเต้น                     หากฟ้าเป็นพยาน

๏ อนาคตกาลไกลโพ้น                 กัปกัลป์

ฟ้าจักเป็นบ้านอัน                        อุ่นเอื้อ

ด้วยโลกอาจแปรผัน                     แตกดับ

แต่มนุษย์สืบเผ่าเชื้อ                    ไป่สิ้นนิรันดร

..........................(3.สุรมนตรี)........................

 

(4.โอบอ้อม)

สุริยคราส-สุริยฆาต

๏ สุริเยนทร์ยามยาตรเยื้อง            เยี่ยมแสง

จันทร์มิอาจสำแดง                      เด่นได้

ฤากฎซ่อนซ้อนแฝง                      ฝากคติ  ใดฤา

กฎเมื่อแหกกฎให้                        เกิดข้อยกเว้น

๏ เย็นเย็นเมือนฟากฟ้า                 ย่ำค่ำ

มืดดั่งคลุมม่านดำ                       ครอบฟ้า

มวลวิหคถูกอำ                            บินกลับ  รังเฮย

ปีกกระหยับมิทันล้า                     แดดจ้าจรัสฉาย

๏ เดือนเดียวดายนิดน้อย              หนึ่งแสง

มุมเคลื่อนองศาแสดง                  สดุดหล้า

วงแหวนเลื่อมวาวแวง                  รุ้งรัศ-มีเอย

สุริยคราสเคลื่อนจันทร์ท้า             เทียบสู้ทับศูนย์

คนคูณคาดอาจเย้ย                  ไยไพ

น้อยหนึ่งนี้ไฉน                            คิดสู้

จักรวาลสุดวิสัย                          มนุษย์โลก

ใครต่ำใต้ควรรู้                            ว่าไร้วาสนา

บรรดาปราชญ์อาจพลั้ง             พลาดผิด

ใครคาดเดือนพิชิต                      ตะวันได้

ถึงคราวฆาตอาทิตย์                    จันทร์ทาบ

สุริยคราสคลับคล้าย                    ดับสิ้นแสงนภางค์

๏ กฎมิอาจอวดอ้าง                      อันใด

หากมนุษย์มีใจ                           ฮึกสู้

แม้นานเนิ่นเพียงใด                     วันหนึ่ง

แล้วโลกจักได้รู้                            โลกไร้เกณฑ์ชะตาฯ

..........................(4.โอบอ้อม)................................

 

(5.สรวิชญ์)

สุริยคราส

๏ สุริยคราสดับด้วย                     ดวงจันทร์  กระนั้นฤๅ

จันทร์ย่อมกว่าดวงตะวัน              มากแท้

อย่าทนงว่าตัวฉัน                        ยิ่งใหญ่

อาจพลาดพลั้งพ่ายแพ้                ดับคล้ายสุริยา

๏ สุริยคราสเกิดแค่เสี้ยว               นาที  เองนอ

นกกระจิบจิบวารี             แค่ครั้ง

ยามทุกข์อย่าหน่ายหนี                 หน่ายโลก

เมื่อคราสเกิดจิตบ่รั้ง                    ผ่านพ้นทุกข์หาย

๏ สุริยคราสดำมืดฟ้า                   มัวดิน

ฝูงนกโบกโบยบิน                        กลับบ้าน

พอสว่างต่างผกผิน                      ตื่นตระหนก

ครองสติคิดรอบด้าน                    อย่าแม้นสกุณา

๏ สุริยคราสก่อเกิดบ้าง                 บางสถาน

ธรรมชาติอาจเกิดปาน                  เลือกเฟ้น

เป็นข้ารับราชการ             ต้องยุติ- ธรรมนา

ไม่เลือกรับเลือกเว้น                     เลือกให้เลือกทำ

๏ สุริยคราสก่อเกิดได้                   ธรรมดา  นักเวย

บ่ใช่ราหูมา                                 ครอบอ้า

เป็นมนุษย์พึ่งปัญญา                   ครวญใคร่

ตั้งสติอย่าบ่นบ้า                         บ่นใบ้ตามกระแส

๏ สุริยคราสเคลื่อนคล้อย              ครอบงำ

ฟ้าสว่างอาจมืดดำ                      หม่นบ้าง

เป็นคนมั่นในธรรม                       ศีลสัตย์

อย่าปล่อยกิเลสอ้าง                     ครอบให้ธรรมสลายฯ

............................(5.สรวิชญ์)...................................

(6.ส.ธันวันตรี)

อหังการ์ดับตะวัน

๏ ธุลีลอยฟ่องฟุ้ง                        เฟือนนภา

เกิดจักรวาลมหิมา                       กว่ากว้าง

เทหวัตถุเวหา                              น้อยใหญ่                    

ต่างเคลื่อนเคลื่อนเคว้งคว้าง         ว่ายเวิ้งเวหน

๏ สุริยนตำแหน่งนั้น                     ศูนย์กลาง

โดดเด่นดาวสรรพางค์                  พร่างพร้อย

บริวารหลากทิศทาง                     ยอมสยบ

รายรอบโคจรคล้อย                      เคลื่อนคล้ายสร้อยสรวง

๏ โชติช่วงฉายฉาบฟ้า                  แสงสูรย์

สาดส่องเกินอาดูร                       ก่อเกื้อ

อ้างข้าฯฤทธิ์เพิ่มพูน                    พฤทธิ์เดช

ใช่เศษอัคคีเชื้อ                           ต่ำเตี้ยเดียรฉาน

๏ เพลิงเผาผลาญแผดร้าย            ราวอธรรม์

ร้อนระอุจากสุริยัน                       ยากต้าน

ยิ่งเนายิ่งอนันต์                           นำพิบัติ สู่นอ  

เดือนด่าวดาวสะท้าน                   สะทกทั้งดาวดึงส์

๏ จึ่งยิ่งโชนแผดจ้า                      ราวี

อ้างครอบครองทุกธุลี                   รอบเว้ย

อวดตนเลิศฤทธี                          เหนือสรรพ สิ่งเนอ

เยี่ยงเกิดกลียุคเย้ย                       ยั่วเย้าโลกา

๏ ช้าก่อนรพิผู้                             อหังการ

ไยย่ำบุกรุกราน               ระหล้า

เราหากแข่งแสงหาญ                   ห่อนเทียบ ท่านเฮย

ด้วยศรัทธาแกร่งกล้า                   ระอุร้ายฤๅกลัว

๏ เบียดตัวบังทับซ้อน                   แสงระวี

ข้าฯศศิพร้อมยอมพลี                   พละสู้

รังสิมันตุ์ส่องรัศมี                        เพลาแผ่ว

พสุธารับรู้                                              รอบฟ้าร่มเย็น

๏ เดือนเพ็ญยืนหยัดด้วย              ปณิธาน

ซ้อนซ่อนศูรสามานย์                    หมดแล้ว

เบิกฟ้านภาพาน                          ผืนใหม่

ผุดรพีผ่องแผ้ว                            เพริศแพร้วคุณากร

๏ นาครเจ้าเขตแคว้น                   ปกครอง

อำนาจมืดพาหมอง                     พินาศสิ้น

นรชาติมิเมินมอง                         ผิดถูก

ใจต่ำจำดับดิ้น                            วอดสิ้นทุรชน

๏ เกิดสกนธ์ก็ดับได้                      ธรรมดา

โลกนาถแจงสัจจา                       เที่ยงแท้

สรรพสิ่งเมื่อเวียนมา                    ย่อมผ่าน พ้นแฮ

คงแต่ดีร้ายแล้                            เวี่ยไว้นิรันดร์สมัยฯ

..........................(6.ส.ธันวันตรี)..............................

