ReadyPlanet.com
dot dot
ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป (โคลงสี่สุภาพ) : หัวข้อ “จินตนาการ”

..พิษฐานเอย.. (1.สนฉัตร)

 

๏ เดือนสิบสองล่องน้ำ                     ชินชา
บุญหนักเห็นสักครา                         จะต้อง
บาปใครก่อมหา-                              วิปโยค
กรรมฝ่าทางดีพ้อง                            กระทงนี้พิษฐาน
บ้านเมืองเคยรุ่งฟ้า                        อมร
กรรมชั่วการเมืองหลอน                   หลอกเศร้า
ชั่วดีบ่อนาทร                                   อุบาทว์ ยิ่งเฮย
มืดกว่ามืดสมัยเร้า                             เปลี่ยนบ้านแปลงคน

หนทางอธิปัตย์ต้อง                        เงินตรา
คือบาปย่ำตำคา                                  อกไหม้
ศักดิ์ศรีจะไร้รา-                                คาค่า  มนุษย์เนอ
หลับตื่นสะอื้นไห้                             แต่น้ำเงินทราม

จิตงามคนก่อบ้าน                          หลักเมือง
เคยง่ายวิถีประเทือง                           ถ้วนหน้า
ชั่วดีบ่มีเคือง                                    กระฉ่อน ฉาวนา
ธรรมเสมอดินฟ้า                             อิ่มเนื้อนาบุญ   

๏ ทุนสามานย์ผ่านเร้น                      ในตน
ครอบป่าเร่าทุรน                               ใคร่สิ้น
ต่ำสูงจะยินยล                                  ปรากฏ- การณ์เฮย
เพริดแต่กระผีกริ้น                            แก่นแท้ผิวเผิน
เพลินวิบัติแห่งบ้าน                       แปลงใด
ชั่วโฉดฉ้อจัญไร                              มุ่งอ้าง
วิถีสุดทางไป                                   เกินกล่าว  วางเนอ
จมต่ำทุกข์สุขคว้าง                            เสพเชื้อสามานย์
การเมืองรุมแห่ปล้น                      กินเมือง
เอาหลักกูอวดเขื่อง           หย่อมหญ้า   
หวังผลหว่านเงินเปลือง                   ใครเล่า
ชาติจะยับต่อหน้า           ช่างฟ้าดินสูญ
อาดูรใครร่ำไห้                               กัปป์กัลป์
อดีตชั่วโจษจัน                                  อกไหม้
การเมืองบาปมหัน-                           ตโทษ ไทยนา
จมจ่อมนรกไร้                                  แบบแท้วิถีธรรม 
กำชะตาตกต้อง                              สัจจา
รู้ตื่นรู้รักษา                                       สิทธิ์ป้อง
การเมืองชั่วจะสา-                             มานย์ชั่ว ขณะเนอ
คนจะกำมือก้อง                                หยัดสู้ถ่อยเมือง
เปลื้องจินตนาการแจ้ง                  ศรัทธา
เปลือยสติปัญญา                             ปกบ้าน
จิตคนจะคณา-                                นับสู้  ทรามเฮย  
ฝากสัจจกาลสะท้าน                        สะท้อนสะเทือนหน

................................(1.สนฉัตร)............................

 

จินตนาการ (2.สันติชัย)

 

๏ มองมองจันทร์แจ่มจ้า                    คืนเพ็ญ

สั่นทกอากาศเย็น            สั่นสู้  

แลจันทร์คู่เคียงเห็น                         ดาวพร่าง พรูพราย

กายเหน็บใครหรือรู้                         อยู่ใต้คืนเพ็ญ

๏ เดียวดายฝันคู่ฟ้า                            เคียงดาว

หวนโศกในลมหนาว                      หวีดร้อง

นอนฟังขลุ่ยสีขาว                           รำร่าย

ก้องกู่กลางนาก้อง                           คับคุ้มดงไพร

๏ เสียงเพลงมีชื่อเศร้า                       หัวใจ

อันแต่งโดยชายใน                          ทุ่งนั้น

อาลัยแด่ชนสมัย                              หลงใหม่ ตามแฮ

ปล่อยทุ่งนอนอกคั้น                        ลู่เข้าเมืองกรุง

๏ เรียนเรียนเรียนแต่ใบ้                                    ตาบอด

เศษเถ้าธุลีฟอด                ฟู่ฟุ้ง

กระดาษที่สวมกอด                          มีค่า หรือไร

หาว่าเป็นเอกรุ้ง                              ส่องจ้าหลังฝน

๏ ทางหน้าปลายสุดนั้น                    อย่างไร

ต่างชาติหรือคนไทย                        ส่งสร้าง

ทุ่งนาขาดข้าวนา                             ใครปลูก เล่าหนอ

หรือฝรั่งนอนค้า                             อยู่คุ้มนาไทย

๏ จริงชัดกระดาษนั้น                       เปล่าคุณ 

ยับยู้เหลือค่าศูนย์                             แน่แท้

รุกร่ำหวังท้ายหมุน                          เงินส่ง แต่ดอก

อนาคตมีข้อแม้                               ใผผู้สงสาร

๏ ชีวิตผ่อนผัดหน้า                           กันตาย

ผันสู่สายธารสาย                            เหือดแห้ง

เพียงกลืนแต่ลาย                             หรือพ่อ เอกองค์

สินทรัพย์ดูแสนแร้ง                        ดั่งเว้งกุลา

๏ จบเพลงขลุ่ยร้อง                            หวนกลับ

คนทุ่งชายบนโลก                           หลับหล้า

เหลือเพียงหนึ่งวิโยค                       สิ่งสู่ ปลายฟาก

คลานขดกลืนช้าช้า                          ขูดเนื้อเถือหนังฯ

.................................(2.สันติชัย)....................

 

จินตนาการ (3.สันติชัย)

 

๏ ออกจากห้องบ่ายหน้า                   หาชน

ฟันฝ่าอุปสรรคจน                                           แกล่งกล้า

ผ่านเพียงเพ่งมองคน                       บนโลก เราแฮ

เปิดส่องใจทั่วหน้า                           เปิดรู้ด้วยใจ

๏ นกเค้าแมวอยู่ใต้                           คืนดำ

สิงสู่โพรงไม้งำ                               ร่างไว้

ดึกดื่นมึดหนำซ้ำ                              กินสัตว์ ตัวเล็ก

เก่งกาจดูดุร้าย                                  เบิกฟ้าซบเหงา

๏ ลิงค่างบ่างรอกนั้น                        พัลวัล

เจื้อยแจ่วใต้ตะวัน                             กู่ร้อง

เสียงรำร่ายไพรสันต์                                        เพลงป่า

ดื่นดึกกลับหาห้อง                           หลบหลี้หนีภัย

๏ แมวหง่าวดูเหมือนไร้                    พิษภัย

ซ่อนชาติเสือดุใน                             ป่ากว้าง

ลึกแลลับฉงนใจ                               ยิ่งนัก

หวาดช่างหวิวหวิวว้าง                      เพ่งให้เห็นฉงน

๏ มองฟ้าอีกฟากกว้าง                      ลับตา

แสงสุขหนอเวหา                            วันนี้

บัดนั้นกลับเมฆมา                           บังปก

ว่ายวุ่นครื่นฟ้าจี้                               ฝ่าเปรี้ยงกลางฝน

๏ หลังฝนกลับสร่างฟ้า                     มาเปิด

เรืองรุ่งฟ้ากำเนิด                             เเจ่มเเจ้ง

เหลือเพียงซากระเบิด                       หลังห่า ฝนพราย

อากาศระเหิดแร้ง                                แจ่มฟ้าหลังฝน

๏ ใจคนแสนยิ่งร้าย                           กว่านัก

กว่าสัตว์ที่ว่าหนัก             กว่านั้น

พิศวงกว่านภา                                 มาเปลี่ยน

ล้ำลึกคนยิ่งกว่านั้น                           ซับซ้อนยิ่งฉงนฯ 

.................................(3.สันติชัย)....................

 

ฟากฟ้าทะเลฝัน จินตนาการไม่สิ้นสุด (4.อัลมิตรา)

 

๏ รูปธรรมนำจิตให้                            ตรึงตรา
ทุกผัสสะเสมือนพา                            สุขสร้าง
นามธรรมเฉกอุปมา                            ประดิษฐ์แต่ง
ตัวอย่างโคลงเราอ้าง                           “ฟากฟ้าทะเลฝัน”
๏ เพราะใจมิเสื่อมสิ้น                        จินตนาการ
จึงเริ่มวางแผนการ                              เลือกเฟ้น
ตั้งใจเพ่งผังกานท์                                ระเบียบแบบ
แล้วคิดคำค้นเค้น                                  เพื่อให้สมประสงค์
๏ มวลหมอกลอยฟ่องฟ้า                   ริ้วระบาย
แววเก็จแก้วมณีพราย                          ส่องสะท้อน
แว่วครืนคลื่นซัดทราย                        โครมสาด
วิหคกางปีกฟ้อน                                  โอบอุ้มมัจฉา
๏ ตังเกจอดนิ่งคล้าย                            ต้องมนตร์
ปูถ่างขาเดินปน                                    เปลือกคล้าย
แมลงปอลิ่วลมบน                               กระพือแข่ง
ทิ้งทากคืบรั้งท้าย                                  คดเคี้ยวรอยถนน
๏ กลิ่นเกลือเจือจมูกแกล้ม                อักษร
ยินเด็กหัวเราะตอน                             เล่นน้ำ
เนื้อตัวต่างเปียกปอน                          ชุ่มโชก
โดนแดดแผดจนคล้ำ                           คลับคล้ายลิงแสม
๏ จิตรกรคราคิดสร้าง                         ภาพใด
เพียงพู่กันตวัดไป                                แบบนี้
จินตกวีอยากสื่อนัย                              ตามจิต
เพียงเลือกอักษรชี้                                เสกถ้อยร้อยคำ
๏ ตาบอดอิงภาพซึ้ง                            นิมิต
หูหนวกเปล่งถูกผิด                             ย่อมได้
งานศิลป์เกิดจากจริต                           คนสื่อ
ดีเลิศหรือบ้าใบ้                                    ปราศเส้นขอบขวาง
๏ ตราบเท่ายังมากล้น                         จินตนาการ
ตราบเท่าในสันดาน                            ระลึกรู้
ตราบเท่าอุดมการณ์                             ก่อเกิด
หากจิตมิหลับคู้                                    ง่ายแท้คำเขียนฯ

.........................(4.อัลมิตรา)............................

 

จินตนาการ (5.สุรมนตรี)

 

๏ จินตนาการฟากฟ้า                          ชมดาว

แสงระยิบระยับแพรวพราว               เลิศล้ำ

นำทางส่องหนหาว                             ยามดึก  ดื่นแฮ

ไกลกว่าไกลเยือนย้ำ                            ตลอดห้วงทุกกาล

๏ เจดีย์ทอดน่านน้ำ                             แสงเงา

เดือนเด่นฉายบนเนา                          แนบฟ้า

ราวจักแข่งขันเอา                                ศิลปะ

ดุจโลกทิพย์ลอยหล้า                           แนบพื้นลงดิน

๏ ยลยินอำนาจบ้า                                ครองใคร

มีลับลมคมใน                                       นอกเนื้อ

อำพรางล่อลวงใจ                                หวาดหวั่น

มิตรศัตรูงาดเงื้อ                                   หอกจี้คอหอย

๏ ลอยลมหอบหิ้วรัก                           ลงมา

สุขนักหัวใจครา                                   ชื่นชี้

ราวรักที่แสวงหา                                  ยืนมั่น

ตราบชั่วชีวิตนี้                                     ไป่ร้างจางหาย

๏ ดาวพรายไยเร่าร้อน                        เกินฝัน

พระธาตุแตกหักพลัน                         เสื่อมสิ้น

อำนาจบ่อาจบัน-                  ทึกเกียรติ เสมอแล

มีรักยังดับดิ้น                                        พรากชู้แรมไกล

๏ สรรพสิ่งในโลกหล้า                      แปรผัน

บ่อาจคงทนทัน                                    ชั่วฟ้า

กำหนดไม่ได้วัน                                  คืนดับ ม้วยแฮ

มีแต่ธรรมเชิดหน้า                              แม่นแล้วความดีฯ

............................(5.สุรมนตรี)...........................

 

จินตนาการ (6.ชิววิชญ์)

 

๏ กลับปฐพีคว่ำท้อง                      หน้าหงาย 

พลิกร่องนาวาพราย                       พร่าได้

พายุเป่าปัดกราย                            บ่พร่อง

ไฟบ่อาจมอดไหม้                         ห่อนรู้จักจริง

ยกภูมีใส่ไว้                                 ในหัตถ์

ปั้นห่าฝนแล้วปัด                          เป่าพลิ้ว

แรงลมบ่แรงทัด                           ปากเป่า

เพียงแค่เตโชกริ้ว                          บ่สู้ดัชนี

บีบน้ำจากแพร่งฟ้า                  มากิน

บากบั่นพลิกชั้นดิน                       คั่นเกล้า

พายุเร่งโรยริน                              หมดเล่ห์

แหวกผ่าไฟด้วยพร้า                      ดั่งเนื้อแล่เอย

เฝ้าวนเวียนพร่ำเพ้อ                  ในจินต์

เฝ้าพร่ำเพรียกสุบิณฑ์                     ห่อนได้

เฝ้าแหวกเลี่ยงเบี่ยงตฤณ                 เลาะล่อง

เฝ้าร่ำร้องแต่ไร้                            บ่ได้ใช้จินต์

คิดพินิจไตร่ไว้                        ในหัว

แล้วปล่อยจิตปล่อยตัว                     พร่ำได้

ความคิดล่องมัวซัว                        ร่อนเร่

คิดบ่อาจกั้นได้                              ดั่งนั้นปล่อยตาม

๏ จินต์นั้นจักเร่งสร้าง                   สิ่งแปลก

สิ่งที่เกิดขึ้นแรก                            นั่นไซร้

หากบ่ปล่อยจินต์แหวก                   ออกล่า

จักบ่เกิดใหม่ได้                             ดั่งนี้จึ่งจินต์

จินต์จลจินต์บ่ได้                       กังวล

เร่งเร่งจินต์แต่จน                          ข่อนเศร้า

จินต์ได้บ่เวียนวน                          เริงร่า

จินต์อย่ารีบเร่งเร้า                         ปรี่ด้วยเปรมปรีดิ์

 

ตั้งจิตคิดเร่งได้                        ในความ

จึ่งค่อยเลียบเลาะตาม                     ร่างไว้

ค่อยเร่งที่จินต์งาม                         ชื่นมื่น

จินต์เร่งจินต์จักได้                         รื่นด้วยแรงจินต์ฯ

...........................(6.ชิววิชญ์)..............................

