(1.มณฑล)
๏ บทกวีที่นิพนธ์ ประจักษ์ชนคนทั่งหล้า
บ้างกล่าวไม่มีค่า แต่บ้างว่าซึ้งรสกลอน
๏ แต่งกวีต้องใช้จิต ต้องไม่คิดนอกคำสอน
ฝึงแต่งพาจิตอ่อน ไปเป็นขอนไม้ทรงพลัง
๏ แต่งกวีฝึกความคิด รู้ถูกผิดรู้รักชัง
รู้พาตัวชอบดัง ได้เห็นซึ่งถึงสรรพกาล
๏ แต่กวีใช้สมาธิ อย่าได้ริจิตฟุ้งซ่าน
ทำใจเหมือนลำธาร อย่าให้วารรีการะเซ็น
๏ อ่านกวีต้องจิตมั่น ไม่หุนหันทำเป็นเล่น
อ่านแล้วอ่านให้เป็น จะได้เห็นถึงความจริง
๏ บทกวีทุกบทนั้น ล้วนซ่อนกันซึ่งสรรพสิ่ง
ซ่อนซึ่งความเป็นจริง ทั้งแย่งชิงตำแหน่งตัว
๏ บทกวีสะท้อนโลก ทั้งเรื่องโศกสุขดีชั่ว
บทกวีสะท้อนตัว ว่าเรามัวทำอะไร
๏ บทกวีมีเชยชม ถึงสังคมชนนี้ไซร้
อ่านแล้วคิดตามไป กลอนกล่าวไรในสังคม
๏ บทกวีบอกทุกเรื่อง ทั้งการเมืองเรื่องนิยม
ว่ามันแสนขื่นขม เหมือนสังคมปีนี้เอยฯ
..(1.มณฑล)......................................
(2.กัญญารัตน์)
๏ ไทยแท้แต่เก่าก่อน อ่อนละมุนคุ้นไมตรี
ดั่งคิดมิตรล้วนดี บัณฑิตมากจากปัญญา
๏ ช่วยเหลือเอื้อค้ำจุน จิตเกื้อหนุนคุณรักษา
ถ้ารักมักเมตตา บุญจักมีที่ดวงใจ
๏ ยุคกลางช่างงดงาม ทุกเขตคามสยามไทย
ประเสริฐเลิศวิไล ด้วยพฤกษานานาพันธุ์
๏ ท้องฟ้าน่ายลชม แสนภิรมณ์สมสุขสันติ์
ไร้ทุกข์ปลุกชีวัน เย็นชุ่มชื่นรื่นหทัย
๏ ทุกวันพลันกาลเปลี่ยน โลกหมุนเวียนเพียรเกิดภัย
เหล่าชนคนทุกวัย ควรรักษาป่าบ้านเรา
๏ ร่วมมือถือความสัตย์ ที่แจ่มชัดขจัดเศร้า
อย่าหลงงงมัวเมา จงเร่งเฝ้าเข้าวัดวา
๏ พึ่งธรรมนำชีวี ยิ่งผ่องศรีดีทุกคลา
หมั่นฝึกตรึกตรึงตรา จะมีค่ากว่าบรรยายฯ
...........................(2.กัญญารัตน์)..............................
โคลงกลอนสร้างสามัคคี(3.สรวิศ)
๏ สอนศิลป์งานกวี ของสตรีแห่งมวลชน
ชาติไทยเราทุกคน ร่วมสร้างสรรค์คุณปัญญา
๏ สังคมจะเป็นสุข ปลดปล่อยทุกข์กันเถอะหนา
บทกลอนสรรสร้างมา เพื่อประชาเป็นสุขใจ
๏ คำคมสอนอ่านเขียน มีความเพียรต่อสิ่งไหน
ด้วยความมีเลือดไทย ผูกพันใจแต่โบราณ
๏ วันนี้บ้านเมืองเดือด เปื้อนคาวเลือดผู้กล้าหาญ
บทกวีศรีศิลป์สร้าง เพื่อสมานสามัคคี
๏ พ่อหลวงของชาติไทย สู้ด้วยใจจนวันนี้
เหตุใดพวกไพรี ล้วนแต่มีเลือดเดียวกัน
๏ สีเลือดมี3สี แดงบ่งชี้เอกฉันท์
สีขาวร่มเย็นพลัน น้ำเงินนั้นสูงเหนือใคร
๏ โคลงกลอนสอนให้คิด เพื่อชีวิตอันสดใส
วันหน้าไม่มีใคร พูดชื่อไทยให้ใครฟังฯ
..............................(3.สรวิศ)..................................