 

(7.ดอน 11537)

สุริยคราส

๏ สุริโยนั่นไซร้                             องอาจ

ฤาบ่มีวันคลาด                           แน่แล้ว

สาดแสงส่องทั่วราษฎร์                บ่เหนื่อย  หยุดแล

บ่ใคร่ใฝ่หยุดแคล้ว                      ว่างเว้นอับแสง

 ๏ จันทรานั้นใช่น้อย                    กำลัง 

เพียงซ่อนหลบข้างหลัง                นิ่งไว้

รอวันหนึ่งบทบัง                          เจ้ารุ่ง นี้แฮ

บ่ช้าใคร่  รอไซร้                           เจิดจ้าหมดแรง

อาทิตย์อาบส่องฟ้า                   บ่หยุด

หากแต่รู้สิ้นสุด                           บ่ยั่น

หากเว้นแต่พลั้งพลุด                   หยุดข่ม  เดือนแล

ถูกบดบังเขตคั่น                          ข่มแจ้งดับพลัน

 ๏สุริยาสุดไซร้                             เศร้าจิต

ถูกข่มแสงเบือนบิด                      บ่ได้       

ออกแรงส่งแสงริด                       รอนต่อ จันทรา

ยังบ่อาจเพราะไร้                         หมดสิ้นเรี่ยวแรง

นภานั้นบ่แจ้ง                           ดังก่อน

เพราะไป่มีแสงห่อน                     ส่องฟ้า

ฤาวันหมดเรืองรอน                      บ่ใคร่ ใครรู้

หรือไม่แล้วส่องฟ้า                       พ่ายแพ้ดับสูญ

 ๏ พลันเวลาล่วงแล้ว                   ยามเศษ

แสงส่องแย้มข้ามเขต                   ขอบเสี้ยว

จันทราออกจากเนตร                    ยอมปล่อย  แล้วนา

ยอมผ่อนให้ส่องฟ้า                     แจ่มแจ้งดังเดิมฯ

.............................(7.ดอน 11537)......................

 

(8.“มณฑป”)

 “ราหูชน”

๑) อนันตจักร

๏ ดาวเดือนกล่นเกลื่อนทั้ง            จักรวาล

สรรพสิ่งสถิตนิรันดร์กาล              ซ่อนซ้อน

อเนกอนันต์แผ่ไพศาล                  ทุกทั่ว   ทิศเฮย

ไร้ขอบกำหนดย้อน                      สุดฟ้ามีไฉน

๏ ดาวใดแสงส่องเส้น                  ระยิบระยับ

ฤกษ์พลุ่งพลังวาววับ                   ทั่วฟ้า

ยังถึงแก่กาลดับ                          มลายหมด   แสงนอ

ซ้ำซ่อนหลุมดำท้า                       ส่องค้นฤๅเห็น

๏ เป็นปรากฏผ่านฟ้า                    แสนไกล

ยากยิ่งคนสนใจ                          หยั่งรู้

เล็กกระจ้อยร่อยเพียงใด               ธุลีฝุ่น

ดาวเด่นดาวดับสู้                        ส่วนเสี้ยวชีวี

 

๒) สุริยจักร

๏ สุรีย์ฉานโรจน์ร้อน                     สุริยจักร

อวยแผ่เป็นพลังหลัก                    แหล่งหล้า

ปุถุชนต่างตระหนัก                      ดังเทพ

สาดส่องแสงเจิดจ้า                     จากจ้าวปรมาณู

๏ ราหูดาวเด่นด้วย                       ชีวัน   เนานา

มีห่วงบริวารจันทร์                       หนึ่งล้อม

วนเวียนผ่านวงผัน                       แสงส่อง

จันทรคราสสุริยคราสพร้อม           ผลัดฟ้ามาเยือน

๏ เตือนมนุษย์ประจักษ์แจ้ง           สุริยา

กำเนิดแสงพลังมา                      ก่อเกื้อ

ถึงคราสบดบังตา                        มืดหม่น

เพียงครู่ยามกลับเชื้อ                    โชติย้ำยืนยง

 

 

๓) วัฏจักร

๏ ติดวงวัฏจักรล้อ                        หมุนวน

อเนกอัปมงคล                            สะดุดได้

เกิดดับอยู่จวบจน                        จบจักร-  วาลแฮ

เวียนว่ายกับกรรมไว้                     หลุดพ้นไฉนหนอ

๏ สุริยะยออยู่ยั้ง                          เพียงกาล

ตราบเมื่อจวบถึงวาร                    สุดเชื้อ

เงาคราสคู่ทนทาน                       ตามดับ   สูญเฮย

รวมก่อกำเนิดเกื้อ                        ต่อต้นทวนสมัย

๏ มนุษย์ใดจิตบ่มพร้อม                บำเพ็ญ

จนกิเลสจบประเด็น                     ขัดข้อง

ปัญญาเปิดแลเห็น                      อริยสัจ

วัฏจักรอนันตจักรพ้อง                  พ่ายแล้วลับสลายฯ

..........................(8.“มณฑป”)..............................

 

(9.ปริวัฒน์)

สุริยคราส

๏ ศศิธรบนฟากฟ้า                      บดบัง

สุริยะหมดกำลัง                          เคลื่อนคล้อย

แสงสว่างซึ่งมีหวัง                       เว้นส่อง

ตรงที่โลกส่วนน้อย                      นับได้แลเห็น

เช่นคนดีแห่งหล้า                     หลายคน

บางส่วนคำนวณในสกล               กู่ก้อง

แทนคนชั่วที่นุสนธิ์                      สร้างสืบ

รักษ์รัฐโดยเอ่ยป้อง                      แต่ฉ้อส่วนตัว

เท่าใบบัวปิดกั้น                        บังคช

ร่างที่ล้มมิหมด                      ทั่วได้

วันหนึ่งกลับปรากฏ                      เกิดเหตุ

คนชั่วซึ่งกล่าวไว้                         ว่างเว้นปกครอง

ผองชนผู้กอปรแล้ว                   กระทำดี

ประดุจจันทร์สรรค์รังสี                 ส่องด้าว

กลืนแสงแห่งรวี                          คือทุร-  ชนเอย

ก่อประเทศจรัสอะคร้าว                คลาดแคล้วโพยภัย

สุกใสสกาวเฉกชั้น                    เวหา

ดาวดึงส์ของอินทรา                     เทพไท้

ผู้ปราบหมู่อสุรา                          เรืองฤทธิ์  สิ้นแล

เทพพิภพสงบไร้              ทุกข์ร้อนราญตน

นี่คือนิพนธ์พจน์ถ้อย                 ร้อยแสดง

ปรากฏการณ์ขานแถลง                รับรู้

ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลง               มิเท่า  คนเฮย

มีจิตยากจะสู้                              สืบด้วยพิจารณ์

.......................(9.ปริวัฒน์)..................................

 

(10.”คิมสรณ์”)

สุริยคราส

๏ เบิกตาลืมค่อนเช้า                    ลืมตา

ตาตื่นจากนิทรา                          อ่อนล้า

เสีงแผดลั่นพรรณา                      เตือนตื่น

ออกย่ำเดินเบือนหน้า                   ผ่านฟ้าแลทมิฬ

ยืนหยุดยืนจดจ้อง                    ฝูงชน   

ตาเหลือบแลเห็นคน                    หล่อล้ำ

ราวสะกดโดยมนตร์                     แปรเปลี่ยน

ฝันใฝ่ใจเพลี่ยงพล้ำ                    ใช่แล้วคู่ครอง

๏ ยามกินกินอิ่มแปล้                    หมูปลา

ยามดื่มด่ำอุรา                            สดใส

ยามนอนผ่อนกายา                      หลับตื่น ฝันสบาย

ยามป่วยเจ็บนั้นไซร้                      ปกป้องเยียวยา

๏ กาลเวลาผ่านแล้ว                    เลยไป

ตัวห่างจากกันไกล                       เหว่ว้า

เจ้าไม่อยู่เคียงกาย                       เคียงไหล่ เหมือนเคย

สุดเจ็บแสนเจ็บข้า-                      ก่อให้ไปดี

๏ ดั่งแสงสุริยะส่องหน้า               บดบัง

แสงจากดวงจันทร์ยัง                   เคลื่อนคล้อย

นภาดับตรับฟัง                           เสียงโห่  ร้องแฮ

จันทร์เปลี่ยนงามยดย้อย              มืดฟ้ามัวดิน

๏ ชีวิตเราเท่านี้                            ยังมี

ลมต่อเราชีวี                               ไม่ไร้

ความรักเลื่อนลอยมา                   ลอยไป่  ลับแล

ราวดั่งสุริยคราสนั้นไซร้                ผ่านแล้วเลยไป

.......................(10.”คิมสรณ์”)..........................