 

จินตนาการของตัวประกัน (7.เหนือชาย)

 

๏ ยื้อประโยชน์เพื่อพ้อง                 พวกเพลิน
กฎหมู่มากดำเนิน                        ห่อนยั้ง
ปิดถนนปิดทางเดิน                      ทางด่วน
ตัดขาดสัญจรทั้ง                           บกน้ำรถเรือ

เพื่อสำเร็จเสร็จซึ้ง                       สมหวัง
รวมพรรคเสริมพลัง                     เรียกร้อง
หยุดรถหยุดประดัง                       หยุดวิ่ง
หยุดรับส่งพร่ำฟ้อง                       ใฝ่ขย้ำยุติธรรม
อัมพาตจอดนิ่งนั้น                      รถไฟ
เรือหยุดข้ามชลาลัย                       เอ่ยอ้าง
เพื่อประสิทธิ์สมใจ                       จากร่ำ  ร้องแล
ปวงไพร่ขมจิตค้าง                        ขื่นข้องครวญถวิล
สิ้นไมตรีเริศร้าง                          เลือนสมาน
ยึดท่าอากาศยาน                            อย่าใช้
โลกง่อยปล่อยพิการ                       กัดกร่อน
เศรษฐกิจจักล่มไร้                         ปากร้องช่างมัน
กดดันเดินหน้ามุ่ง                       หมายชัย
ต่างฝ่ายอ้างไผท                            เทิดหล้า
ถูกผิดมิคิดไกล                              เกินศอก
คำสะกด"ขายหน้า"                       บ่รู้ชมชัว
ตัวประกันกลัดกลุ้ม                     กุมกมล
จำข่มยอมจำนน                            คาบนั้น
ทุกครั้งทุกคราผล-                         ลัพธ์สาด   ใส่เฮย 
ผองไพร่สุดอัดอั้น                         อัดอึ้งเอือมระอา
อย่าเลยอย่าจับข้า                          ลงทัณฑ์
กุมกักเป็นประกัน                         เก็บเรื้อ
พูนพิษพอกประชัน                      ชาติป่วย  เจ็บแล
ฤามิใช่ชนเชื้อ                              เลือดเนื้อเดียวไฉนฯ

.......................(7.เหนือชาย)..................................

 

ทางชัน (8.ชาญสมร)

 

๏ ทางชันสกัดกั้น                            กันทาง
สูงเสียดเบียดคัคนางค์                     ทึบสิ้น
ข้ามฝั่งที่ทอดขวาง                          ฝ่าขวาก  หินแฮ
อาบเหงื่อมิยอมดิ้น                         ดุ่มหน้ากล้าจรัล

ทางชันทุกช่วงชั้น                        อันตราย
ระมัดระวังกาย                              เกาะไว้
ถึงยอดใช่จุดหมาย                          หมอบอยู่
ลงอีกซีกด้านได้                             ดื่มปลื้มเปรมขวัญ

๏ ทางชันผันผ่านแล้ว                       ปลอดภัย
ระหว่างทางห่อนใส                       อะเคื้อ
ตีนมือร่วมมัดใจ                             จดจ่อ
คะค่อยถนอมเนื้อ                           รอดพ้นคมหิน

๏ เนื้อวิ่นบังเกิดริ้ว                           รอยแผล
หินครูดขูดร่างแล                           เลือดย้อย
หากจิตมิคิดแปร                             เต็มเปี่ยม  มุ่งนอ
ถึงถิ่นแผ่นดินพร้อย                       เพริศพร้อมพลังใจ

๏ ทางชันใดจักกั้น                           นิรันดร
ต่อสิบแสนสิงขร                           สอดไขว้
ยังชีพบ่สูญมรณ์                            หมายมุ่ง  ข้ามแล
เพลงโหดจักโหยไห้                       เฉพาะผู้คอยหวัง

ทุกข์ยังละล่วงได้                           โดยเพียร
อุปสรรคจักถูกเจียน                        จากหล้า
บากบั่นมั่นระเมียร                        ละม่อม  มือเฮย
คือสูตรสำเร็จจ้า                             เจิดแจ้งความจริงฯ

...........................(8.ชาญสมร)............................

 

เอา (9.ณอนไณ)

 

๏ เอาโลกเป็นรั้วปัก                        ปันแดน
เอาเล่ห์มาเป็นแกน                        โอบล้อม
เอาพวกประชุมแผน                      วางถล่ม
เอาไพร่มาแห่ห้อม                        ฮึกห้าวทุกฤดู

๏ เอากฎหมู่ขู่ขึ้ง                             ตึงตัง
เอาเครื่องสูงมาบัง                         บดเคี้ยว
เอาความเกลียดชิงชัง                     เชิดใส่
เอาอำนาจกราดเกรี้ยว                     ก่อนนั้นทวงคืน

๏ เอาความขื่นเครียดเคล้า                 เนาแทรก
เอารักมาแบ่งแยก                          ย่ำขยี้
เอาความเท็จหลอกแลก                  เรือนอู่  นอนนา
เอาส่ำเสียงสั่งชี้                            เฉกนิ้วนำไป

๏ เอาจริงใจไว้แอบ                          ซ่อนหา
เอาเน่าหนอนตะลอนมา                บ่อนไส้
เอาประเทศนำพา                          โลกหมิ่น
เอาศรัทธาชาติไว้                           ใต้น้ำใจดำ

๏ เอากำลังทรัพย์ซื้อ                        ทุจริต
เอาประโยชน์ผลผลิต                     พวกพ้อง
เอาเสี้ยวเศษทานปิด                       ปากไพร่
เอาสรรพเสียงแซ่ซ้อง                    สู่ห้วงโหยหวน

เอารอยสรวลส่งยิ้ม                      พิมพ์ใจ
เอากลับมาละไม                           มาดพริ้ม
เอาสามัคคีไพ-                              สิฐสู่  ถิ่นเฮย
เอาร่างเจ้ามาลิ้ม                            รสรื้นในตะรางฯ

................................(9.ณอนไณ)...........................

 

จินตนาการแห่งสัมปรายภพ (10.ปัญจาลนคร)

 

๑.  จินตนาการแห่งทิพยภูมิ

๏ ในวิมานมาศแม้น                           เมืองสวรรค์

มีอัปสรรังสรรค์                                   เลิศสล้าง

สวมเทริดทับทรวงสุวรรณ                 ฟ้อนร่าย รำเอย

เยียรบับจับจีบข้าง                                เลื่อมล้วนมณีฉาย

๏ ยินเสียงเพียงเทพไท้                       บรรเลง

หวานแว่วกังวานเพลง                       ผ่านฟ้า

คนธรรพ์กรีดพิณเอง                          อวยกล่อม กันแล

สังข์ปี่เป่าเห่ช้า                                     ชดช้อยชวนฟัง

๏ อาภรณ์พัสตร์ห่มผ้า                        ดิ้นทอง

ดารดาษมณีกอง                                   เกลื่อนหล้า

อบพรำร่ำละออง                                 สุคนธ์กลิ่น กรุ่นเอย

กระแจะแตะแต้มหน้า                        หยาดฟ้าอร่ามสรวง

๒.  จินตนาการแห่งนรกภูมิ

๏ ในดินแดนภพพื้น                           อเวจี

มียักษ์อสุรี                                             โหดเหี้ยม

สวมเกราะกระดูกผี                             กระบองเหวี่ยง กระหวัดเฮย

คอยส่งหอกเสียบเสี้ยม                       เลือดข้นกระเซ็นไหล

๏ ยินเสียงเยี่ยงสัตว์ร้อง                     โหยหวน

คลอแว่ววังเวงครวญ                           แทบบ้า

จ้วงมีดกรีดเจ็บจวน                             เจียนขาด ใจนอ

เสียงฟาดเปิงมางช้า                            เชือดย้ำชวนสยอง

๏ ทุกตนนุ่งเตี่ยวผ้า                             สาบเหม็น

เปื้อนเปรอะเลือดกระเด็น                 ดิบด้าน

โชยกลิ่นกระดูกเอ็น                           เอียนอบ อ้าวแฮ

ปูนแตะหมายหัวคว้าน                       ขาดสิ้นมลายสูญ

๓.  ทางเลือกแห่งมวลมนุษย์

๏ เราเลือกเกิดห่อนได้                        ดังหวัง

แต่เลือกทางชีพยัง                               อยู่ได้

บั้นปลายเมื่อเอวัง                                กำหนด เองนา

สองภพดังว่าไซร้                                 สิ่งสร้างรอสนอง

๏ โอ้มนุษย์แม้นเกิดแล้ว                    ใคร่ครวญ

อย่าโลภหลงรัญจวน                           สิ่งเย้า

ก่อกรรมบาปย่อมหวน                       ส่งสู่ นรกแล

ประกอบกรรมดีเร้า                             เร่งขึ้นสรวงสวรรค์ฯ

...........................(10.ปัญจาลนคร)........................

 

สวรรค์บนดิน (11.ธันวันตรี)

 

สายรุ้งคำนับโค้ง                      ภูไพร

สินธุกรูกระแสใส                       จูบพื้น

ส่ำสัตว์ดาษดื่นไป                         ทั่วป่า                         

สินทรัพย์สมบูรณ์ชื้น                      ชุ่มน้ำทำกิน

๏ อินทรีสอดส่องคุ้ม                      ครองหาว

กาต่างมีสีขาว                                ผ่องแผ้ว  

เขาชวาโฉบเฉี่ยวดาว                     สันติ               

พิราบขาวผงาดแกล้ว                      กู่ก้องพสุธา

๏ ชาวประชากินอยู่เข้ม                 แข็งกัน

การเกษตรรังสรรค์                        รุ่งเรื้อง

ผลผลิตต่างแบ่งปัน                          บริโภค

“เศรษฐกิจพอเพียง” เบื้อง               บาทไท้นำทาง                  

๏ โบสถ์วิหารปรางค์สถูปป้อม        โอฬาร

ระบำเล่นรำขับขาน                       ครึกครื้น

วรรณศิลป์กล่อมวิญญาณ                วิเศษยิ่ง

ศิลปะศิลปินฟื้น                           เฟื่องฟุ้งเฉลิมขวัญ

๏ ทุกวันทุกทุกบ้าน                      ทำดี

ทุกถิ่นศีลธรรมมี                          มากล้น

ทุกศาสน์พิสุทธิ์ศรี                        สมบ่ม บุญเฮย                                 

ทุกมนุษย์ต่างหลุดพ้น                    ทุกข์ร้ายทุกประการ
๏ สื่อสารส่งดอกไม้                      เจรจา                      

สัตย์มั่นเหมือนภูผา                       สง่าถ้วน

“ปรองดอง” ทั่วพารา                     สงบทั่ว                                               

ยิ้มระรื่นเย็นชื่นล้วน                     รอบทั้งธรณิน                 

๏ ธรณินจรัสจ้า                           จักรวาล

ทุกมิติบูรณาการ                           เด่นด้าว

ธรรมชาติโยงผสาน                    สู่สม-ดุลแฮ

แลเลิศเจิดอะคร้าว                        เปรียบคล้ายพิมานแมน          

๏ พิมานแสนสุขนี้                       ใครสรรค์

ฤๅแค่เพียงความฝัน                       ใฝ่ฟ้า

ฤๅเราร่วมมือกัน                           หมายมั่น

สร้างสวรรค์สู่หล้า                        สุขหล้าแหล่งสยามฯ

.............................(11.ธันวันตรี)................................

 

สุดสะพาน (12.ชารี)

 

๏ ข้ามสะพานชีพคล้อย                    คล้อยวัย
หน้าที่คือธรรมใส                          สว่างแท้
เผื่อแผ่มนุษย์ไม-                            ตรีมอบ  มั่นเฮย
โลกชื่นชีวิตแปล้                            เปี่ยมล้นราศี

ช่วงแรกชีวิตขึ้น                           คอสะพาน
เหยาะย่างรอทะยาน                      ย่ำหล้า
หมายมั่นมุ่งกรำงาน                       สร้างโลก
สบสิ่งประจันหน้า                         รสรู้เริงสนอง

๏ ช่วงสองชีวิตก้าว                          กลางสะพาน
เพาะบ่มประสบการณ์                    เกี่ยวข้อง
ถึงจุดแจ่มสมาน                             วัยมั่น
กรรมก่อประกอบคล้อง                   ฝ่าโค้งขวากหนาม

๏ ช่วงสามชีวิตรู้                              ลงสะพาน
รอยเหี่ยวย่นสังขาร                         ขื่นซ้ำ
โรคภัยเพียบคอยผลาญ                    รานชีพ
จดอดีตจารึกย้ำ                               ฝากไว้ชั่วดี

๏ สะพานชีวิตก้าว                           สุดสาย  ตาเฮย
แต่ละชีพสุขสบาย                          มากครั้ง
เคล้าทุกข์เทวษกาย                          ใจยิ่ง  มากแฮ
สู้ต่ออย่าหยุดยั้ง                              ตราบสิ้นสังขาร

๏ สุดสะพานสุดสิ้น                      สรรพางค์
อดีตเด่นมิเว้นวาง                           วากย์ซ้อง
ฤาจักถูกถากถาง                             ถุยถ่ม
ความประพฤติจักฟ้อง                     ฝากไว้ในสกลฯ

..................................(12.ชารี)..........................