(4.แมน)
๏ รุ่นต่อรุ่นส่งผ่าน สื่อประสานงานอักษร
สืบมาสู่นาคร ขจรไกล ณ ใจชน
๏ เส้นสายของลายสือ ระบือรับนับนุสนธิ์
ทุกกะระยะดล มนต์กวีศรีอักษรา
๏ เพียงชนคนกลุ่มน้อย จำเรียงร้อยสร้อยภาษา
เป็นแหล่งแห่งปัญญา รวมใจตั้งเป็นสังคม
๏ สังคมที่ขับขาน มีตำนานให้เราชม
หลายปีที่เพาะบ่ม เป็นรากเหง้าเผ่าพงศ์ไทย
๏ กวีเคียงคู่ยุค เป็นแรงปลุกยุคสมัย
เปิดเทอมประเดิมชัย ให้ศึกษาน่าตรึกตรอง
๏ รามคำแหงมหาราช ทั้งศรีปราชญ์ชาติสนอง
สุนทรภู่สู่ยุคทอง ครองชีวันนิรันดร์กาล
๏ อีกมากบรมครู ขอเชิดชูจิตจดจาร
สังคมรอยตำนาน จากวันวานถึงวันนี้
๏ ถึงจะเป็นเด็กน้อย ใช่ว่าด้อยอักษรศรี
กลั่นกรองห้องวจี เป็นกวีในสังคมฯ
.............................(4.แมน)................................
(5.ฐานันดร)
๏ วรรณศิลป์ล้ำค่า เรียงร้อยมาถ้อยคำหวาน
ประดุจซึ่งน้ำตาล บทกลอนกานท์สานวจี
๏ ถ่ายทอดหลายรูปแบบ ได้อย่างแยบยลกวี
อักษรบทกลอนมี ประพันธ์ดีที่ลีลา
๏ อรรถรสบทร้อยกรอง ที่ช่ำช้องเชี่ยวชาญมา
รังสรรค์สืบสานค่า พัฒนาจนก้าวไกล
๏ ร้อยรสซึ่งบทกลอน อุทาหรณ์ถ่ายทอดได้
สังคมสะท้อนไป เสน่ห์ไทยมิลบเลือน
๏ สังคมทรามย่ำแย่ สังคมแปรเก่ามิเหมือน
สังคมมิย้ำเตือน สังคมเชือนแชเปลี่ยนไป
๏ บทกวีคลายทุกข์ เพิ่มความสุขจรรโลงใจ
สืบสานกานท์กลอนไว้ เพื่อลูกไทยไปชั่วกัลป์ฯ
.................................(5.ฐานันดร)..............................
(6.วรวีร์)
๏ น้ำตาลว่าหวานปาก ยังสิ้นซากละลายหาย
หวานแล้วยังไม่วาย พรากคนตายสังเวชใจ
๏ หวานใดไม่เท่ากลอน หวานเร่าร้อนน่าหลงใหล
หวานอารมณ์ลามทรวงใน กวีไทยหวานอุรา
๏ เริ่มจากท่านสุนทร แต่งกาพย์กลอนเหินเวหา
จนได้ด้วยฉายา ชาญวิชาภาษากลอน
๏ บทกวีกับสังคม อย่าปล่อยล้มอย่าถอดถอน
สังคมคู่เคียงกลอน อย่าผลัดผ่อนอย่าหย่อนยาน
๏ ซ้อมฝึกใฝ่ประพันธ์ ยิ่งนานวันยิ่งเล่าขาน
อย่าปล่อยเป็นตำนาน ให้สะท้านทั้งโลกา
๏ คนไทยศิษย์สุนทร ควรรักกลอนมิรอช้า
แต่งกลอนเพิ่มคุณค่า สื่อภาษาแซ่ซ้องใจฯ
.................................(6.วรวีร์)...............................