 

(11.”คอนพูทน”)

ค่ำนี้..จะนอนไหน

๏ ลมโชยพัดแดดเช้า                    เสมือนเชิญ

เจรียงรุ่ง..เจิดจำเริญ                    จรัสเรื้อง

แสงแรกแหวกโขดเขิน                  เขาขอบ

ยาว ขยับ..ระยับเยื้อง                   ขยับเยื้องระยับยาว

หนาวจากน้ำค้างจับ                  คลายจาง

ลูกเพรียก หา..แม่พลาง               สั่นพร้อม

.. “เร็วซี ก่อนสายสาง”                 เสียงนั่น  สอนนอ

เรียกลูกริมรังล้อม                        ร่อนแล้วเริงถลา

๏ ตามองจดจ้องแม่                     เพลินมอง

กางปีกหลีกหลบผอง                   พุ่มไม้

อยากลอง..โบกบินลอง                โฉบเล่น

หวังว่าเหมือนวาดไว้                    สว่างเวิ้งเวียงสวรรค์

 ๏ สวรรค์พงดงพฤกษ์เพี้ยง           พาสนาน

เตาะแตะ..แวะทัก..ทาน               กระชับท้อง

แรกหัด...มิอาจหาญ                    บินห่าง

เพลงไผ่ไพรเพราะพร้อง               สดับพลิ้วฤดีพลอยฯ

 ๏ สราญรอยธรรมชาติเร้า             มโนรม

พิศพร่าง..พลางพิศพรม               พิศพริ้ม

เกาะซวน กิ่งเซ...สม                    ใจสั่ง

เรืองหยาดรอยแม่ยิ้ม                    อาบเยิ้มอุรายล

 ๏ สุริยนยังย่างย้าย                     โมงยาม

แสงส่องมองตามความ                เที่ยงฟ้า

ไกลโข..จากเขตคาม                    เคยอยู่

คราล่วงปีกขาล้า                         เมื่อยล้ามาหลาย

พรายสูรย์พลันสร่างสิ้น             พราวใส

มืดเรื่อ มองรำไร                          หมดร้อน

กลับหลัง..อยากหลับใหล             เรือนแหล่ง  เราแล

ยากนักจักคืนย้อน                       สู่เหย้ารังยังฯ

สังคีต..หรีดหริ่งเคล้า                ผสานคลอ

นอนนิ่ง”กอดแม่หนอ“                  นกน้อย

เคียงรอ..เพื่อคอยรอ                    อรุณอร่าม

สุริยคลาส..เคลื่อนคล้อย              เคลื่อนครั้นตะวันไสวฯ

..........................(11.”คอนพูทน”).............................

 

(12.ยอดชายนายบุญชอน)

สุริยคราส

๏ ตำนานเก่าก่อนนี้                      มีมา

จากเรื่องราวมุขปา-                      ฐะถ้อย

จึ่งบันทึกอักษรา                          ลายลักษณ์

เสริมส่งเรื่องเรียงร้อย                   ค่าล้ำอเนกอนันต์

๏ สารพันเรื่องเล่าไว้                     สุริยคราส

จารึกทั่วทุกชาติ                           ถี่ถ้วน

จึ่งยกเรื่องพุทธศาสน์                   มาเล่า  กันแฮ

เผยแผ่ธรรมาล้วน                       ส่งให้กุศลดี

๏ เศรษฐีนามหนึ่งนั้น                   หัสวิสัย

เลี้ยงดูบุตรสามดนัย                    รักล้ำ

จวบจนผ่านพ้นไป                       บุตรแกร่ง

ชีพจึ่งถึงคราช้ำ                           ดับสิ้นมรณา

๏ บุตราต่างโศกเศร้า                    มโนมาน

มนะทุกข์ใครไป่ปาน                    เปรียบได้

สิ้นพ่อไป่พบพาน                        พักตร์พ่อ

บุตรพ่างสิ้นสิ่งไซร้                       ถ่อค้ำโอฆชล

๏ วารวนวันครบสิ้น                      ปิตุรงค์

บุตรจึ่งนิมนต์พระสงฆ์                 ใส่ข้าว

สองบุตรแรกเจาะจง                    ขันใส่   ดีแฮ

บุตรเล็กเจ็บปวดร้าว                    คับแค้นในใจ

๏ พี่ใหญ่ได้จับคว้า                      ขันทอง

ตั้งจิตหากกุศลสนอง                   ชาติหน้า

ขอเป็นรวิเรืองรอง                        เจิดจรัส

แสงสว่างไสวเจิดจ้า                    ทั่วทั้งธราดล

๏ พี่คนรองจับคว้า                       ขันเงิน

ตั้งจิตกุศลไป่เมิน                        ชาติหน้า

ขอเป็นศศิยลเพลิน                      คืนค่ำ

แสงสว่างนวลกลางฟ้า                ทั่วทั้งธราดล

๏ น้องคนเล็กจับคว้า                    กระทาย

สุดโกรธสองพี่ชาย                       สุดแค้น

ขอเกิดชาติหน้ากาย                     โตกว่า   พี่นา

บังหมดหากมาดแม้น                   พบหน้าภาดร

๏ ทินกรหากพบน้อง                     คราใด

แสงที่เคยสว่างไสว                      เจิดจ้า

จักมืดมิดหมดไป                         เวลาหนึ่ง

ด้วยเหตุน้องบังหน้า                    เพราะแค้นภาดร

๏ จันทรหากพบน้อง                     คราใด

แสงที่เคยสว่างสดใส                   คู่ฟ้า

จักมืดมิดหมดไป                         เวลาหนึ่ง

ด้วยเหตุน้องบังหน้า                    เพราะแค้นภราดร

...............(12.ยอดชายนายบุญชอน)....................

 

(13.ธนวัฏ)

สุริยะ – ฆาต!

๏ สุริยะปรากฏเบื้อง                     อัมพร
แสงตะวันราญรอน                      ภพหล้า
เพลิงแดดแผดซอกซอน               ทั่วถิ่น
ข้ายิ่งใหญ่ในฟ้า                          เก่งกล้ากว่าใคร
๏ ชนมิอาจเหนี่ยวรั้ง                     พลังแรง
ห้ามมิให้ส่องแสง                        อย่าห้าม
รังสีแปลกปลอมแปลง                 สาดส่อง
ปวงราษฎร์อยากฝ่าข้าม               ผ่านห้วงแสงสูรย์
๏ หากเราทนเยี่ยงนี้                      อีกนาน
เกินกว่าสิบโกฏิกาล                     จึ่งได้
พ้นระบอบสามานย์                     ขม้ำเขมือบ
เอาเลือดแลกเลือดไว้                   แซ่ซร้องวีรกรรม
๏ ปวงประชาเทิดไท้                     ธงธรรม
เป็นหลักเป็นแนวนำ                     สิ่งร้าย
คราใดแผ่นดินต่ำ                        สติมั่น  คงนา
แรงร่วมปัญญาป้าย                     กู่ร้องอิสรีย์
๏ ดวงตะวันเล็กจ้อย                    น้อยนิด
มาร่วมรวมความคิด                     ต่อสู้
เหยียดหยามย่ำชีวิต                     ตกต่ำ
ดีชั่วเราย่อมรู้                              ต่อต้านรานอธรรม

๏ ใครฤๅทนอยู่ได้                        ไม่มี
เมื่อแผ่นดินถูกสี                          เปรอะเปื้อน
โสมมกากกาลี                            ปลิ้นปลอก
อาจตะวันขยับเขยื้อน                   มุดฟ้าหลบหนี
๏ หากทะนงแกร่งกร้าว                 เข้ามา
จักย่ำยีบีฑา                                ด่าวดิ้น
ถึงฆาตแห่งเวลา                         ตะวันดับ
พลิกคว่ำฟ้าให้สิ้น                       ผ่านพ้นสุรีย์สมัยฯ

........................(13.ธนวัฏ).......................