 

อมตะ (13.วิทย์ ศิริ)

 

(๑) มิติที่ซ่อนเร้น                                จินตนา

มนุษย์สุดบูชา                                       อยากได้

ไกลพ้นกว่าตำรา                                  กำหนด  จิตใคร่

อมตะนั้นแน่ไซร้                                 โลกนี้มีฤา

(๒) ด้วยยึดติดสุขแท้                          หลงผิด

โทษที่ไม่ยั้งคิด                                     ไป่สิ้น

ลวงกระทั่งดวงจิต                               ฝืนกฎ

เจตคติที่ปล้อนปลิ้น                             ปล่อยให้ลุ่มหลง

(๓) เหตุยึดถือต่อสู้                              ความตาย

คนย่อมเล็งมั่นหมาย                           หยุดยั้ง

สร้างอวัยวะปลูกถ่าย                           อมตะ สัมฤทธิ์

ล้วนประดิษฐ์ฉุดรั้ง                             อยู่ค้ำฟ้าดิน

(๔) หากอยู่ยงภพย้ำ                           จีรัง

ทุกสิ่งสิ้นมนต์ขลัง                              เคลื่อนพ้น

ไม่เห็นซึ่งความหวัง                           เกิดใหม่ ท้าทาย

เหตุที่เคยท่วมท้น                               จบแท้วังเวง

(๕) มีชีวิตอยู่ค้ำ                                   นานปี

บาปทุกข์ชั่วเลวดี                                ค่าไร้

หมายมั่นจบเสียที                                วัฏจักร   ธรรมชาติ

หากกบฏต่อโลกไซร้                           สุดท้ายใจชา

(๖) เพราะอัตตานั่นแล้                       อนัตตา

ทุกข์ยิ่งใหญ่ตามมา                             บ่งชี้

หายนะแห่งวิญญา                              จุดจบ

ชีวิตเป็นเช่นนี้                                     ไม่พ้นสัจธรรมฯ

........................(13.วิทย์ ศิริ).............................

 

พรุ่งนี้ฉันจะมีขา (14.คอนพูทน)

 

๏ สวรรค์เวียงเรียงสว่างเวิ้ง             เรืองสุวรรณ

หยาดทิพย์เพลงคนธรรพ์                 แว่วสะท้อน

สังคีตเสก..รังสรรค์                         ผสานกล่อม

นภาพร่าง ”นางฟ้า” ฟ้อน               ร่ายฟ้อนสลอนสลวย

รวยระรินหอมกลิ่นล้วน             พิลาสพิไล

จรุงแจ่ม..ทุกซอก..ใจ                      กระจ่างจ้า

สมถวิล..ที่หวัง..ไสว                       ศรีสวัสดิ์

ชะตาลิขิต..ชีวิต..ล้า                        ชื่นล้ำฤทัยหลาย

ตะวันฉายแดดอ่อนเช้า                อรุณเชิญ

จะ..”ค่อยค่อย”..ก้าวเดิน                  ย่างเยื้อง

สุขาวดี..กี่โขดเขิน                           พยุบาท

แดนพิพัฒน์เจิดจรัสเรื้อง                 รุ่งแจ้งรอเจอ

ชวนเธอ..เถิดนั่งท้าย                   จักรยาน

จะปั่นพา..ชม..วิมาน                      เมฆคล้อย

ใดวิจิตร..ทั่วทิศสถาน                      ปริทัศน์

ดาวเกี่ยวมอบกลอยก้อย                    ช่อแก้ววันสกาว

มโนคติ..คราวบ่อยเคลิ้ม              หลายครา

อยาก “เตะบอล” ตุงตา                    ข่ายบ้าง

หนังสือ..ใคร่ศึกษา                         เขียนอ่าน

เพียงสิ่ง..จินตนาสล้าง                    ลับแข้งรอประเคน

๏ เวรกรรม..ใดสร้างก่อ                  พิการกาย

คนค่า..อย่าคลอนคลาย                    เพิ่มข้น

จงหมาย..มั่น..ในหมาย                   ดีมุ่ง  ทำแม่

หอมล่วง..โปรยโรยล้น                   หลับเคล้าสราญคลอ

๏ ”พรุ่งนี้...หนอ...พรุ่งนี้”             สนานสนอง

ขวัญมิ่งฟ้า..เรืองรอง                       อร่ามเจ้า

ขาเทียมพระราชทานผอง                ผู้พิ  การแฮ

“ทรงพระเจริญ” เทิดเกล้า                กราบฟ้าสยามขวัญฯ

................................(14.คอนพูทน)..........................

 

จินตการแสนสุขคณานับ กับ ความเป็นจริงแสนเจ็บปวด (15.สิชล)

๑...

๏ เพลงสันติภาพพร้อง                                      ผสานเสียง                           

หวานแว่วสื่อสำเนียง                                          เสนาะซึ้ง

ตรึงมานซาบซ่านเพียง                                       ทิพย์พร่าง- พรมฤๅ

ขับกล่อมเกลาก้นบึ้ง                                           แห่งห้วงหทัยสยาม

๏ ความรักหอมตรลบฟุ้ง                                   ฟ้าดิน

รมย์รื่นไร้ราคิน                                                    สุขสร้าง

ช่วยชูชุบชีวิน                                                       ชื่นชาติ- ชนแฮ

อกประเทศเทวษร้าง                                           ทุกข์ร้ายมลายสูญ

๏ เจิดจรูญจรัสแจ้ง                                              แสงธรรม

สุกสว่างส่องทางนำ                                            พิศุทธิ์แผ้ว

เผากองกิเลสกรรม                                              กอปรก่อ กุศลนา

ผืนภพเพริศพร่างแพร้ว                                     ผ่องเพี้ยงภูมิพรหม

๏ ความเกลียวกลมหลั่งล้น                                ชลธี                       

เย็นหยาดสามัคคี                                               โอบเอื้อ

อมฤตมิตรไมตรี                                                   เลี้ยงหล่อ โลกเอย

พันธุ์พฤกษ์การกูลเกื้อ                                        แกร่งกล้าผลิตผล

 

๒...

๏ ปวงชนบรรลุซึ้ง                                              สัจจา

ปลงปลดปล่อยอัตตา                                           ปลาตสิ้น

หมายมั่นมุ่งมรรคา                                             ข้ามโอฆ- นทีนอ

ไร้เล่ห์หลากลมลิ้น                                              หลุดพ้นภาพลวง

๏ สลัดบ่วงวรรณะเชื้อ                                       ชั้นชน

เทิดค่าความเป็นคน                                             คู่แคว้น

สิทธิทั่วทุกหน                                                      เทียมเท่า

อิ่มสุขเสมือนแม้น                                              อยู่ด้าวแดนสวรรค์                              

 

 

๓...

๏ ฉับพลัน “ฝัน” หลุดห้วง                                จินตนา

ยินแต่เพลงโศกา                                                  ร่ำไห้

ขาดรักขาดธรรมา                                                ขาดมิ่ง มิตรเอย  

ขุมนรกร้อนหมกไหม้                                        มากแท้อยุติธรรม                                

๏ สำลักความทุกข์ท้น                                         ท่วมไผท

เลือดแตกสีต่างไป                                               แบ่งข้าง

พิบัติเพิ่มโพยภัย                                                  พิษพอก- พูนพ่อ

กี่กัปกัลป์ฤๅร้าง                                                    ห่างพ้นอาถรรพ์ฯ

................................(15.สิชล).....................................

 

จินตนา..ดอกไม้ (16.ภัทราจิตร)

 

๏ พันธุ์พฤกษาดอกไม้                    มาลี

บานเบ่งหลากหลายสี                   สดแต้ม

ประดับปฐพี                                   ผุดผ่อง   

พิศเพ่งเพลินแฉล้ม                         โลกนี้งามหนอ

๏ ธรรมชาติแช่มช้อย                     ชวนชม

พิสุทธิ์พิเศษสม                              กลีบซ้อน             

น้ำค้างหยดพร่างพรม                     หยดพร่าง

แดดอ่อนส่องสะท้อน                       ทาบให้หยดวาว

๏ วาวหยดเกาะเกล็ดแก้ว                 แวววับ

จับจิตดวงใจจับ                                 ดอกเจ้า

ช่อยอดระยิบระยับ                           ยังช่อ

แสงรุ่งดรุณเช้า                                ยั่วยิ้มยามยล

๏ ผึ้งหนอช่างชอบไล้                     ดมดอม

เคล้ากลิ่นผกาหอม                          ยอดแก้ว

ลิ้มรสมิอดออม                                 เอมอิ่ม

เก็บเกี่ยวเอาหวานแล้ว                     เร่งสร้างรวงหวาน

หอมหวนป็นหยดผึ้ง                    รวงรัง

แลลึกจากเบื้องหลัง                          นึกให้

หวานสุดดุจดังหวัง                          หวานนัก นั่นฤๅ

ใช่จากผึ้งเองไซร้                            จากเจ้าช่อมาลี

๏ จินตนาภาพแล้ว                           ชวนคิด

ทุกสิ่งผูกพันติด                                ก่อเกื้อ

เทียบดั่งต่างใจจิต                              หนุนเนื่อง นานา

โลกจึ่งจักอะเคื้อ                               คู่ฟ้าสถาพรฯ

........................(16.ภัทราจิตร).........................

 

จินตนาการ “ก่อนเขียน” (17.คันจน)

 

๏ คิดครวญครวญคิดข้อ                   คมคำ

ร่ายเล่นเล่นร่ายรำ                          ร่วมร้อย

น้อยนิดนิดน้อยนำ                         นั่งนึก  หน่อยนา

หยาดหยดหยดหยาดย้อย                 ยืดเยื้อยองใย

๏ เขียนบทจดจับจ้อง                       มองนาน

ครวญคิดจิตกรรมการ                      อ่านไส้

มองหาว่าวิญญาณ                          การตัด  สินเอย

จะแอ่นแล่นลื่นไร้                          ไม่แท้เทียงตรง

๏ สมาคมห่มไว้                               ในคน

มัวแต่มองของตน                            ป่นปี้

มีไหมครับสับสน                            จนอยาก  รู้เอย

เพียงนั่งคิดจิตนี้                               ที่เฝ้านึกดู

๏ หรือตัดคอยคัดไว้                        ในความ  คุ้นเอย

คงเลี่ยงมองเพียงนาม                     พล่ามยั้ง

เลียนลอกที่บอกถาม                       ตามต่อ   กันเอย

นั่งนึกลองตรึกตั้ง                          ดั่งผู้ลองเรียน

๏ คงตั้งตรงต่อข้อ                             กติกา

คงไม่มีใครมา                                  คดเคี้ยว

คงตามแต่เนื้อหา                              ที่เด่น   ด้อยเอย

คงมั่นไม่ลดเลี้ยว                              เล่นเส้นสายกัน

๏ วาดฝันอันก่อนได้                       ทายใจ

ถึงจิตกรรมการใน                           หลักให้

คะแนนที่เป็นไป                             สอดใส่   ลงเอย

จินตนาการไว้                                 ไม่ได้ว่าใคร....

........................... (17.คันจน).............................

 

จินตนาการ“เพ็ญเดือนสิบสอง” (18.คันจน)

 

เดือนเพ็ญลอยเด่นโอ้                 เดียวดาย

แสงส่องผ่องแพรวพราย                เพียบพร้อม

กลบแสงแห่งดาวลาย                    ริบหรี่  ลงเอย

ทั่วฟากฟ้าพาย้อม                          แต่งแต้มแสงจันทร์

๏ สองฝั่งคลองเจิ่งน้ำ                    ใสเย็น

ละลอกคลื่นกระเซ็น                   เล่นล้อ

ลมสะบัดพัดเห็น                         ดูยิ่ง  งามเอย

จันทร์เล่นร่ายเต้นป้อ                    คลุกเคล้าคลื่นลม

๏ กระทงน้อยล่องริ้ว                       เรื่อยไหล

กระทบคลื่นแกว่งไกว                      ไล่เร้น

ธูปเทียนส่องนวลใย                        ไหววูบ  วาบเอย

ระยิบระยับเต้น                               แต่งแต้มคงคา

๏ ราตรีนี้มากล้น                              มนต์ขลัง

ต้องอยู่เพียงลำพัง                             พร่ำเพ้อ

ดั่งเมฆหมอกบดบัง                           เบือนบิด  จันทร์เอย

ใจมืดมิดจิตเก้อ                                 เซ่อซ้ำกล้ำกลาย

๏ หากเธอมาชิดใกล้                       เคียงควง

จันทร์เด่นเป็นใยยวง                       หยดย้อย

ทุกสิ่งยิ่งชื่นทรวง                           แสนสุข  ใจเอย

คงอยู่ดูจันทร์คล้อย                         ลับหล้าฟ้าไกล

๏ ต้องอยู่เดียวเปลี่ยวเพ้อ                 ครวญคำ

จินตนาการนำ                              แนบเนื้อ

ลิขิตจิตจดจำ                                 ใจจ่อ  ใจเอย

มีสักวันสวรรค์เกื้อ                        ส่งให้จันทร์งาม....

............................. (18.คันจน).................................