(7.นรินทร์)
๏ ล้วนแล้วทั้งประพันธ์ กาพย์กลอนนั้นสุนทรภู่
ท่านคือบรมครู ผู้เชิดชูกวีไทย
๏ เยาวชนคนรุ่นก่อน ไม่ใจร้อนเหมือนรุ่นใหม่
กวีน่าเลื่อมใส หนุนนำใจช่วยร่มเย็น
๏ แม้ผ่านมาช้านาน แต่โบราณมีให้เห็น
เลื่องชื่อประพันธ์เป็น ไม่ทุกข์เข็ญเหมือนอื่นใคร
๏ ชื่นใจยามได้ยล ช่วยผู้คนยามทุกข์ได้
เพลิดเพลินกาพย์กลอนไทย ต่างชื่นใจและชื่นบาน
๏ สังคมในยุคร้อน ไม่วิงวอนกวีหวาน
หัวใจไร้สำราญ ไม่เบิกบานอย่างยุคใด
๏ พวกเราเยาวชนน้อย ต่างเรียงร้อยหาคำใส่
แต่งกวีเพื่อปลุกใจ ให้คนไทยมารักกันฯ
.............................(7.นรินทร์)..................................
(8.สิทธิศักดิ์)
๏ กวีคือกลอน ฝึกเราสอนภาษาศิลป์
ดุจปั้นดาวจากดิน เรียงร้อยคำได้ดั่งใจ
๏ สังคมปัจจุบัน ดั่งหนทางที่ยาวไกล
ประเทศไทยเปลี่ยนไป ปัญหาใหญ่ที่ตามมา
๏ หลากคนหลากชีวิต ความคิดย่อมมีตื้นหนา
เติบใหญ่ตามเวลา ถูกเลี้ยงมาเป็นอย่างไร
๏ มุมมองแตกต่างบ้าง มองต่างมิใช่เรื่องใหญ่
ยึดถือมากเกินไป ผลร้ายเกิดจากใจตน
๏ ทิฏฐินั้นบังใจ พูดไปแบบไร้เหตุผล
โลกแคบใจมืดมน มองคนอื่นเป็นศัตรู
๏ จิตใจนั้นพาไป หลักฐานบอกไว้ไม่ดู
เถียงแบบไร้ความรู้ กะลาครอบอยู่บังตา
๏ สังคมจะอยู่ได้ เพราะคนไทยเฝ้ารักษา
ประเทศพัฒนา จิตอาสาไทยทั้งปวงฯ
.............................(8.สิทธิศักดิ์).........................
(9.กัญกาญจน์)
๏ ลากเส้นเป็นอักษร เขียนคำกลอนที่สั่งสม
กวี กับ สังคม งานสื่อสารผ่านสองมือ
๏ ผู้นำบงการชาติ สร้างบทบาทน่านับถือ
ไม่สนเสียงร่ำลือ ยักยอกทรัพย์เข้าส่วนตน
๏ ปากกล่าวเหมือนซื่อสัตย์ ปฏิบัติเพื่อหวังผล
หลอกลวงประชาชน ไทยสับสนทางมืดมัว
๏ สังคมแบ่งฝักฝ่าย เปลี่ยนใจกายดีเป็นชั่ว
เหลืองแดงสีแทนตัว ต่างประท้วงทวงแผ่นดิน
๏ โจรใต้ยิงกระหน่ำ ชนระส่ำตายแทบสิ้น
บ้านเรือนเคยอยู่กิน ถูกไฟเผาฝีมือใคร?
๏ ฟื้นชาติก่อนจะสาย หมดเรื่องร้ายชนสดใส
คนชั่วจงกลับใจ พาชาติไทยสุขเปรมปรีดิ์
๏ ธรรมาส่องสว่าง ชี้นำทางสมศักดิ์ศรี
รู้รักสามัคคี บทกวีสื่อสังคมฯ
........................(9.กัญกาญจน์)..........................