 

 (14.เชษฐภัทร)

เส้นขนานของสามภพ

๑. สุริยะระอุเร้า                          แรงไฟ
แสงสาดอำนาจไอ                       อัดร้อน
ประสานจุดเกิดดับไตร-                ภพเชื่อม
ปฐมเหตุจักรวาลย้อน                   ยกย้ำนำดู

๒. มนูสรรพสัตว์แย้ง                   โยงเวียน
พวกจิตเหี้ยมโหดเบียน-                เบียดบ้า
มากโลภโกรธหลงเพียร                พาหมก
ย่อมนรกลงโทษท้า                      เถื่อนด้วยตะวันเพลิง

๓. เถลิงไฟไพจิตรจ้า                    จักรวาล
แรกแหล่งแห่งธรรมทาน               ทิพย์ให้
หลอมอณูอเนกสาร                     เสมอภาค
ทุกประโยชน์ทุกโทษใช้                 เชื่อมทั้งไตรภูมิ

๔. ปูมจุติสัตว์โลกเอื้อ                  อานิสงส์
อำนาจอาทิตย์องค์                      โอบอ้อม
สรรพสัตว์ชีพดำรงค์                    ด้วยพระเดช พระคุณเฮย
ผืนโลกภพเพียบพร้อม                 พิพัฒน์ด้วยรังสี

๕.ตะวันชี้ชวนโลกคล้อย              โคจร
ตามทิพย์สุริยะพร                       เพิ่มอ้าง
หมุนเวียนเพิ่มเปลี่ยนถอน ฐานะสัตว์
.นรกโลก โลกนรกสสร้าง              สลับย้อนโยงใย

๖. ให้สัตว์เห็นโลกรู้                     รสธรรม
โลภโกรธหลงหลบจำ                   จิตกลั้น
สร้างสติกุศลนำ                          หนุนเนื่อง
ทุกข์สุขศึกษาขั้น                         ขีดร้อยบทเรียน

๗. เพียรย่อมล่วงทุกข์ซ้อง เสียงสวรรค์
นำจิตสู่ดวงจันทร์                        แจ่มฟ้า
เสวยรสอยู่แดนอัน                       เอมอิ่ม ทิพย์เฮย
ผัสสะทิพย์แก่กล้า                       เกิดด้วยบุญหนุน

๘. จันทร์หมุนวนวุ่นเลี้ยง              โลกา
หลอกล่อรังสีวา-                         ริศด้วย
ดึงและดูดตามภา-                      วะแห่ง แขเฮย
.สัตว์จะเกิดจะม้วย                      เหมาะตั้งตามคดี

๙. ตรีภพเมื่อครบเข้า                   แนวขนาน
อาทิตย์-โลก-จันทร์บาน                เบิกซ้อง
สรรพสัตว์ทุกภพประสาน             เสียงกระหื่ม ฮือแฮ
เพราะเพ่งพิศกันจ้อง                   ประจักษ์แจ้งความจริง

๑๐. สรรพสิ่งวงวัฏเกื้อ                 กูลสนอง
อาทิตย์-โลก-จันทร์ครอง              ครบถ้วน
สัตว์ใดเล่าริผยอง                        เผยอขัด ขืนนา
เกิด-ดับ-มืด-สว่างล้วน                หลีกแล้วปล่อยวางฯ

…………….………..(14.เชษฐภัทร)............................

 

(15.พรทิพา)

สุริยคราส

๏ สุริยะผงาดล้ำ                          พระเวหา

กระจ่างจับพสุธา                        เพริศแพร้ว

กำเนิดสรรพชีวา                          นิรมิต

ตะวันผ่องผ่องผาดแผ้ว                ประดุจแก้วรจิตงาม

๏ เงาคราสจะเคลื่อนคล้อย           ฉายา

บังบดพระสุริยา                          หม่นเศร้า

ราหูทับลักขณา                           ถึงฆาต

โหรเร่งทำนายเร้า             รุ่มร้อนดวงเมือง

๏ หายนะวิกฤตล้ำ                       สยามรัฐ

การเมืองเคืองข้องขัด                   เร่งร้าย

เศรษฐกิจจักวิวัตน์                       ฤๅคาด  ถึงนา

เหตุอุบัติอุบาทว์คล้าย                  เล่ห์ร้ายกินเมือง

๏ เกราะโกร่งโกร่งเกราะเกรี้ยว        โกร่งเกราะ

กระทบกระเทียบกะเทาะ              เร่งไม้

กระดึงกระดิ่งกระดานเดาะ          คลายคราส

ปะเปรี้ยงปังปลาตให้                   สยามไซร้คืนเมือง

๏ สุรีย์ฉานส่องให้                        เห็นหน

คลายคราสพสุธาดล                   ผ่องแผ้ว

หากทาบทับใจคน                       คลายยาก  เสมอนา

ขับคราสไปไป่แคล้ว                     คลาดฟ้าคลุมใจ

๏ สุริยะผงาดล้ำ                          พระเวหา

กระจ่างกมลประชา                     เพริศแพร้ว

กำเนิดซึ่งปัญญา                         บริสุทธิ์

คราสคลายคลายคราสแคล้ว        ประดุจแก้วรจิตงามฯ

..........................(15.พรทิพา)..............................

 

(16.เถือกเถกิง)

"จันทร์ดับดวงแดงใสส่องฟ้า"

 

1.
ขอบฟ้าปรากฏขึ้น                     รำไร
ด้วยแดดดวงแดงใส                    ส่องฟ้า
แสงฉานเปลี่ยนฉากไฟ                ธรรมชาติ
ยังชีพทุกหย่อมหญ้า                    สุขใต้แสงตะวัน
เพลิงนั้นฤๅแผดร้อน                 เผาผลาญ
ลามโลก-แผ่นดินราน                   แหลกร้าว
จักรกลแห่งจักรวาล                     เพียงขับ เคลื่อนเฮย
ผลักโลกหมุนอีกก้าว                    ผ่านห้วงเวลา
สรรพสิ่งสารพัดต้อง                 เปลี่ยนแปลง
จากรุ่งจนดับแสง                        จบสิ้น
ในแรงผลักในแรง                        ดึงดูด
ส่วนประกอบทุกชิ้น                     เกิดสร้าง-แหลกสลาย

 

2.
เดือนฉายเดือนผ่องด้วย            แสงใด
อร่ามงดงามไฉน                         ฉากหน้า
เหลืองอ่อนสะท้อนไฟ                  เรืองเรื่อ
จากเศษเสี้ยวสุรีย์กล้า                  ส่องเยื้องเบื้องหลัง
อ้างพลังอำนาจเพี้ยง                ผิวเผิน
ปิดโลกสีน้ำเงิน                           ปิดฟ้า
ยืดกายยิ่งใหญ่เกิน                      ดาวบริ วารเอย
เงาทาบทุกหย่อมหญ้า                 มืดแม้นเมืองมาร
 ๏ ประหารทุกสิ่งใต้                     แสงตะวัน
บังดับสรรพสีสัน                         แดดสร้าง
ขวางโลกขาดสุริยัน                     ยืนสลด
ปรากฏการณ์แบ่งข้าง                  เกิดขึ้นกลางหาว

3.
ก้าวเดินสะดุดล้ม                     กลางทาง
ดังเหตุ-ลับ-ลวง-พราง                 บ่งชี้
ราหูพิโรธกลาง                            อวกาศ
ทนไล่ไม่นานนี้                            เถิดพ้นราหูฯ

......................(16.เถือกเถกิง).....................