 

จินตนาการ “หากไร้ฝนหลวง” (19.คันจน)

 

๏ สีแดงแห้งผากพื้น                         ปฐพี

ทุกหย่อมย่านย่อมมี                          ทุกข์ถ้วน

ปวงชนบ่สุขี                                    ทุกที่  ทางเอย

ทุกทุกข์ทุกที่ล้วน                              ยากแคล้นลำเค็ญ

๏ ยากเข็ญเป็นเพราะน้ำ                  ขาดคลอง

ป่าที่มีสำรอง                                  กักไว้

ถูกตัดโค่นจับจอง                           ยึดหมด   สิ้นเอย

พื้นโลกจึงต้องไร้                           ป่าไม้ปกคลุม

๏ ตกหลุมตกร่องแล้ว                       ลองแล

ทุกสิ่งยิ่งผันแปร                              บูดเบี้ยว

หากยังไม่แยแส                               คงยับ   เยินเอย

มาร่วมกันขับเขี้ยว                           ต่อต้านทำลาย

๏ ก่อนสายเกินจะแก้                       กงกรรม

อดีตควรจดจำ                                 บ่งชี้

“มายัน”นั่นควรนำ                         เป็นแบบ   อย่างเอย

ดูอย่าทุกวันนี้                                 โลกร้อนเป็นไฟ

๏ ครวญใคร่ครวญคิดข้อ                 ความจริง

เห็นสิ่งพอพึ่งพิง                           แนบข้าง

ฝนหลวงห่วงแอบอิง                      ซ่อนอยู่  คู่เอย

ฝนพ่อขอแอบอ้าง                          สิ่งให้ทดแทน

๏ ขาดแคลนถ้าอดน้ำ                       คงตาย

ทุกสิ่งอาจวอดวาย                         ล่มล้ม

ไร่สวนอาจสลาย                             ไปหมด  สิ้นเอย

จินตนาการก้ม                                เก็บข้อควรมอง....

 **มายัน หมายถึง ชาวมายันที่สาบสูญ**

…………………….(19.คันจน)………………………

 

อยู่เหนือจินตนาการ (20.เชษฐภัทร)

 

๑.นกน้อยบินทั่วฟ้า                            พลางฝัน

ตามแต่เสรีสรรค์                                  เสกสร้าง
เหนือใต้ออกตกวัน                              เวียนเปลี่ยน

วาดเขตผืนฟ้ากว้าง                              เกิดด้วยปีกบิน

๒.เหนือจินตนภาพห้วง                    หัวใจ มนุษย์เนอ

ประวัติศาสตร์แต่งแต้มนัย                นับย้ำ

ขีดชาติขีดศาสน์ไข                              คามเขต

แล้วรบราฆ่าห้ำ-                                  หั่นเหี้ยนเวียนหัว

๓.ตัวนกบินผ่านย้อน                         ยูนนาน

เหนือเหตุจินตนาการ                         เกลื่อนพื้น
จงกั๋ว ชาติ ฮั่นขาน                              คะนองเข่น ฆ่าเฮย

หวังผนวกไตก็สะอื้น                          สะอึกร้องคร่ำครวญ

๔.ทวนลมบินเยี่ยมท้อง                     ถิ่นลาว

กระพือปีกเหนือเลือดคาว                  คละคลุ้ง

ลาว ม้ง ถูก ฝรั่ง ฉาว                          เฉือนเชือด

ปล้นฆ่าข่มขืนฟุ้ง-                               เฟะอ้างศิวิไลซ์

๕.ไปทิศตะวันตกร้อง                        รัฐฉาน
ไตใหญ่ไตลื้อชาญ                               เชี่ยวสู้

อิสระภาพบันดาล                               ดึงส่ง

เอกราชประกาศกู้                                กึกก้องตองยี

 ๖.บินหนีลงใต้ถิ่น                              ล้านนา
ใต้ปีกประวัติศาสตร์ปรา
-                   กฏจ้อง

เจียงใหม่หลีกย้ายจา-                          รึกเขต นครเฮย

ไท พม่าผลัดผนวกต้อง                      ต่อสู้สองนคร

 ๗.ตอนหงสาบุกสู้                              ไม่หนี

เพื่อเกียรติอยุธยาศรี                            ศักดิ์ซึ้ง

หมดศึกพม่าบุกตี                                  เขมรต่อ ญวนเฮย

บุกทิศใต้ยึดทึ้ง                                      ทั่วทั้งมลายู

๘.สูสีจินตนภาพสร้าง                       ประวัติศาสตร์

ทั้งปัตตานีวาด                                      ภาพไว้
นครศรีพระธรรมราช                         ฤทธิเดช

หลอมหล่อผู้คนใช้                              เชือดเนื้อเถือลง

๙.คงละเบงด้วยเลือดเอื้อ                   อำนวย
ขีดระเบียบรัฐชาติสวย                        ศาสน์อ้าง

จริงเกิดทรัพย์สินรวย                          บางขณะ

หลายขณะก็วิบัติสร้าง                        ศึกร้อยหมื่นหน

 ๑๐.บนฟ้ากว้างกว่ากว้าง                  วิหกบิน
สูงส่งเหนือแผ่นดิน                            ทุกผู้
อยู่เหนือทุกดวงจินต
-                         นาแห่ง มนุษย์เฮย

ย่อมเกิดอิสระรู้                                    สุขซึ้งมหาศาลฯ

...........................(20.เชษฐภัทร)........................

 

จินตนาการ (ฝันก็ฝันแค่เช้า) (21.วันฟ้าใหม่)

 

๏ นกราตรีมีอยู่ฟ้า                               โบยบิน

มัจฉาอยู่วารินทร์                                คู่น้ำ

งดงามอยู่ในจิน-                                  ตะนาแห่ง  ฝันเฮย

สายลมโชยบ่ช้ำ                                   ชอกเนื้อนวลเย็น

๏ วิ่งพรางดำเนินก้าว                        เยื้องกาย

เอื้อนเสียงร้องทักทาย                         เพื่อนพ้อง

ผองเพื่อนส่งคำร่าย                             สดับ  ฟังนา

หรีดหริ่งเรไรร้อง                               กู่ก้องพนมไพร

เก็บปีกสกุณาได้                               เคียงหาง สวมใส่

ถลาบินขึ้นเหนือทาง                          ต่ำใต้

เหินหาวที่เบาบาง                                มุดเมฆ

ยินเสียงปี่แตรสังข์ให้                         อภิรมย์

๏ ทิพยดนตรีซร้อง                              แซ่ฟ้า

หนุนนิ่งแน่บเมฆา                              หลับใหล

ซบซ่อนนอนนิทรา                             เก็บปีก หางแล

เปี่ยมสุขหาใดได้                                  ไป่ให้เหมือนมี

๏ ยินเสียงเหมือนมีผู้                          ทักทาย เรานา

แว่วแว่วปนลมพราย                           ผ่านใกล้

นั่นเสียงแห่งผู้ฉาย                              แสงส่อง รัตติกาล

จันทร์เจ้าขามาบอกให้                        สว่างแล้วลาจร

๏ ดวงดาวลอยเลื่อนฟ้า                      ราแสง

ไก่ฟ้าขันสำแดง                                   เสียงแจ้ว

แสงทองทอเจิดแจ้ง                             จัดแจ่ม  ฟ้าแน

สติบอกต้องตื่นแล้ว                             จึ่งแคล้วนิทรา

๏ เอื่อมหาปีกหางหั้น                         ใกล้ตัว

ควานคว้าหาไปทั่ว                               บ่ได้

ลุกยืนเหยียดยันตัว                              ทรงอยู่ ตรงนา

โอ้ว่าเราอยู่ใต้                                       แผ่นฟ้าฤาจริง

 

๏ ปีกหางนั่นแค่เพี้ยง                         เพียงฝัน ไปเฮย

สายตาแลลงพรัน                                เห็นเท้า

ก้าวย่างพาชีวัน                                    ขันแข่ง โลกเนอ

ฝันก็ฝันแค่เช้า                                      ตื่นเฝ้าความจริงฯ

.........................(21.วันฟ้าใหม่)...........................

 

จินตนาการ (22.มณฑป)

 

๏ ภพใดฤๅส่งให้                                 เกิดมา

ในร่างคนธรรมดา                               เช่นนี้

สรีระกอปร์กายา                                  ดาษดื่น    โลกเฮย

แปลกแค่จิตลับลี้                                  ซ่อนซ้อนเกินเห็น

๏ เป็นมนุษย์เลิศสุดแล้ว                    ชีวัน นี้แล

สรรพสิ่งนับเอนกอนันต์                   แหล่งหล้า

กินนอนถ่ายสืบพันธุ์                          เพลินอยู่

จิตที่ครองกลับกล้า                              หลบเลี้ยวโลดเถลิง

๏ สำราญเริงท่องฟ้า                           บาดาล

วาบวับจินตนาการ                               เพริศพร้อย

ซอกซอนทั่วถิ่นฐาน                           สามโลก

ถึงโซ่ตรวนตามร้อย                            สุดกั้นกีดขวาง

๏ วาดวางอนาคตได้                            จากจินต์

ดลดุจองค์อมรินทร์                             แต่งแต้ม

ทุกข์สุขส่งใจถวิล                               ปรุงเปลี่ยน   แปลงแฮ

ทะลุผ่านมิติแง้ม                                  ว่ายเวิ้งนิรันดร

๏ มีสังวรเหนี่ยวรั้ง                             จินตนาฯ

กำหนดเขตมรรคา                               มุ่งสร้าง

ผิดชอบชั่วดีพา                                     ฝันเฟื่อง   ฟูเฮย

หากแต่ธรรมนำข้าง                            แบ่งให้เห็นงาม

๏ ความดีดีอยู่ด้วย                                ความดี

ความคิดคิดผิดมี                                   เกิดได้

ความชอบติดรูปสี                                รส-กลิ่น   เสียงแล

ความชั่วโฉดอาจใช้                             ร่างร้ายใจแสลง

๏ สำแดงจินต์บ่มรั้ง                            อาการ

สรรค์ส่งเสริมวิญญาณ                       ผ่องแผ้ว

สุดฟ้าสุดบาดาล                                   ไตรจักร   ภพฤๅ

คิดถูกชอบดีแล้ว                                  จึ่งร้อยเรียงเสนอ ๚

............................(22.มณฑป).............................

 

ใช้จินตนาการ (23.อดิศร)

 

๏ อ่านบันทึกเรื่องคล้าย                          บทกวี    เก่าก่อน

สืบต่อโดยคัมภีร์                                       ถ่องแท้

ความนัยบ่งพาที                                       เริ่มแรก   โลกกาล

พึงอ่านด้วยจิตแม้                                     ยากเข้าหยั่งถึง 

ความมืดมิดปกฟ้า                                   ห่มดิน

ล้วนว่างเว้นชีวิน                                      ก่อนหน้า

สรรพ(ะ)สิ่งผกผิน                                    แปรเปลี่ยน   แล้วนา

แสงเริ่มส่องจากฟ้า                                   สู่พื้นแผ่นดิน

ยามเมื่อเกิดสว่างแจ้ง                             นั้นดี

เริ่มแบ่งแยกให้มี                                      บัดนั้น

ยามฟ้าส่องสว่างสี                                    เรียกว่า      กลางวัน

มืดมิดมาแล้วครั้น                                     มืดนั้นกลางคืน  

๏ ผืนธาราแผ่นน้ำ                                   สีคราม

มวลมัจฉางดงาม                                      แหวกหว้าย

หลากสีสดเวียนตาม                                   แรงคลื่น    ซัดมา

ล้วนแปลกอย่างสรรสร้าง                      แปลกแท้ฤาจริง

ผืนแผ่นดินป่าไม้                                 ผลิดอก

มวลเหล่าสกุนต์ออก                                  ร่ำร้อง

ยวลเย้ายั่วยิ่งหยอก                                    โชยชื่น    รื่นรมย์

สัตวใหญ่น้อยกู่ก้อง                                   พรั่งพร้อมอวดองค์             

ท้องฟ้ากว้างปกคลุม                              เวหา

ประสมด้วยเมฆา                                      แต่งแต้ม

โผผินผ่านโพ้นพนา                                  ข้ามแผ่น   ผืนฟ้า

งามดั่งอัปสรแย้ม                                     ร่อนข้ามสรวงสวรรค์

อันมนุษย์ดั่งไซร้                                  ใครหนา

หรือดั่งเฉกสัตว์ครา                                   โคร่รู้

หรือกรรมเก่าสร้างมา                                ภพก่อน     นี้แล

หรือพระเจ้าเป็นผู้                                     ดุจสร้างก่อนกาล

ความนัยจัดจดไว้                                  คำภีร์

ตกแต่งด้วย  วลี                                        จิตไซร้

ใช้จินต(ะ)นามี                                        คาดรู้  คิดเอา

อธิบายธรรมไว้                                        ยากแท้ง่ายลงฯ

................................(23.อดิศร).................................