 

(17.ชญมน)

สุริยคราส

๏ สาดแสงแรงฤทธิ์ร้อน                            เรืองฉาย 

ทออุ่นไอกำจาย                                       เจิดจ้า 

เปลวแผดส่องประกาย                             เกิดสว่าง

สรรพสิ่งเหนือผืนหล้า                              สุขด้วยแสงตะวัน

๏ ทันใดเกิดมืดครึ้ม                                 มัวครอง

เงาเคลื่อนคลุมมิดหมอง                          หม่นคล้ำ

ดวงดับลับเรืองรอง                                  ราวกลบ

ความมืดมนครอบซ้ำ                               สุดแก้เกินขวาง

๏ เห็นเลือนรางดั่งสิ้น                               สูรย์แรง     

เหมือนจักสุดสายแสง                              ส่องแล้ว

เคยสาดส่องดวงแดง                               ตะวันดับ

โลกมืดเหมือนขาดแก้ว                             ก่อเกื้อชีวา

๏ เพียงเพลาผ่านพ้น                                พลันคืน

เกินมืดมิดขัดขืน                                     ข่มได้

ดวงตะวันย่อมยังยืน                                หยัดอยู่                       

แสงกลับหวนจรัสไล้                                โลกแล้ยากเลือน

๏  “สุริยคราส” เตือนจิตแจ้ง                      ประจักษ์ตน

ยามมืดหมองมัวทน                                 ทุกข์ห้อม

ความดีที่ฝึกฝน                                       ฝังจิต

จักช่วยลบมืดล้อม                                   ล่วงพ้นโพยภัย

๏ ใจงดงามพ่างเพี้ยง                               รพีฉาน

เงาพาดฤๅภัยพาล                                   พ่ายแพ้

ความดีที่สืบสาน                                     สาดส่อง

แสงแจ่มจิตจรูญแม้                                 มืดเร้นเลือนสลายฯ

............................(17.ชญมน)............................

 

(18.นายพล)

สุริยคราสที่เกินคาด

๏ ปรากฏการณ์เกิดขึ้น                  คนเห็น

ปรากฏเกิดออกเป็น                      ภาพย้อน

ปรากฏเมื่อจันทร์เพ็ญ                  ผันผ่าน

ปรากฏครั้งทับซ้อน                      หมดสิ้นแสงอาทิตย์

๏ วิทยาศาสตร์ค้น                       ทำนาย

เร่งบอกกล่าวข่าวขาย                   เมื่อครั้ง

วันเดือนที่จันทร์กราย                   คล้อยเคลื่อน

หวังภาพจะแจ้งทั้ง                      โลกล้วนแลเหลียว

๏ เสี้ยวโหราศาสตร์ชี้                    ดวงชะตา

กล่าวเหตุอาเพศพา                     พิษร้อย

ครั้งสุริยุปราคา                           คราวคราส

คนต่างแก้ดวงด้อย                      หลีกเร้นเผ่นหนี

๏ เปรียบชี้สภารัฐล้วน                  ปรากฏการณ์

ทำชั่วกลั้วกรรมมาร                      มากแม้น

เหมือนจันทร์หนึ่งคืบคลาน           เข้าปิด

คนทุกข์ระทนแค้น                       เหตุด้วยฉ้อฉล

๏ กลโกงกินเก็บไว้                        บดบัง

แต่ภาพหน้านั้นยัง                       เด่นฟ้า

หากคิดพินิจหลัง                         มุมต่าง

คือทั่วทุกแหล่งหล้า                     มืดสิ้นหมดแสง

๏ แขนงศาสตร์ทุกส่วนสิ้น                        คำทาย

หมดซึ่งคำทำนาย                        เคราะห์นี้

กรรมชั่วก่อความหายน์                 นั้นเกิด ใดนา

ยากสิ่งจะช่วยชี้                           ผ่านพ้นภัยมหันต์

๏ เคราะห์นั้นหารับรู้                     วันใด เกิดนา

สิ่งศักดิ์สิทธิ์สถานไหน                 อาจคุ้ม

สุริยคราสเกินคาดภัย                   พ่นพิษ

ทั้งชาติต่างกลัดกลุ้ม                   เคราะห์นี้ชั่วกาล

............................(18.นายพล)............................

 

(19.สิชล)

สุริยคราส

กฎธรรมชาติ

๏ จันทร์โคจรเคลื่อนเข้า                            คุมวิถี

หว่างโลก-ดวงสุรีย์                                  ดับฟ้า

มืดมัวทั่วธาตรี                                        วิปริต

“สุริยคราส” ข่มหล้า                                 ครอบพื้นจักรพาฬ

กฎโหราศาสตร์

๏ กาฬปักษ์กุมลัคน์ล้วน                           ชวนสยอง

เสาร์แทรกราหูครอง                                 เคราะห์ซ้ำ

โพยภัยพิบัติผอง                                     ผลแผ่ พินาศนา

กาลกิณีกรายกล้ำ                                    เกลื่อนด้วยฉิบหาย

คำทำนาย

๏ คำทำนายถ่องถ้วน                                ถ้อยแถลง

ทัณฑ์ทุกข์โทษสำแดง                              สิ่งร้าย

ยุคข้าวยากหมากแพง                              พิษโรค- ระบาดเฮย

ชีพดุจเดินบนด้าย                                   ดับดิ้นทรมาน

๏ การเมืองเรื่องมืดตื้อ                              ทางตัน

สามัคคีสมานฉันท์                                  มอดสิ้น

เลือดไทยแตกสีพลัน                                พูนเพิ่ม พิบัติเอย

กาฝากฝูงเหลือบริ้น                                 สูบเนื้อเลือดสยาม

ความจริง

๏ ความกาลีก่อด้วย                                 ผู้ใด

วิกฤตเกิดจากใคร                                    เสกสร้าง

โทษคราสข่มดวงไทย                               ดาษดื่น วิบากฤๅ

เอื้อนโอษฐ์อรรถแอบอ้าง                          เอ่ยเอื้อตัวเอง

๏ เพลงชาติโหยร่ำไห้                                ใครฟัง

เห็นแก่ตัวคือพลัง                                    มืดแท้

“คราสใจ” ดับความหวัง                           ชาติบอด สนิทนา

จึงทุกข์มหันต์เพียบแปล้                           เยี่ยงนี้นิรันดรฯ

........................................(19.สิชล).............................

 

(20.ภัทราจิตร)

“ปรากฏการณ์”

๏ สุริยคราสเกิดขึ้น                      คราใด

มืดหม่นมองมิใส                         ทั่วหล้า

สุริยจักรเป็นไป                            ปรากฏ-  การณ์นา 

ขยับเคลื่อนค่อยส่องจ้า                แจ่มแจ้งแดงฉาย       

๏ คนอุบาทว์อุบัติขึ้น                    ขุ่นเคือง       

คอรัปชั่นกินเมือง                         ยืดเยื้อ

ร้อยเล่ห์เหลี่ยมนองเนือง              เนาเนื่อง นานเฮย

อุ้มโอบเอออวยเอื้อ                       เอ่ยอ้างเอนเอียง

๏ กังฉินโฉดชั่วช้า                        น่าชัง

จำคุกควรจำขัง                           โทษนั้น

หมกเหม็นรกรุงรัง                        แลสกปรก

หน่ายหนักอกอัดอั้น                     โลกรู้เรื่องราว   

๏ โยงใยยิ่งยากยั้ง                        ขบวนการ

แผนต่ำระยำมาร                         มากหน้า

รุกฆาตค่อยคืบคาน                     ล่อหลอก

อุกอาจเผยอกล้า                         กล่าวร้ายแท่นสูง

๏ ไทยรักษ์แลเลิศล้ำ                    คำไทย

เพียงอดีตฤาไฉน                         ชนกเจ้า

จึงแตกต่างหัวใจ                         หัวจิต  คิดแล

มือ ตบ กระทบเท้า                     เทียบสู้สูสี

๏ สุรีย์รุ้งหรือจะสิ้น                                  แสงทอง

ดำมิดสนิทมอง                           หม่นไหม้

อธรรมเหล่าจะครอบครอง            ฉลองศก

ทวยราษฎร์คงร่ำให้                      โศกเศร้าระส่ำระสายฯ

...........................(20.ภัทราจิตร)..........................