 

จินตนานุภาพ (24.ชญมน)

 

๏ คืนแรมเรืองแจ่มด้วย                 ดวงดาว

ลางพร่าลางพร่างวาว                     วับฟ้า

ชวนนับนึกคะเนคราว                   คราหนึ่ง

กาลก่อกาลเกิดหล้า                         แหล่งเวิ้งจักรวาล

๏ โบราณฝากซากซ้อน                  แทรกหิน

บันทึกบรรพชีวิน                           มอบไว้

แนะภาพวิวัฒน์จิน-                      ตนานึก                                           

พันธุ์สัตว์พันธุ์พืชไม้                     เมื่อครั้งอดีตมา

๏ ดวงตาผู้บอดแม้                         มืดสนิท

สัมผัสลบมืดมิด                             หมดสิ้น

เสียงสดับก่อความคิด                     บังเกิด

โสตประสาทสรรค์ภาพชิ้น            เสกสร้างอย่างเห็น

๏ บีโธเฟ่นสูญสิ้นโสต                  สดับเสียง

จินตศัพท์รับเรียบเรียง                   ร่ายร้อย

รินรสดุริยางค์เพียง                        พิณทิพย์ เทพฤๅ

โหมกระหึ่มซึมเศร้าสร้อย              เสนาะเพี้ยงเสียงสวรรค์

๏ วรรณกรรมคำหยดย้อย                หยาดหวาน

คือค่าจินตนาการ                           ก่อเกื้อ

จากใจผจงจาร                               จรุงโสต        

รสคิดรสคำเอื้อ                              อาบด้วยมนต์ขลัง

๏ พลังคิดสฤษฏ์สร้าง                    ศาสตร์ศิลป์

มนุษย์มอบสู่ผืนดิน                        แผ่นฟ้า

จารึกจากแรงจิน-                            ตนาภาพ

ประดิษฐ์เพื่อประดับหล้า                โลกสิ้นสบสมัย ๚

.................................(24.ชญมน).......................

 

 “จินตนาการแห่งกวี” (25.กวีแก้ว)

 

๏ เหม่อมอง    ม่านฟ้า               ภวังค์ฝัน

จิตกวีเกินกั้น                                กักไว้

ความคิดประสิทธิ์สรรค์                  ผสมสื่อ

โลกสุนทรียะไล้                           หลั่งล้อมวิญญาณ์

๏ ยอดหญ้ากลางหย่อมหญ้า            หยัดยืน

ดั่งจิตกวีฟื้น                                 ว่ายฟ้า

เขยื้อนย่ำแผ่นพื้น                         เพื่อเพิ่ม  ประสบการณ์

เก็บเกี่ยวอย่างแกร่งกล้า                  เร่งรู้ร่ำเรียน

๏ เพียรพิศโลกหลากด้าน               ทั่วด้าว

มิหย่อนระยะก้าว                         ก่อเกื้อ

ฝ่าฝันย่อมเหน็บหนาว                  เจ็บเนื่อง

แม้นมีดกรีดเนินเนื้อ                     เลือดท้นไม่ถอย  

๏ ถากรอยทางให้มิตร                   มวลชน      

เงื่อนแง่หลากเล่ห์ล้น                    เกลือกกลั้ว

ชี้ทิศพิสิฐผล                              พ้นพิษ

จรุงรัฐเฉกรั้ว                              จรัสหล้าสง่างาม

๏ ในท่ามกลางขัดแย้ง                   แย่งยื้อ

ปีกแห่งกวีกระพือ                       แผ่ป้อง

กระชากฉุดด้วยมือ                       ประจงแต่ง  ด้วยใจ

แรงพลานุภาพก้อง                      ระงับฟ้าราคี

๏ กวี คือ ก่องแก้ว                        ประกายฉาน

รู้ลึกทะลุผ่าน                               ม่านฟ้า      

“โลกจินตนาการ”                        เกิดก่อ

ด้วยกวีมิล้า                                  ละล้มอุดมการณ์ฯ

.....................(25.กวีแก้ว)................................

 

จินตนาการ (26.มิ่งขวัญ)

 

๏ ดวงจิตคิดร่ำร้อง                                     เรียกหา 

ครวญคร่ำรำพึงพา                                     ห่วงเจ้า

เผลอรักใฝ่หมายตา                                    เธอยิ่ง

จึงส่งใจไปเฝ้า                                           ค่ำเช้าครางครวญ        

๏ คิดฝันไปเท่านั้น                                    ใจเอย   

ยังไม่อาจจะเผย                                        เริ่มสร้าง

คำรักพี่หาเคย                                           บอกกล่าว   

ใจหม่นเพราะเราอ้าง                                 ไม่พร้อมเปิดใจ          

๏ ฝันละเมอพร่ำเพ้อ                                 จินตนา  

อยากอยู่เคียงกายา                                      ร่วมห้อง      

มอบรักสื่อสายตา                                      ฝากผ่าน

นำสู่หัวใจน้อง                                          ร่ำร้องเปิดใจ           

๏ อยากบอกเธอสิ่งนี้                                คือรัก   

คงไม่ทำอกหัก                                         หม่นเศร้า

แรกเจอดั่งศรปัก                                       ใจแน่น  

รักใช่ครองตัวเจ้า                                       แต่ต้องครองใจ                   

๏ เพราะรักจึงเอ่ยด้วย                                วาจา  

รักไม่เคยคลาดคลา                                     ว่างเว้น  

คิดถึงกล่าวนำมา                                      บอกก่อน

จะเอ่ยคำรักเน้น                                        ส่งฟ้าบอกเธอ

๏ หากรับรักพี่พร้อม                                 ดูแล   

จะห่วงใยมิผันแปร                                   เปลี่ยนชู้   

ขอเพียงไม่ลอยแพ                                    ใจพี่     

รักเท่าใดโปรดรู้                                         กว่าหล้าฟ้าเทียมฯ

..................................(26.มิ่งขวัญ).............................

 

สิ่งที่ฝัน (27.สุรวุฒิ)

 

๏แลฝันเปรียบฟากฟ้า                      ฝั่งดาว
ใสสดงดงามสกาว                            เกลื่อนฟ้า
แววพรายประกายพราว                     วาววับ
ฉายผ่องส่องแสงท้า                          แห่งท้องอนธการ

๏ จักควานจักไขว่คว้า                      มาครอง
แม้สุดมือหมายปอง                          จักดิ้น
แม้ยากตรากตรำลอง                         ลำบาก ดูนา
หมายมั่นฝันฤๅสิ้น                           สู่สู้ดังฝัน

๏ ฝ่าฟันบั่นขวากไซร้                      แสนเข็ญ
แรงแห่งใจจักเป็น                            ฝ่ายสู้
กายจักเหน็ดเหนื่อยเว้น                 วางพัก ได้นา
เชื่อแต่ใจจักรู้                                   เร่งเร้าแรงกาย

๏ เปรียบฝันได้ดั่งร้อน                     แรงไฟ
เตชะโชติเมื่อใหม่                              มากเชื้อ
ร้อนแรงแห่งเพลิงใจ                        โชนแจ่ม
ผ่านก็แผ่วหมดเนี้อ                          แต่น้อยหน่ายแรง

๏ แคลงใจไป่หยัดสู้                         เสื่อมใจ
ทางก็แลแสนไกล                             กลับท้อ
แลกาลผ่านผันไป                             นานเนิ่น นักนา
ฤๅใฝ่ฝืนยืนข้อ                                 ขุ่นข้องหมองใจ

๏ ไขว่คว้างร้างจิตไซร้                     เจนทรวง
หมายมุมาฤๅดวง                              ดั่งนี้
จักใช่ฤใช่ลวง                                  ล่อหลอก ตนฤๅ
จักเปล่าเปลืองป่นปี้                          ถอดท้อทีถอย

๏ เลื่อนลอยแลดั่งค้าง                      กลางคัน
ฝันไป่เป็นเช่นฝัน                            ใฝ่ต้อง
เห็นงามใช่งามฉัน                           งามเฉก เห็นแฮ
ฤๅจักพานแต่ซ้อง                              ส่วนร้ายระคนไป

๏ ใช่ฝันแต่ส่วนไซร้                         ความฝัน
สัจธรรมเสกสรร                              ส่วนสร้าง
ฝันสำเร็จเพราะธรร-                         มะคู่
จริงและฝันเคียงข้าง                          คู่ซ้องเสร็จสมฯ

............................(27.สุรวุฒิ)......................

 

จินตนาการ (28.มิ่งขวัญ)

 

๏ จินตนาว่าได้                                 ชมสวน     

หอมกลิ่นพฤกษามวล                    หมู่ไม้       

เสียงพิณแว่วดังชวน                      เชยชื่น

ธารหลั่งไหลรินให้                        ใฝ่ต้องพึงยล 

๏ ภูเขางามเด่นฟ้า                         ชวนมอง

คงแผ่นผืนแหลมทอง                    ถิ่นหล้า    

ตาพิศเพ่งละออง                          ฝนช่ำ 

หยดเกี่ยวติดผืนหญ้า                      ชุ่มไม้ดอกใบ

๏ มัจฉาแหวกว่ายน้ำ                     เวียนวน   

กบนั่งใบบัวบน                             น่านน้ำ  

เป็ดลอยล่องสายชล                        ชมป่า    

นกส่งเสียงดังล้ำ                           ร่ำร้องหากัน 

๏ มองนทีหลั่งให้                         รำเพย       

เปรียบดั่งใจคนเอย                         ซ่อนเร้น  

ธารลึกว่าเปรียบเปรย                     พอหยั่ง  

หากแต่ใจยากเค้น                         กว่าค้นเกินหา

๏ สายลมพัดผ่านหน้า                    โดนตัว 

หนาวสั่นใจระรัว                         ยิ่งแท้      

หัวใจหวั่นไหวกลัว                       ยามห่าง  

หวาดสิ่งทำใจแพ้                          เมื่อเจ้าลาไกล

๏ มองอาทิตย์เริ่มล้า                      ลาลับ  

เวียนเปลี่ยดวงจันทร์กลับ                 เด่นหล้า

หากใจไม่เคยดับ                           ยังห่วง   

วอนส่งรักฝากฟ้า                          สู่ห้องใจเธอฯ 

.......................(28.มิ่งขวัญ)...........................

 

ฝ่าพายุ (29.ปริวัฒน์)

 

๏ เหลืองแดงธรรมศาสตร์สร้าง                       สมัครสมาน

แดง...ฝ่ายนายทุนหักหาญ                                ห่อนเว้น

เหลือง...รวมกลุ่มชุมนุมราญ                           ไล่รัฐ  ก่อนนา

สองพวกบวกแฝ้งเร้น                                         รุดต้านเพื่อใคร???

๏ ทางใต้ไฟมิสิ้น                                                 แสงขยาย ผลเอย

มุ่งราษฎร์รัฐวอดวาย                                           รับร้อน

สามจังหวัดถิ่นที่หมาย                                       มุ่งครอบ-  ครองพ่อ

มิหยุดรุดไล่ต้อน                                                  ไต่เต้าตั้งแดน

๏ แผ่นดินเหนือเมื่อนี้                                        รวมพลัง

อีสานก่อการประดัง                                            พรั่งพร้อม

เป็นบางส่วนล้วนชัง                                           หมายแบ่ง  แยกเฮย

สำหรับใต้ไฟล้อม                                                ไม่น้อมสมังคี

๏ วิธีใดได้หยุดยั้ง                                                ร้าวราน

ที่จักสมัครสมาน                                                  มุ่งหน้า

รวมเป็นหนึ่งซึ่งผสาน                                       ทุกฝ่าย

มิแตกแยกดุจค้า                                                    แข่งสู้กอปรกำไร

๏ ในปัจจุบันวิกฤตด้าน                                      การเงิน

อุปสรรคดักจำเริญ                                               เร่งเร้า

บางคนมิเพลิดเพลิน                                           พบตก-  งานแม่

เมื่อไหร่หมดเหตุเข้า???                                     พ่างเพี้ยงอสูรราญ

๏ เหตุการณ์อุทกแล้ง                                          เมื่อยาม  ร้อนนอ

ช่วงพิรุณสู่เขตคาม                                              ท่วมท้น

ตอนหนาวก่อไอจาม                                           รวมร่าง  แข็งเอย

เมื่อไหร่จักผ่านพ้น                                             เพื่อก้าวสู่สันต์???               

๏ ทุกวันรถมุ่งหน้า                                             ตามถนน

ในบุรินทร์ถิ่นเวียนวน                                        ค่ำเช้า

พบติดขัดทุกหน                                                   หาเคลื่อน สะดวกนา

ทางรัฐติดตามเฝ้า                                                จักแก้อย่างไร???

๏ ขอเภทภัยหมดสิ้น                                          สู่สุข

ทุกฝ่ายบ่พบทุกข์                                                  ที่ร้อน

ผืนดินประสบสนุก                                             ทุกเมื่อ

สามัคคีมีย้อน                                                       กลับเข้าเขตสยาม

๏ รถตามถนนวิ่งได้                                            ไม่ติด-  ขัดแล

แก้โจทย์เรื่องเศรษฐกิจ                                       หมดสิ้น

บำรุงรัฐจรัสวิจิตร                                                รุ่งโรจน์

ช่วงฤดูดังริ้น                                                        สืบค้นคลายปัญหา

๏ ประชาจักได้สุขถ้วน                                       ธำรง

ระรื่นเริงรมย์ผจง                                                เจิดจ้า

แคว้นพิพัฒน์ยืนยง                                             คงคู่  นิกรเอย

เทียบวิเทศที่ค้า                                                     กอปรด้วยไมตรี...

..................................(29.ปริวัฒน์).............................