 

(21.Gothic Dan.)

สุริยคราส: ปรากฏการณ์แห่งรักระหว่างเจ้าชายจันทราและเจ้าหญิงดวงอาทิตย์

(บทรำพันของเจ้าชายจันทราผู้หลงรักเจ้าหญิงดวงอาทิตย์)

๏ เธอคือแสงสุริยะจ้า                   ตาวัน

โฉมเลิศเจิดสีสัน                         แผดร้อน

ส่วนข้า – เฉกดวงจันทร์               มืดสนิท

หลงอยู่ในหมู่ก้อน                       เมฆครึ้มทึมเทา

เฝ้าฝันหวังนิดน้อย                   คอยแสง

แห่งรุ่งอรุณแสดง                        แก่ข้า

ซึ่งหลงรัก, เก็บแฝง                     ฝากจิต

หวังสักครั้งพบหน้า                      เจอะเจ้าจรหน

รู้ตนเพียงหนุ่มผู้                       หม่นเทา

โดดเดี่ยวในเสี้ยวเงา                    มืดคว้าง

ปรารถนาว่ายามเหงา                   จักประจักษ์  รักนอ

จากรุ่งทิวาสล้าง                         จากเจ้า, แสงตะวัน

จึงผันหมุนรอบเจ้า                    โคจร

กาลผ่านการแรมรอน                   ยืดเยื้อ

จวบเราต่างเคลื่อนตอน                ใกล้ชิด

เอกภพพลันงามอะเคื้อ                ห่มห้อมสองเรา

(ปรากฏการณ์แห่งรัก - สุริยคราส)

ทาบเงาแสงแห่งเสี้ยว                สุริย์สาย

ฉับพลันโลกพลันกราย                 มืดกล้ำ

จันทร์ซ้อนเหลื่อมเส้นลาย วงพิสุทธิ์

พ่างรักเหลื่อมรักล้ำ                     ลึกห้วงสเน่หา

เขียนรอยฝากฟากฟ้า                จักรวาล

ขานกล่าวเล่าตำนาน                   รักแท้

รอคอยล่วงถึงกาล                       สุริยคราส  อุบัตินา

จึงต่างใกล้ชิด, แม้                      สักเสี้ยวนาที

ร้อยปีมีหนึ่งครั้ง                        เพียงหน

ที่ต่างเราต่างตน                          เคลื่อนใกล้

แหละรักจึ่งดาลดล                      บังเกิด

ผูกมั่นต่อกันไว้                            สนิทนั้นนิรันดร

..................................................................

..................................................................

..................................................................

..................................................................

(ฝากไว้เพียงรักแท้ต่อกัน - เถิดสัญญา)

๏ ก่อนเราสองต้องพราก               จากกัน

แนบนิทราเนาฝัน                        ฝากให้

สัญญา – ว่าสักวัน                      วันหนึ่ง

จักเคลื่อนเยือนมาใกล้                 อีกครั้ง, ดังเดิมฯ

……………..(21.Gothic Dan.)......................

 

(22.วัชระ)

"สุริยคราสส่องชีวิต"

๏ แสงอาทิตย์ส่องหล้า                 ธานี

ผาดแผ่รัศมี                                ยิ่งร้อน

เป็นแสงสู่สุขขี                                        สุดใฝ่ นำทาง

เปล่าเปลี่ยวเมื่อมืดย้อน                ห่อนรู้จุดหมาย

เคยเฉิดฉายแจ่มจ้า                   จากไป

แหนแห่ขออภัย                           เพื่อแคล้ว

บวงสรวงส่งเสริมใจ                     จงใคร่ ความดี

ยิ่งใหญ่ยังลับแล้ว                       เที่ยงไร้อนิจจัง

สุดภวังค์สิ่งนี้                           ชีพเรา

เกิดแก่เจ็บบรรเทา                       เท่านั้น

ประพฤติชั่วมัวเมา                       หมกมุ่น กามา

จะจบจิตคิดสั้น                           ชีพสิ้นดุจแสง

๏ เป็นธรรมแฝงหลักชี้                  ชีวา

ชีพดั่งแสงสุริยา                          หม่นได้

แลลับแต่กลับมา                         คลาใหม่ เวียนวน

เราจึ่งทำดีให้                              ผ่านพ้นพ้องพาน

สุริยกาลคลี่คล้อย                     คราสคลาย

ทุกอย่างยังพร่างพราย                 เด่นด้วย

คงคุณค่ามากหลาย                    ยืนยั่ง ยินยล

ยังอยู่ไม่มอดม้วย                        มิ่งแก้วเกิดศรี

ตราบชีวีคู่พื้น                           ผืนโลก

หยุดครุ่นคิดวิโยค                        โศกอื้น

มีทุกข์ย่อมมีโชค                          ชมช่วย

แสงดับยังกลับฟื้น                       เฟื่องฟ้าสดใส

แสงรำไรเลื่อมล้ำ                      รอบวง

แปรเปลี่ยนสุริยง                         ที่ย้าย

เห็นทางสู่ประสงค์                       บอกบ่ง บันดาล

พบสุขสราญคล้าย                      คราสแสงสุรีย์ศรี

...............................(22.วัชระ).............................

 

(23.จิรางกูร ปากคลองตลาด๑๐๑)

สุริยคราส

 

๑.สุริย- ะไสพรั่งพร้อม                 พันธมิตร

คราส                รุกบุกประชิด                  ช่วยซ้ำ

พาด                  พิงสิ่งอภิสิทธิ์                 สูงส่ง

ผ่าน                  สื่อมือตอกย้ำ                  ร่ำร้องปรองดอง

๒.ประ-              คองผองราษฎร์ด้าว         ชาวสยาม

เทศ                   แย่แผ่เลียลาม                ลุกด้วย

ไทย                   ติดพิษรอบสาม               เศรษฐกิจ

แย่                    ยิ่งมิ่งมิตรม้วย                ป่วยสิ้นกินแฮม

๓.คน                อื่นชื่นแช่มให้                  โหยหา

ไกล                   กลับลับสายตา               ตอบโต้

เซอร์ไพร้ส์          ใส่มายา                         โยนอ่อน

แต่                    ปากอยากอวดโอ้             โธ่หน้าอาเจียน

๔.คน                เธียรเรียนรับรู้                  เร็วไว

ไทย      บ่ขอวอนใคร                   เคลื่อนเข้า

วุ่น                    ว้างบ่างยุไทย                  ทั่วแตก   แยกเฮย

วาย                   วุ่นหนุนคืนเหย้า              ยั่วให้ไทยพัง

๕.เรื่อง              ดังหลังคลาสคล้อย        ถอยวน

ถวาย                 สัตย์ปฏิญาณตน           ซื่อแท้

ฎีกา                  ใหม่ใส่มวลชน                เช็คชื่อ

มุ่ง                    มาดปรารถนาแก้             แน่แล้วเลวจริง

๖.หวัง               อิงชิงพวกข้า                   คอยพยัก

มวล                  เหล่าเผ่าจงรัก                 รูปแม้ว

ประชา               อื่นหมื่นมิภักดิ์                พูดกร่าง

กด                    ขี่ศีรษะแล้ว                   หลีกเร้นเผ่นผัน

๗.ดัน                ดุทุเรศแท้                      ทักศิณ

พา                    ร่างห่างแผ่นดิน                          ถิ่นด้าว

มัน       หนีที่นอนกิน                   สิ้นท่า

กลับ                  ไม่ได้ก็กร้าว                   กล่าวข้อรออภัย

๘.โดย               ไทยใจถูกซื้อ                   ฤๅจำ

ไอ้                     พวกสวกระยำ                 ค่ำเช้า

พวก                  มากลากกันทำ                ทุรยศ

แดง                  เดือดเลือดของเจ้า           จักเกื้อเพื่อใครฯ

................(23.จิรางกูร ปากคลองตลาด๑๐๑)..................