 

หยุดชิงอำนาจ (30.ปริวัฒน์)

 

๏ อัคคีมิหยุดยั้ง                                    ไหม้กาล

ด้วยชอบเผาจักรวาล                            หมดสิ้น

มนุษย์สัตว์พฤกษ์แหลกลาญ             ล้มดับ  ชีพนา

หมายมุ่งประดุจลิ้น                             แลบไล้หล้าสูญ

๏ มิเกื้อกูลแก่แคว้น                            แดนใด

แข่งกับอุทกใส                                     สาดด้าว

บ่ได้ครอบครองใคร                            มาสู่  ตนเฮย

เหวย! สมุทรจงหยุดก้าว                    หลั่งเลี้ยงแก่ชน

๏ น้ำฝนบนฟากฟ้า                             มิหยุด  พิโรธแล

สิ่งที่ไฟได้จุด                                        เกี่ยวข้อง

เผาผลาญสัตว์มนุษย์                           รุกฆ่า  พฤกษ์ฤา

จึงตกลงมาต้อง                                    ทั่วพื้นได้เกษม

๏ อิ่มเอมกับสมุทรยั้ง                         ต้านเพลิง

ไฟดับมิระเริง                                       รื่นล้น

สายชลหลั่งดำเกิง                                ก่อสุข  เสมอนอ

แต่กลับมิผ่านพ้น                                 เหตุให้ทุกข์แทน

๏ ดินแดนมีแต่น้ำ                               ครอบครอง

อัคคีจักมุ่งหมายปอง                           ไป่ได้

ทุกสิ่งกลับเจิ่งนอง                              เปียกหมด

ต่างว่ายนำชีพไว้                                  อยู่ยั้งยืนยง

๏ เท่าผู้ดำรงศักดิ์ไว้                             ได้สงวน

การช่วงชิงจนสมควร                         ปกหล้า

มนุษย์หนอมนุษย์! แปรปรวน         ปรับเปลี่ยน  อำนาจเอย

มิหยุดพอเพียงหวังฟ้า                        ฝากขั้วครองพิมาน

๏ ละสันดานแย่งแคว้น                      แดนดิน

เสวยราชย์เป็นพระอินทร์                  อวดอ้าง

เพียงพอก่อชีวิน                                   ก็สุข  สราญพ่อ

มีครอบครัวบ่ร้าง                                 อยู่ใกล้การณ์ควร

๏ จินตนาการชวนพินิจนี้                  พึงทำ

ลดละเลิกก่อกรรม                               เกลือกกลั้ว

ดำรงชีพสามัญนำ                               ธรรมปฏิ-  บัติแม่

ราวกับกำแพงรั้ว                                  สกัดกั้นเลวทราม

๏ อีกเจริญตามบาทเจ้า                       จอมไผท

พระราชดำรัสเป็นหลักชัย                 สถิตด้าว

ปรัชญาค่าอำไพ                                   ผ่องพิสุทธิ์

เป็นราษฎร์ปราศก่อร้าว                      ลุขึ้นปกประชา

๏ พารานี้จึงสุขถ้วน                            ธำรง

ธรรมะจะมั่นคง                                   คู่ค้ำ

มีธเรศผู้ทรง                                          นำสุข  ประทานแล

ไทยรัฐสวัสดิ์ล้ำ                                    เลิศล้วนวัฒนาฯ

..................................(30.ปริวัฒน์).............................

 

จินตนาการ ส่อง มรรคาสุขเกษมนิรพพาน (21.แสงแรก)

๏ มรรคา               ศานติภาพแล้ว                                     เขมรไทย

สุข                          ย่อมเย็นกว่าประไลย                           กอบกู้

เกษม                      ศานต์จากไภย                                       เถิดพ่อ

จินตการ                มาผ่านผู้                                                  จารแก้วกวีกานท์

๏ สำคัญ                คงคู่ฟ้า                                                   เคียงดิน

กว่า                         ใหญ่ย่อมพรหมินทร์                          มุ่งสร้าง

ความ                      รักรื่นขุมมนิน                                      ทรียศ

รู้                              ลู่ทางเร่งมล้าง                                      อย่าให้เกลศเหลือ

๏ มุ่ง                      มามิตรมุ่งแม้น                                     มารมลาย

สู่                             ช่วงพุทธกาลปลาย                              โปรดเปลื้อง

จินต                        มยต่อสังวัธยาย                                    เถิดพ่อ

นา                           หว่านบุญแบบเบื้อง                            บ่มเบ้าเบาราณ

๏ เลิศ                     เท่าสุตตันต์แท้                                      ปิฎก

กว่า                         แม่แห่งโอทก                                       แม่น้ำ

ความ                      ดีคู่สาวก                                                โสตชื่น

รู้                              เพ่งไตรลักษณ์ล้ำ                                 ล่องโล้สีทันดร

๏ มา                       เห็นตนเปลี่ยนแล้ว                              ภายใน

สู่                             ช่วงผุดผ่องใส                                      ตรัสรู้

ภาวะ                      ทาบทบใจ                                              จิตตื่น

นา                           โถตวิโรจน์ผู้                                         ผ่องแผ้วผลิบาน

๏ จินตะ                 หยุดเมื่อรู้                                              ปาพจน์

นา                           ยกจิตจรด                                               แจ่มแจ้ง

การ                         แปรเปลี่ยนแทนทด                             ทุกที่

ส่อง                        ช่องมารมาศแกล้ง                               พ่ายพ้องคลองธรรม

๏ มรรคา               ศานติภาพแล้ว                                     จิตเรา

สุข                          ย่อมเย็นยอดเขา                                   เทพสร้าง

เกษม                      ศานต์จากเงา                                         อวิชช์ เถิดพ่อ

นิรพพาน              อ่านอ้าง                                                 อิ่มโอ้โอสถธรรมฯ

....................................(21.แสงแรก).....................................

 

จินตนาการ (32.มิ่งขวัญ)

 

ภวังค์เวียนว่ายเร้น                     ลับใจ 

จินตนาการไป                              ใหญ่น้อย

วิมานก่อเกิดใน                             จิตป่วน

ครวญคร่ำถึงคำถ้อย                         ส่งให้รำเพย

๏ คำรักหวานที่เฝ้า                        นำฝาก      

พูดพร่ำรำพันอยาก                         อยู่ใกล้        

โปรยเสน่ห์ลมปาก                        ลวงล่อ   

หากแต่ใจจริงไซร้                         ไป่รู้เทียมทัน                         

๏ วาดวิมานผ่านห้วง                     อารมณ์

ดึงสู่ภวังค์จม                               ดิ่งเข้า      

หมายใจใฝ่ชิดชม                           เชยชื่น          

อยากอยู่เคียงคลอเคล้า                    ค่ำเช้ารำพัน    

๏ หลงใจติดบ่วงแพ้                      คำคม 

เพราะพี่ผูกมัดปม                          ใส่น้อง         

บอกรักสื่อผสม                             ทำห่วง ใยนา                                           

ใจจึ่งยกหอห้อง                            ส่งให้โดยดี              

๏ ดวงหทัยพร่ำเพ้อ                       จินตนา      

หวังพี่รักน้องยา                           แน่แท้    

หากมิใช่ขอลา                              ไกลห่าง

วอนเอ่ยจากใจแม้                          เล่นล้อจักไป     

๏ รักหรือหลอกบ่รู้                       ใจจริง  

ขออย่าลวงนำหญิง                        หม่นเศร้า

หากจิตใคร่แอบอิง                         คงมั่น      

จักต่อสานรักเร้า                             ร่วมร้องเพลงใจฯ 

..............................(32.มิ่งขวัญ).............................

 

แค่จินตนาการไป (33.กิ่งโศก)

 

  ฤๅเหตุเห็นบอกใบ้         บ่งลาง  รูปเฮย

ดุจมีดกรีดหมายกลาง         กุดนิ้ว

เลือดจึ่งเซ่นรักจาง               จืดร่อย ลงเนอ

คิดข่มขมจมริ้ว                     ร่ำแจ้งรุมเผา ๚

๏ จิตกระวายวุ่นจ้อง           เจ่าวอน

เต้นตื่นฟืนสุมขอน             คุไหม้

ระแวงระวังจร                     จวบย่าง

คล้ายแว่วเสียงสวดไหว้      ว่าซ้อนซ่อนหวิว ๚

๏ เฉกแสงสูรย์ดับดิ้น         อัศดง

มือมืดกางกรกรง                 มาดกร้าว

อำไพรักหลอนลง                ลาอ่อน

หม่นคลุกคลุมหดห้าว        เหือดแห้งลับหาย ๚

๏ คลายคืนคำรบเคล้า         ความคน

ผันหลุดผลุดลืมตน              เติ่งค้าง

แค่นิมิตรนำผล                     พบต่อ

สติเรียกแทนร้าง                  หลบลี้รู้ตัว ๚

๏ แค่จินตเสกสร้าง             สยบใจ

หาเช่นเป็นจริงนัย               หน่วงรั้ง

หลอนภาพเตลิดไป             แปลกเปลี่ยว

แรกคิดดีร้ายพลั้ง                 ผ่านพลิ้วปลิวตาม ๚

๏ ตื่นรับสดับรู้                     แห่งตัว ตนเฮย

หยุดวาบอาบขุ่นมัว             มุ่งแสร้ง

บังเกิดก่อสลัว                       แลพิศ  เหตุนอ

ปัจจุสมัยแจ้ง                         แจ่มชี้นำผล  ๚ะ๛

......................(33.กิ่งโศก)......................

 

ปณิธานครู (34.จิระ)

 

๏ จะเป็นเพชรอยู่ล้อม                    ธำมรงค์

ฤาว่าเพชรกลางวง                          เด่นล้ำ

ก็คงเผ่าเพชรพงศ์                          กำเนิด

อวดค่าหยาดเพชรย้ำ                      แกร่งกล้าแก้วมณี

๏ ตีกระดานดำกั้น                         ต่างฝา

ตรึงชอล์กต่างเสา รา                      รอดบ้าน

ตรวนสติปัญญา                            ต่างฟาก

ตั้งปณิธานต้าน                             อยู่คุ้มต่างคา

๏ เวหาดารดาษด้วย                        ดวงดาว

เจิดจรัสแจ่มพราว                          ฟากฟ้า

ควรคู่อยู่กลางหาว                          เห็นทั่ว

ครูค่าควรคู่หล้า                             ประดับไว้ดาวดิน

๏ เหงื่อกายรินรับจ้าง                     แจวเรือ

พออยู่พอจุนเจือ                            ชีพไว้

สอนศิษย์คัดหางเสือ                       แจวส่ง

วันหนึ่งครูหวังได้                           ศิษย์แก้วแจวแทน

๏ พลีใจแหนแห่ห้อม                     กรานครู

ส่อแสดงกตัญญู                             แทบเท้า

มอบหมดใจเชิดชู                          ชมชอบ

ครูเทิดครูค่ำเช้า                             กราบก้มบรมครู

๏ บูชาคุณท่านไว้                          เหนือหัว

สอนสั่งศิษย์ติดตัว                          รอบรู้

เผชิญโลกมิขลาดกลัว                     ใครหลอก

ครูจึ่งเป็นนักสู้                              ซึ่งใช้วิชาครูฯ

.........................(34.จิระ)........................

 

จินตนาการคำแม่สอน (35.ชิววิชญ์)

 

๏ ชีวิตเริ่มเมื่อแย้ม                              แรกจินต  นาการ

ใครใคร่จักมีศิลป์                                  พร่างแพร้ว

จักต้องหมั่นสร้างจินต์                        แคล่วคล่อง  ท่องไป

ใครใคร่หมั่นจินต์ว่อง                         ใคร่รู้ปูทาง 

๏ เมื่อน้อยแรกเริ่มนั้น                       หมั่นถาม  ตามจินต์

อยากเร่งรู้หาความ                               ใฝ่สร้าง

แล้วเกิดก่อจินต์ตาม                            หมายมั่น  ฝันไว้

เจ้าเร่งจินต์บ่ร้าง                                  ต่างใช้ไม่วาง

๏ จินต์จักก่อเร่งเจ้า                             ฝึกฝน  ปัญญา

จินต์ก่อเจ้าฝึกตน                                 ใฝ่รู้

จินต์จักก่อสร้างคน                              ให้มั่น  ในจิต

จินต์ก่อสร้างกอบกู้                              ก่อเจ้าในทาง

๏ จินต์นั้นสร้างสิ่งร้อย                      พันอย่าง  นานับ

คิดล่องสร้างภาพร่าง                          ใส่ไว้

มาปรับแต่งปรับต่าง                            จินต์ร่าง  ไว้นา

ปรับแต่พองามไซร้                             ย่อมได้สิ่งดี

๏ ลูกเอ๋ยฟังแม่ไว้                                ใคร่ตาม  คำแม่

เจ้าใคร่ทบทวนความ                           แม่บ้าง

เจ้าจักเร่งจินต์ตาม                               แต่ที่  ดีงาม

จินต์ที่ความดีร้าง                                 บ่สร้างทางดี

๏ เมื่อเจ้าเติบใหญ่                               ใช้จินต์  นำทาง

จักปรี่ปรีดิ์เปรมทิน                              แก่เจ้า

เจ้าจักไตร่ตรองจินต์                            รอบก่อน  ลงมือ

มิเช่นนั้นจักเศร้า                                 ร่ำร้องเพราะจินต์

๏ หากเจ้ารู้ร่างสร้าง                           จินต์ดี  งดงาม

จินต์นั่นจักสร้างปรีดิ์                          แก่เจ้า

จักจินต์แต่สิ่งดี                                     เป็นสิ่ง  สรรค์สร้าง

เจ้าบ่ต้องกลัวเศร้า                                แต่เจ้าจักเจริญฯ

.............................(35.ชิววิชญ์).........................

 

จินตนาการ (36.ลายสือ)

 

๏ ไอหมอกโอบกิ่งแก้ว                      ยามอรุณ

พราวพร่างหอมละมุน                       กว่ากลั้น

ละอองอุ่นการุณ                                  เติมแต่ง  น้ำค้าง

ณ ท่ามกลางทางนั้น                           แต่งปั้นฝันไกล

๏ รินรดจากฝั่งฟ้า                                ทอประกาย

เติมแต่งความหนาวกราย                   แช่มช้า

เมฆลอยร่างลวดลาย                           มองเหม่อ

อยากป่ายปีนสุดหล้า                           ข่มฟ้ามาอิง

๏ ไกลลิบริมฝั่งโพ้น                           ดาริกา

เยาะยั่วกระพริบพา                             พร่าพร้อย

เมียงมองหมู่ดารา                                จากฝั่ง หิ่งห้อย

เอ๊ะ ! นั่นดาวดวงน้อย                        จรจากหนไหน

๏ แสงหลบริบหรี่ใต้                           พฤกษา

เรียงร่ายกรีดปีกมา                               สิ่งนั้น

วิบวับหรี่ริบรา                                      คือสิ่ง ใดกัน

ดาวต่างมิอาจกั้น                                  ใคร่รู้พิศวง

๏ เรียบเรียงเรียงร่ายชี้                        ตัวฉัน

ฝันแต่งเติมภาพฝัน                             เล่าอ้าง

ฉันทราบใครสร้างสรรค์                    อันซึ่ง สิ่งใด

ยากใหญ่จักเพียรสร้าง                        ไขว่คว้าดังจินต์

๏ เพียงเธอเพียงเท่านี้                         อยากปัน

บอกกล่าวเรื่องราวฝัน                         นั่นไซร้

เวลาว่างจักสรรค์                                  ร่ายกานท์

เติมแต่งเพียรเขียนไว้                          เพื่อให้แด่เธอฯ

…………………..(37.ลายสือ)......................................

 

จินตนาการ (38.ลายสือ)

 

๏ ดารดาษดื่นฟ้า                                  ดาดาว

ไออุ่นอิงแอบคราว                              เหนื่อยล้า

ทอแสงพร่าพรายพา                           ฝันใฝ่

เมียงมองล่องสุดหล้า                          ฝั่งฟ้าราตรี

๏ ละมุนแสงส่องฟ้า                           ยามอรุณ

โอบอุ่นไอเจือจุน                                แหล่งหล้า

ธารหมอกล่องละมุน                          รายร่าง

ขวักไขว่กรีดปีกกล้า                            ว่ายฟ้าหากิน

๏ ทอดยาวเงาร่มไม้                            พักพิง

ระเรื่อยพันหลักอิง                              กิ่งก้าน

ไกลลิบโน่นผกา                                  แลหมู่  ภมร

บินร่อนจรจากบ้าน                             ใฝ่น้ำหวานกิน

๏ สนธยาย่ำแล้ว                                  ยามเย็น

แสงเรื่อวาววับเป็น                              หิ่งห้อย

กลับมืดบ่เคยเห็น                                นานเนิ่น

เห็นแต่ภาพเรียงร้อย                           แต่งแต้มจินตนา

๏ นภาเอยกว่ากว้าง                             เพียงใด

ดาวเล่าเป็นไฉน                                   ไป่รู้

ในใจจึ่งทอดไกล                                  เกินกว่า  ตาเห็น

เติมแต่งภาพชนผู้                                ต่างล้วนดีงาม

๏ ฝันอยากเก็บเกี่ยวร้อย                     ความงาม

ยามตื่นแลทุกยาม                                ค่ำเช้า

หากยิ่งเกินทุกความ                            งามร่ำ  น้ำใจ

แลบ่เห็นกลับเฝ้า                                 หยั่งรู้งามไฉนฯ

…………………..(38.ลายสือ)...........................

 

++++++++++++

 

ตัดสิทธิ์+ผิดกติกา

 

จินตนาการ (39.แก้วประภัสสร)

 

รอคอยวันกลับบ้าน                       ดีใจ
เตรียมหยิบของทันใด                        ตื่นเต้น
ลมหนาวผ่านตรงใจ                          คนหนึ่ง จริงเอย
ยืนนับถอยหลังเว้น                            สุขแท้หนอเรา
เหมือนปีกลายผ่านแล้ว                 ไม่นาน
หาแม่ลงกราบกราน                         กอดไล้
หอมเอยกลิ่นชื่นบาน                        แก้มนุ่ม นวลเอย
ถึงเหี่ยวแต่อุ่นไซร้                            ตักนี้แนบเรา
เตรียมจองตั๋วรถไว้                        ถึงครา
ยลภาพแทนมารดา                            ก่อนนั้น
อาหารอร่อยพร้อมยา                         ถึงแม่ จริงเฮย
หาสิ่งใดกางกั้น                                รักนี้เพียงเธอ
ความคิดถึงส่งพร้อม                     คำคม
วานผ่านลอยล่องลม                         ทั่วหล้า
ถึงคนที่อบรม                                  แต่เด็ก คำนึง
ฝากรักจากใจข้า                                อย่าช้าลมเอย
รอกราบลงที่เท้า                            มารดา
ลูบใส่ยกหัวมา                                  จิตตั้ง
น้ำหลั่งจากดวงตา                              ล้นเอ่อ ไหลริน
วันล่วงผ่านอีกครั้ง                             นับย้อนรอคอยฯ

.........................(39.แก้วประภัสสร).......................

หมายเหตุ : ผิดกติกา จำนวนบทไม่ครบตามที่กำหนด (6-10 บท)

 

ฝันที่เป็นไปได้ (40.สมจินตนา)

 

๏ ดังดาวประดั่บฟ้า                          เคียงเดือน  เอื้อนเอย

แสงส่องประคองเดือน                  เด่นหล้า

กวีเอกท่านคือเดือน                       ดุจดั่ง เพ็ชรนา

หากกล่าวดาวคือข้า                        แค่เพี้ยงพลอยเรือง เรียงนา

๏ จินตนาดั่งข้า                                คือเดือน  เด่นเฮย

จรัสส่องรัศมีเดือน                        แจ่มจ้า     

ดาวอาจดั่งดวงเดือน                      ดังว่า  จินต์นา

แสงส่องงามเฉิดจ้า                       ว่าข้าคือเดือน  งามแฮ

๏ บนเวทีนี่นี้                                  เป็นพยาน  กันเฮย

ขอร่ายโคลงขับขาน                      กู่ก้อง

ประลองแข่งขันขาน                     โคลงสี่  กันนา

ประหนึ่งเราหาญกล้า                    เปรียบปาน  กวีแฮ

๏ สดุดีเทิดไท้                                 ราชัน  องค์เอย

ดุจดั่งแสงสุริยัน                           เจิดจ้า

บารมีดั่งเทวัญ                              ลงสู่  หล้าแฮ

ปวงประชาทูนเกล้า                      แซ่ซร้องสรรเสริญ  ทั่วเฮย

๏ พอเพียงดูดั่งฟ้า                         ประทาน  พรเฮย

ปรัชญาดำรัสขาน                          พ่อให้

ดุจมีดั่งปราการ                             มาปก ป้องแฮ

เสริมส่งประชาให้                        แกร่งกล้ารักษา  ตนเอย

๏ พอประมาณหนึ่งข้อ                  พอเพียง  กล่าวแฮ

คือไม่เกินพอเพียง                         มากน้อย

อีกควรไม่เบียดเบียน                      คนอื่น  ท่านนา

หากไม่เกินมากน้อย                      จึ่งได้พอเพียง  นั้นแล

๏ สองคือรอบคอบให้                   ครวญคนึง  คิดเฮย

มีเหตุผลรำพึง                              ว่าไว้

จะทำอย่างไรจึง                            ตรองทั่ว  ถ้วนนา

เห็นว่าควรเป็นได้                          แน่แท้จึงพึง  ทำแล

 

๏ สามควรมีสิ่งคุ้ม                         สร้างภูมิ  กันนา

หมายว่าเตรียมตัวสู                        พรั่งพร้อม

กระทบทั่งแลถูก                            แปลงเปลี่ยน  บ่ยั่น

เพียงท่านเตรียมตัวพร้อม                มิสูญ  เสียเอย

๏ ปรัชญาสำเร็จได้                       ดังคาด  ควรแล

ไขเงื่อนตีความปราชญ์                  ท่านให้

รอบคอบที่วิชา                             ควรแก่  การรู้

แท้แน่คุณธรรมต้อง                       หมั่นสร้างเสริมการ  พร้อมแฮ

๏ ผลจะเป็นดั่งได้                       วาดหวัง  กันนา

ยืนยั่งสมดุลย์ดัง                            กล่าวไว้

พร้อมรับเปลี่ยนแปลงดัง                 คำพ่อ  หลวงเปรย

เจริญจิตทำตามไซร้                        จักได้เปี่ยมหวัง  สุขเอย

.................................(40.สมจินตนา).................................

หมายเหตุ : ส่งผลงานเกินระยะเวลาที่กำหนด (ส่งวันจันทร์ที่ 16 พ.ย.52)

 

จินตนาการ (41.ธีรศักดิ์)

 

๏ อัมพรโอภาสแจ้ง                    จันทร์ฉาย
แขภาคทรงเพ็ญพราย                    ผ่องแผ้ว
แลชลเหลื่อมชวาลสาย                  สรรค์แต่ สรวงแฮ
ปรายเก็จประกายแก้ว                     เกลื่อนพลิ้วปลิวผืน
จีบตองเอาแต่งอ้าง                     อุบลบาน
หยวกเฉกอย่างเชิงมาลย์                 หมู่ขั้ว
เทียนช่วงโชติสถาน                      นทีปลั่ง ประกายแฮ
เอื่อยโรจน์แลราวรั้ว .                    รุ่งริ้วเรียงไหล

๏ กรกุมแลกล่าวเอื้อ                     อัญชลี
กลางรุ่งแห่งรัชนี                          แนบฟ้า
บวงหมายพระแม่นที                    ทอนโศก
เลือนพิษแลผ่อนล้า                        ล่วงคล้อยคงคา
ลอยสิ้นล่วงโศกสร้อย                สังเวย
 ลอยเถื่อนกรรทบเกย                    เกี่ยวกล้ำ
ลอยเลศลบลวงเลย                        เลือนอก
ลอยผ่านแนบผืนน้ำ                      เนื่องสิ้นดับสูญ

๏ เงาตัวยามทอดพื้น                      พสุธา
เห็นแผกรูปลักษณา                       นั่นนั้น
ยืดยาวตราบสุริยา                           ยาตรล่วง
เลือนสุดเมื่อมืดดั้น                       ดั่งสิ้นตัวตน

๏ เมื่อหยุดยืนอยู่นั้น                     หนึ่งเดียว
กลางมืดลมกรูเกรียว.                    โกรกห้อม
เงียบงันก่อหวาดเสียว                   สอดสู่
เงียบมืดเข้ารุมล้อม                        หล่อล้อมแววตาฯ

.............................( 41.ธีรศักดิ์).............................

หมายเหตุ : ถูกตัดสิทธิ์ ลอกผลงานผู้อื่น

 

จิตนาการ (42.ธีรศักดิ์)

 

๏ โฆษณาหาลูกค้า                          คนไทย
จั๊กกะแร้ขาวเท่าไร                            อยากรู้
หน้าขาวตูดขาวใส                            สวยสุด
อ้าถ่างกางแขนสู้                              สุดแล้วยางอาย
จรรยาบรรณหมดสิ้น                  โฆษณา
หวังหลอกแดกแหกตา                    หมดสิ้น
มอมเมาเหล่าประชา.                     ชนโง่
เด็กเล็กหลงเล่ห์ลิ้น                        เหล่าล้วนมอมเมา
สินค้าบ้าสุดบ้า                         ทาขาว
งี่เง่างมงายราว                             โง่บ้า
หน้าขาวไร้สมองสาว                    ขี้เลื่อย
ถูกหลอกหลงสมองช้า                   เชื่อสิ้นกลลวง
เมลานินเม็ดสร้าง                     เซลล์สี
แต่ละชาติพันธุ์มี.                         ต่างไว้
เมืองร้อนแดดแรงดี                      ผิวเด่น   ดำแฮ
ตามแต่ยีนถ่ายให้                          มิได้มอมแมม
ส.ค.บ.ปล่อยไว้                          ละวาง
หรือว่ากินพุงกาง                           ไม่ชี้
อ.ย.พ่อเมินหมาง                          ไม่ช่วย
ชาวประชาตายซี้                            สุดเศร้าซมซาน
หนูเอยลุงบอกให้                      จงฟัง
พ่อสั่งแม่สอนยัง                           เชื่อได้
โฆษณาแหกตาบัง                         มืดบอด
สร้างค่านิยมไว้                              โง่บ้า"แร้"ขาวฯ

.............................(42.ธีรศักดิ์).............................

หมายเหตุ : ถูกตัดสิทธิ์ ลอกผลงานผู้อื่น

 

จินตนาการ (43.ธีรศักดิ์)

 

คิดถึงควรเอ่ยเอื้อน        ออกมา
หากไม่เผยวาจา                 กล่าวอ้าง
บางคนอยู่ไกลตา               ยากเอ่ย
คราที่เขาลาร้าง                  บ่ได้คิดถึง
คิดถึงใครส่งให้            ทุกวัน
จิตเปลี่ยนแปรผกผัน          ผ่านเข้า
ตัวอาจห่างไกลกัน            เกินหยั่ง
ยังส่งใจฝากเจ้า                 ผ่านฟ้าลมฝน
คิดถึงคนที่ได้              คลุกคลี
จากแค่สามนาที                ห่วงได้
หากคิดหน่ายหายหนี        กลัวว่า
ใครที่เก็บงำไว้                  หม่นเศร้าซึมเหงา
คิดถึงคำหนึ่งนั้น         พูดไป
เพียงแต่คิดถึงใคร              เกี่ยวข้อง
เป็นคนอยู่ในใจ                รึเปล่า
หรือแค่เป็นพวกพ้อง         สิ่งนี้สงสัย
คิดถึงเกิดก่อขึ้น             เต็มทรวง
เป็นสิ่งจริงหรือลวง          รุ่มร้อน
แทรกแซงอยู่เต็มดวง        ใจเปี่ยม
สุดที่จะซับซ้อน              หยั่งได้ยากถึง
คิดถึงกันยิ่งต้อง             ขอบคุณ
คอยห่วงคอยเจือจุน            ใช่น้อย
ฤาเพราะว่าเป็นบุญ           ปางก่อน
คอยช่วยหนุนเรียงร้อย       ส่งให้ห่วงหาฯ

.............................(43.ธีรศักดิ์).............................