 

(24.สราวุธ)

สุริยคราส

๑ หมองมัวมืดหม่นฟ้า                 ปฐพิน

สูรย์ส่องสบเงาทมิฬ                    หมดแจ้ง

หมู่วิหคแตกผกผิน                      เสียงส่ง เซ็งแซ่

บอกบ่งลางร้ายแล้ง                     กระหน่ำพื้นไผทไทย

๒ เภทภัยทุรยุคย้ำ                       ยะเยือกขวัญ

น้องพี่พิฆาตกัน                          โกรธเกรี้ยว

ใส่สนตะพายพัน                         ผจญศึก สมรภูมิ

ชัยชนะหนึ่งบิดเบี้ยว                    บ่สร้างวีรชน

  ไพร่พลแลพรั่งพร้อม               ผสมผสาน

เปิดศึกคะนองการ                       ต่อสู้

ไร้ทัพไร้ทหารหาญ                       กรำศึก สมคะเน

เพียงหนึ่งกลุ่มคนผู้                     บอดบ้าต่างสี

๔ วีรกรรมประกาศโก้                   เกินใคร

หนึ่งร่ำรวยเงินใช้             เก่งกล้า

อีกหนึ่งคอยขับไส                        กูเก่ง เกิน มึ ง

โอ้อธิปไตยอ่อนล้า                       ห่อนใช้โดยสรรค์

๕ รวมกันจึงอยู่ได้                        มั่นคง

รู้สิทธิ์หน้าที่ธำรงค์                      สุขด้าว

พอเพียงสิ่งประสงค์                    เสมอสิทธิ์ พึงมี

ปิดฉากความปวดร้าว                  คราสพ้นเพียงแสง

๖ เจิดแจรงรุ้งจรัสล้ำ                   ไผทผอง

พราวพร่างเหนือพานทอง             สง่าพ้น

สามัคคีมั่นปรองดอง                   ทั่วถิ่น แดนไทย

ศานติ์ส่งประโยชน์ล้น                  ชาติล้ำคำขานฯ

............................(24.สราวุธ)..............................

 

(25.ธนวัฒน์)

สุริยคราส...คำสอนของมุนี

๏ กาลครั้งหนึ่งเนิ่นแล้ว                นานปี

บอกเล่าเรื่องราวมี                       คติไว้

ด้วยกิเลสเหตุโลกีย์                      กุมจิต

คนจึ่งหลงผิดได้                          ขาดด้วยมโนธรรม

๏ มุนีบำเพ็ญพรตได้                    ถึงฌาน

สมาธิเป็นประธาน                       หยั่งรู้

บุญแห่งจิตกรรมฐาน                   เสริมส่ง

เห็นศิษย์หยิบภักษ์ผู้                    อื่นแล้วหลบหนี

๏ ฤดีดาลเดือดด้วย                     ร้อนจิต

เคยปลูกฝังให้คิด                        ถูกแท้

ครั้งนี้กลับหลงผิด                       เพราะโลภ     หลงนา

ควรแก่การกล่าวแก้                      ก่อนพลั้งเป็นนิสัย

๏ ตั้งใจเรียกศิษย์เสี้ยม                 สั่งสอน

ดูนั่น...นภากร                             ขณะนี้

เงาทาบทับตะวันตอน                  ฟ้าสว่าง

แดดพยับริบหรี่รี้                          หมดแล้วสุริยนต์

๏ มืดมนหมดฟากฟ้า                   มัวดิน

“สุริยคราส”  มุนินทร์                    กล่าวแกล้ง

ครูหนึ่งจึ่งจะผิน                          เงาออก

คลายคราสแล้วจักแจ้ง                จรัสจ้าดังเดิม

๏ กล่าวเสริมให้ศิษย์รู้                   สำนึก

เปรียบมนุษย์ขาดสติตรึก              พลาดพลั้ง

ลุ่มหลงถลำลึก                           ทางผิด

คือสุริยะคราครั้ง                         คราสเข้ากลืนกิน

๏ แม้นผินตนกลับได้                    ไว้ทัน

เงาคราสจักคลายพลัน                 สว่างจ้า

ศิษย์น้อยใคร่ครวญครัน               สารภาพ -     ผิดนา

กล่าวพจน์ด้วยใจกล้า                  รับแล้วโดยดี

๏ มุนีสอนสั่งซ้ำ                           เตือนศิษย์

ห้ามกิเลสเหตุหลงผิด                  ยับยั้ง

ใช้สติตรึกตรองคิด                      ถ้วนถี่

แล้วจักเดิน บ่ พลั้ง                      คลาดแคล้วโลกีย์ฯ

.........................(25.ธนวัฒน์)..............................

 

(26.ทร ดิษฐสุวรรณ)

สุริยคลาส

๏ อาทิตย์จรจากฟ้า                      ฟูรัศมี

มัวม่านมืดปกปถพี                      ผ่านพ้น

รางชางรุ่งรังสี                             สาดส่อง

พืชสัตว์รับบุญล้น                        ยิ่งล้ำบุญหลาย

๏ ราหูหมายลอบเร้น                    ล้างผลาญ

คิดฆ่าเหิมฮึกหาญ                       หมื่นห้าว

กัดกินเลือดแดงฉาน                    พลีเซ่น  สังเวยแล

สูรย์อยู่ใดจับน้าว             เหนี่ยวโน้มมากิน

๏ ยุคสมัยหมุนหม่นไหม้               เหมือนเดิม

มีแย่งยุดอำนาจเติม                     ต่อตั้ง

ราหูใหม่สรรค์เสริม                      รบาญส่ง

ดับตะวันฉุดรั้ง                            เร่งรั้นรบกวน

๏ นวลภาพเมืองโศกเศร้า              หมองศรี

สุริยคลาสเกิดมี                          มืดม้าง

วิกฤตจึ่งเปรตผี                           ผายผ่าน

คนก่อกำแพงสร้าง                      แบ่งขั้วเทพมาร

๏ จารหนังสือส่อให้                      ตาเห็น

ตรองว่าใครหนอเป็น                    ฝ่ายร้าย

พินิจแยกประเด็น                        ดีชั่ว

แล้วแช่งชักสุดท้าย                      ทุบทิ้งทุรชนฯ

....................(26.ทร ดิษฐสุวรรณ)..................

 

(27.เปรมวดี แย้มเพกา)

เสี้ยวหนึ่งของกรุงเทพฯ

๏ ขาวพิสุทธิ์ดอกแก้ว                   หอมกรุ่น

กระถินหอมละมุน                       หล่นร่วง

น้อยหน่าและขนุน                       ฤๅอิ่ม  น้องพี่

อิ่มข้าวสยามสรวง                       สุดซึ้งซ่านทรวง

๏ ชีวิตยากแค้นของ                     ชาวนา  จีนเอย

เป็นหนังสือเสาะหา                     มาอ่าน

แม้ยากไร้เงินตรา             พิมพ์ด้วย  เงินออม

ผู้เขียนเก่งกล้ากร้าน                    หนังสือขายดี

๏ จรัลออกจากบ้าน                      ไปซื้อ หนังสือ

ศูนย์การค้าเลื่องลือ                     ว่าหรู

ขึ้นไปร้านมีขื่อ                             ขั้นสี่  บรรเจิด

มากคนอ่านคนดู             คนซื้อมากมี

๏ กระหายน้ำเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า  เพื่อนเอย

นั่งลงมุมน้ำชา                            เลื่องชือ

เค้กมะม่วงงามตา                       อร่อย  รสเลิศ

ลูกค้าอ่านหนังสือ                       จิบชารื่นรมย์

๏ หนังสือใหม่เล่มนี้                     มีไหม  น้องเอย

คนขายสาวเร็วไว             หาให้

ไม่มีพี่เสียใจ                               อย่างยิ่ง

คิดจะทำไฉน                              หาร้านต่อไป

๏ ลงบันไดเลื่อนไป                      ชั้นสาม

ร้านหนังสือสวยงาม                    แห่งนี้

มีไหมใจกล้าถาม             หนังสือไทย

มี...แต่ว่าไม่มี                             เล่มที่พี่หา

๏ แสวงหาต่อไป                          คงได้  สหายเอย

ร้านหนังสือร้านใหญ่                    เก่าแก่

หนังสือหามีไม่                            พิมพ์ปี ที่แล้ว

คงขายหมดแล้วแน่                     อาจมีอาทิตย์หน้า

๏ King of Petra                         ยวนใจ  พี่เอย

ไอศกรีมรสใหม่                           แจ่มใส

นั่งกินได้ที่ไหน                            วานบอก

ร้านหนังสือถัดไป                        มีที่ให้นั่ง

๏ ไม่อยากเชื่อนะเพื่อน                 ได้ที่  ร้านนี้

ร้านที่สี่ยินดี                                เสาะหา

หนังสือค่ามากมี                         เกินกว่า  เงินตรา

ใครอาจจะพูดว่า                        ไม่จริงไม่ดี

๏ วสันตฤดู                                 ชื่นใจ  สหายเอย

ดับร้อนชาวนาไทย                       ทั่วหล้า

หอมมะลิมาลัย                           หอมกรุ่น

ดุจมาจากฟากฟ้า                        กรุงเทพฯ แพรวงามฯ

…………….....(27.เปรมวดี แย้มเพกา).......................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

+++++++++++++++++++++++

(ส่งวันพุธ 16 ก.ย.52 ทางอีเมล์ ส่งงานเกินกำหนดเวลาที่กำหนดไว้)

(28.“เพียงพิณ  นครโขง”)

สุริยคราส

๏ สุริยาส่องแจ้ง                          พิภพ

สว่างสุขสงบ                              ทั่วหล้า

มิมืดหม่นบรรจบ                         ทาบทั่ว   พสุธา

แดดแจ่มแจ้งแผ่นฟ้า                   พรั่งพร้อมสุกงาม

๏ ดวงสุรีย์ไม่ช้า                           มืดมิด

เกิดสิ่งเกินคาดคิด                       แต่งแต้ม

จันทร์คล้อยเคลื่อนเลื่อนปิด          แสงอ่อน  สลัวนา

สิ้นส่องอ่อนแสงแย้ม                   ทั่วฟ้าคราสแสง

๏ ผู้คนแตกตื่นร้อง                       รีบเร่ง

บ้างหวั่นบ้างกลัวเกรง                  สิ่งร้าย

หมอบบังซ่อนหลบเพ่ง                 มองผ่าน  แสงนา

ตกตื่นนึกได้คล้าย                       ชั่วร้าย   ครอบงำ

๏ ก่อเกิดเรื่องเล่าล้วน                   โบราณ

สืบส่งสานตำนาน                       กล่าวไว้

ทวยเทพรื่นสำราญ                      สุขส่ง  จิตแฮ

เทพท่านราหูได้                           ขุ่นข้องกฎสวรรค์

๏ อมฤตท่านห้าม                        ลุกล้ำ  ดื่มนอ

ทวยท่านราหูร่ำ                           ไม่ม้วย

อาทิตย์จึ่งนำคำ                          จันทร์ร่วม

เฝ้าท่านอิศวรด้วย                       ช่วยแจ้ง  แถลงไข

๏ อิศวรเจ้าท่านรู้                         กริ้วโกรธ

รับสั่งอาญาโทษ                          หั่นห้อย

ร่างขาดแบ่งแยกหยด                   สองส่วน  แล้วนา

แค้นขู่ราหูคอย                            จะเฝ้าอมกลืน

 

๏ ชนเชื่อว่าเมื่อฟ้า                       สิ้นแสง

ดวงเด่นอาทิตย์แหว่ง                   หวั่นเว้น

ราหูล่ากลืนแกล้ง                        แค้นคู่ เทพเฮย

เคาะส่งเสียงดังเข่น                     ไล่แล้วราหู

๏ เพียงจันทร์บังก่อนแล้ว              จากหนี

เมื่อผ่านมาไม่มี                           สิ่งร้าย

ระงับชั่วตัวที่                               บังบ่วง ใจนา

หยุดหั่นทุบทำลาย                       แผ่นพื้น  ดินสยาม

......................(28.“เพียงพิณ  นครโขง”)..................



โคลงสี่สุภาพ 2552

ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป (โคลงสี่สุภาพ) : หัวข้อ “จินตนาการ”
ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป (โคลงสี่สุภาพ) : หัวข้อ “ฤๅหัวใจจะไร้รัก”



bulletผลร้อยกรองออนไลน์ 2558
dot
ประกวดร้อยกรองออนไลน์ครั้งที่ 7
dot
bulletข้อมูลการประกวดครั้งที่ 7, 2557
bulletผังร้อยกรอง
bulletอ่านโคลงประกวด 2557
bulletอ่านกลอนประกวด 2557
bulletอ่านกาพย์ยานีประกวด 2557
bulletผลการประกวดร้อยกรอง ปี 2557
dot
ข่าวสาร ข้อมูลสมาคม
dot
bulletกรรมการสมาคมสมัยที่ ๑๕-๑๖
bulletนายกสมาคมสมัยที่ ๑๗
bulletติดต่อนายกสมาคมนักกลอน
bulletติดต่อฝ่ายดูแลส่วนต่างๆ
bulletสมัครสมาชิกสมาคมนักกลอน
bulletนักกลอนตัวอย่าง ๒๕๕๓
dot
หัวข้อน่าสนใจ
dot
bulletรวมลิ้งค์เว็บไซต์น่าสนใจ
bulletส่งบทสักวา น.ส.พ. สยามรัฐ
bulletวารสารวิทยาจารย์ รับต้นฉบับ
bulletส่งข้อเขียนครูในดวงใจ
dot
แนะนำหนังสือ
dot
bulletหน้ารวมหนังสือ
bulletคู่มือเรียนเขียนกลอน
bulletกาสรคำฉันท์ - สมคิด สิงสง
bulletหนังสือสุรินทร์สโมสร
bulletฝากโลกนี้ไว้ในหัวใจเธอ - กอนกูย
bulletเลือน - อติภพ
bulletธาร ธรรมโฆษณ์
bulletนายทิวา
bulletกลอนเกียรติยศ
bulletอ้อมกอดแห่งท้องทุ่ง
bulletทองแถม นาถจำนง
bulletพงศาวดารพิภพ
bulletโป๊ยเซียน คะนองฤทธิ์
dot
โครงการประกวดต่างๆ
dot
bulletนายอินทร์อะวอร์ด ๒๕๕๖
bulletประกวดรางวัลซีไรท์ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลพานแว่นฟ้า ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลวรรณกรรมรามคำแหง ๒๕๕๖
dot
ผลตัดสินรางวัลต่างๆ
dot
bulletรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletผลรางวัลซีไรต์ ๒๕๕๗
bulletผลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ๒๕๕๗
bulletผลรางวัลแว่นแก้ว ๗ (๒๕๕๓)
bulletผลกลอนวิถีคนกับควาย
bulletผลร้อยกรอง “ผมจะเป็นคนดี”
bulletรางวัลนราธิป ๒๕๕๓
bulletนักเขียนอมตะ คนที่ ๖ (๒๕๕๕)
bulletนักเขียนรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletศิลปินมรดกอีสาน ๒๕๕๔
bulletผลรางวัลพานแว่นฟ้า ๒๕๕๕
bulletผลรางวัลรามคำแหง ๒๕๕๖
bulletศิลปินแห่งชาติ ๒๕๕๕
bulletผลประกวดหนังสือ ชีวิตใหม่ 2
dot
ข่าวคราวของลมหายใจ
dot
dot
Weblink
dot
bulletอ่านกลอนประกวด 2556

หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก
สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาภาษาไทย มศว
เว็บรวมกระทู้ อาศรมชาวโคลง ใน pantip.com
หนังสืออีศาน


Copyright © 2010 All Rights Reserved.
ติดต่อ นายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ทองแถม นาถจำนง
โทรศัพท์ ๐๘๙-๑๒๓๔๗๕๔ อีเมล์ tongtham.n@hotmail.com

สำนักพิมพ์แม่โพสพ