หมายเหตุ : ถูกตัดสิทธิ์ ลอกผลงานผู้อื่น

 

จินตนาการ (44.ธีรศักดิ์)

 

กรองมาศกรึงจิตน้อม                  วันทนา
ตรึกเมตต์พระพุทธา                      ท่านสร้าง
นำสัตว์ฝ่าสังสา-.                          รวัฏฏ์หลุด พ้นแฮ
ครบรอบมาฆะมล้าง                      ล่มถ้อยเลอะเลือน ฯ

  ครั้นสดับโอวาทซ้อง                 สรรเสริญ
สาธุการจำเริญ                              ร่ำอ้าง
สืบเสียงพระผู้เพลิน                     วิมุติภาค นั้นนา
เทียวป่นคอยล่มร้าง                       หล่มถ้อยเดียรถีย์ ฯ

อำไพโอภาสพ้น                       พันแสง
อริยะสัจจ์สำแดง                           ค่ำเช้า
กล่อมเกลาทิฐิแปลง                       ปรับเปลี่ยน
กร่อนบิดเบือนรุกเร้า                      เด็ดสิ้นดับสูญ ฯ

สืบสาวเอาแต่เบื้อง                    บุพกาล พ่อเอย
ไตรปิฎกโบราณ                           บอกแจ้ง
ข้ามเถิดอรรถาจารย์                        ผจงกล่าว
หวังชื่นกลางช่วงแล้ง                    เลศนั้นฤๅสนอง ฯ

ตรรกะวิภาษน้อม                     โดยนัย
ผลเหตุพิเคราะห์พิจัย                     จับต้อง
วารวันผ่านอาศัย                           ลับ-ส่อง สุรีย์เนอ
โมหะจำผ่านจ้อง                           จึ่งแจ้งโดยใจ ฯ

เปิดสิ่งที่ปิดด้วย                          โดยวิธี
หาญหักโหมวาที                           กระแทกถ้อย
เล็งครอบกะลาตี                           ให้แตก
แสงส่องแม้นเพียงน้อย                 ย่อมแจ้งถึงใจ ฯ

.............................(44.ธีรศักดิ์).............................

หมายเหตุ : ถูกตัดสิทธิ์ ลอกผลงานผู้อื่น

 

จินตนาการ (45.ธีรศักดิ์)

 

แววดาวแววเด่นฟ้า                     เมืองบน
แววเยี่ยมปัญญายล                         ส่องหล้า
แววศีลส่งศักดิ์ตน                          เอมโอ่
แววพี่งามระย้า                             สู่พื้นโลกา

คราวเมามายใคร่รู้                      จักรวาล
สรรสิ่งมาเสพสาสน์                     เผื่อแจ้ง
หนังสือสื่อตำนาน                       ขานกล่าว
บางสิ่งความจริงแย้ง                      ขุ่นข้องใจตน

ยามจนทนกัดนิ้ว                       ตัวเอง
ยามมั่งมีฟังเพลง                           สุขล้ำ
ขานขับกล่อมบรรเลง                    ทุกเมื่อ
ยามทุกข์ผิวปากซ้ำ                          บ่ได้ ยินเสียง

มีเมียดีเด่นด้วย                          ความงาม
คนเก่าบอกเรือนสาม                      สี่น้ำ
เรือนชานจัดทำความ                      สะอาดเอี่ยม  ไว้แฮ
เรือนร่างเรือนนอนซ้ำ                    สืบให้ใจถวิล
น้ำกินหรืออาบให้                      มีพอ
หมากแต่งปูนพลูรอ                       รับไหว้
น้ำจิตแม่จงลออ                             เอิบอิ่ม
เมียเด่นดีเด่นให้                            ครบถ้วน กระบวนการ

แววดาวดาษพ่างพื้น                   เกตุนภา
ดาวเปล่งจับนัยนา                         พี่จ้อง
ดาวใจอย่าลับลา                             แรมเลื่อน
ดาวอื่นฤาเปรียบน้อง                     หนุ่มหน้าดาวเดิมฯ
.............................(45.ธีรศักดิ์).............................

หมายเหตุ : ถูกตัดสิทธิ์ ลอกผลงานผู้อื่น

 

จินตนาการ (46.ธีรศักดิ์)

 

แววดาวแววเด่นฟ้า                    เมืองบน
แววเยี่ยมปัญญายล                         ส่องหล้า
แววศีลส่งศักดิ์ตน                           เอมโอ่
แววพี่งามระย้า                              สู่พื้นโลกา

ดาวดินเป็นปิ่นเจ้า                      จอมคน
ดูเด่นแววดาวดล                            แห่งห้อง
ดาวเยือนอิ่มอวลกมล                      อกพี่
ดาวบ่แลดุจน้อง                              อย่าร้างแรมโรย

พิศโพยมพรายพร่างพร้อย          แววดาว
แสงส่องประกายพราว                  แจ่มฟ้า
เพลินชมอยู่ทุกคราว                      ดาวเด่น
ดาวอย่าเลือนลับหล้า                     พี่ร้องอาลัย

นภาลัยดาษดื่นดาว                     ส่องฟ้า

วิบวับวาวจับใจ                             เจิดจ้า
จิ้งหรีดหริ่งเรไร                           ร้องรํ่า
ครวญครํ่าใคร่ไขว่คว้า                     นุชน้องมาครอง

แสงทองสาดสู่ท้อง                   ชลธี
ก่อเกิดการสะท้อนสี                      จากนํ้า
แพรวพราวดุจมณี                          สาดส่อง ประกายนา
งามยิ่งช่างงามลํ้า                          สุดเอื้อนพรรณนา 

คราวเมามายใคร่รู้                     จักรวาล
สรรสิ่งมาเสพสาสน์                     เผื่อแจ้ง
หนังสือสื่อตำนาน                      ขานกล่าว
บางสิ่งความจริงแย้ง                     ขุ่นข้องใจตน

ยามจนทนกัดนิ้ว                        ตัวเอง
ยามมั่งมีฟังเพลง                           สุขล้ำ
ขานขับกล่อมบรรเลง                    ทุกเมื่อ
ยามทุกข์ผิวปากซ้ำ                         บ่ได้ ยินเสียง

มีเมียดีเด่นด้วย                          ความงาม
คนเก่าบอกเรือนสาม                     สี่น้ำ
เรือนชานจัดทำความ                      สะอาดเอี่ยม  ไว้แฮ
เรือนร่างเรือนนอนซ้ำ                                  สืบให้ใจถวิล
น้ำกินหรืออาบให้                                    มีพอ
หมากแต่งปูนพลูรอ                      รับไหว้
น้ำจิตแม่จงลออ                            เอิบอิ่ม
เมียเด่นดีเด่นให้                           ครบถ้วน กระบวนการ

แววดาวดาษพ่างพื้น                   เกตุนภา
ดาวเปล่งจับนัยนา                        พี่จ้อง
ดาวใจอย่าลับลา                             แรมเลื่อน
ดาวอื่นฤาเปรียบน้อง                    หนุ่มหน้าดาวเดิมฯ

.............................(46.ธีรศักดิ์).............................

หมายเหตุ : ถูกตัดสิทธิ์ ลอกผลงานผู้อื่น

 

จินตนาการ (47.ธีรศักดิ์)

 

เพลงพิศวาสแว่วเวิ้ง                     ระเริงสวรรค์

ทวยเทพเสพย์สุขสันต์                       เล่นชู้

เริงศึกรุกโรมรัน                              เสียสติ

ดีชั่วพิเคราะห์บ่รู้                              เนื่องด้วยกิเลสงำ 

แสนสรวงสวรรค์ระส่ำร้อน         กิเลสเบียน

แหลกล่มทั้งมณเทียร                       เทพไท้

ทวยเทพแหวกว่ายเวียน                    ตามวัฏ-  จักรกรรม

แผ่นภพสรวงสวรรค์จึ่งไร้                เทพสิ้นมลายสูญ 

อสูรจึงเกลือกกลิ้ง                       เต็มสวรรค์

มารหมู่ประจญประจัญ                    ศึกหล้า

เริงรบขบเคี่ยวพัลวัน                        ดุเดือด

สวรรค์จึ่งไร้ผู้กล้า                           ศึกท้าด้วยธรรม

ฟ้าจึ่งดำมืดคล้าย                          นรกานต์

ล้วนเทพสัตว์สันดาน                       ชั่วช้า

อีกล้วนเหล่าอสุรมาร                       เหี้ยมโหด

ชิงช่วงแผ่นสรวงหล้า                      แย่งฟ้าแย่งสวรรค์

ศึกมารระบาดลั่นแล้ว                 โลกา  มนุษย์เอย

แลเหล่ามวลมนุษา                          สะพรั่นเร้น

หมู่มารยิ่งกระทำต่ำช้า                     เข้าข่ม  มนุษย์เฮย

ยิ่งหนักยิ่งเครียดเค้น                       ซาบเข้าพฤติกรรม

มนุษย์จึ่งกระทำต่ำช้า                  เช่นมาร  กระทำนอ

ฝังลึกถึงสันดาน                             จิตร้าย

เริงร่าแต่สาธารณ์                            สิ่งต่ำ

ละเลงเลอะเปรอะป้าย                     แปดเปื้อนสิ่งแขยง

รุนแรงตามจิตร้าย                       คิดครอง

จึงใฝ่สูงใฝ่ปอง                                โลกหล้า

ก่อเกิดศึกประชาผยอง                     ทั่วโลก

หวังใหญ่เป็นหัวหน้า                      ใหญ่ด้วยอบายบัง

 

หมู่มารยังเล่นลิ้น                       เล่ห์ลวง

หลอกล่อประชาปวง                       เท็จปลิ้น

ประชาจึ่งซาบทรวง                        จำจด  กันมา

มนุษย์จึ่งรู้เล่นลิ้น                           หลอกเร้นเพื่อนผอง

ครรลองศาสนะสิ้น                    แหลกสลาย

ธรรมมะถูกทำลาย                          กร่อนกร้าน

คำสอนแค่คำนิยาย                          หลอกโลก

ธรรมมะจึงถูกต้าน                         ต่ำต้อยอวิชชา

พญามารเหินเหาะฟ้า                 กลับสวรรค์

แลโลกเศร้าโศกศัลย์                       ถล่มหล้า

ถึงคราวยุคสมัยบรร-                       ลัยโลก  แล้วนอ

โลกถล่มจมใต้ฟ้า                            สนั่นเกรี้ยวกลางสวรรค์ฯ

.............................(47.ธีรศักดิ์).............................

หมายเหตุ : ถูกตัดสิทธิ์ ลอกผลงานผู้อื่น

จินตนาการ (48.ธีรศักดิ์)

 

๏ กำแพงเพชรเมืองนี้        นมนาน

มาแต่โบราณกาล                 เก่าพร้อง

ลือเลื่องด้านอุทยาน            ประวัติศาตร์ มากนา

มรดกโลกชื่อก้อง                ทั่วแคว้นแดนดิน.

๏ ถิ่นโบราณคดีล้วน          แดนไทย

มาก่อนสุโขทัย                     ชื่อก้อง

รูปแบบคงเหลือไว้              ทุกทั่ว กันนา

ประวัติศาตร์สยามต้อง       เฟื่องฟุ้ง นามขจร.

๏ บวร ณ ที่นี้                       ประดิษฐาน

พระพุทธรูปทรงวิหาร       ก่อไว้

เจดีย์ เด่นตระการ                ฐานที่ รอบแฮ

ศิลปะกรรมท่านได้             งามแท้ จัดแสดง.

๏ กำแพงลือเล่าอ้าง            แห่งหน

หมู่เหล่านกกาชล                กู่ร้อง

วัดวารุ่งเรืองทน                   ทั่วถิ่น

วอนอย่าทำลายต้อง             จึ่งได้อยู่นาน

๏ อุทยานเรื่องชื่อหล้า        แห่งไหน

นครพ่ออิศวรไชย                เลิศหล้า

เจดีย์อยู่สุดไกล                     ลือเลื่อง

กำแพงมีผู้กล้า                      แช่มชื้น เชยชม

๏ เพชรในปมป่ากล้า          แดนไกล

เมืองด่านของชาวไทย        แน่หน้า

ข้าศึกมิลุกไซร้                      หนาแน่น

ยามสงบย่อมเจิดจ้า             ช่วยเชิญคนชม

..................(48.ธีรศักดิ์)......................

หมายเหตุ : ถูกตัดสิทธิ์ ลอกผลงานผู้อื่น




โคลงสี่สุภาพ 2552

ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป (โคลงสี่สุภาพ) : หัวข้อ “ฤๅหัวใจจะไร้รัก”
ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป (โคลงสี่สุภาพ) : หัวข้อ “สุริยคราส”



bulletผลร้อยกรองออนไลน์ 2558
dot
ประกวดร้อยกรองออนไลน์ครั้งที่ 7
dot
bulletข้อมูลการประกวดครั้งที่ 7, 2557
bulletผังร้อยกรอง
bulletอ่านโคลงประกวด 2557
bulletอ่านกลอนประกวด 2557
bulletอ่านกาพย์ยานีประกวด 2557
bulletผลการประกวดร้อยกรอง ปี 2557
dot
ข่าวสาร ข้อมูลสมาคม
dot
bulletกรรมการสมาคมสมัยที่ ๑๕-๑๖
bulletนายกสมาคมสมัยที่ ๑๗
bulletติดต่อนายกสมาคมนักกลอน
bulletติดต่อฝ่ายดูแลส่วนต่างๆ
bulletสมัครสมาชิกสมาคมนักกลอน
bulletนักกลอนตัวอย่าง ๒๕๕๓
dot
หัวข้อน่าสนใจ
dot
bulletรวมลิ้งค์เว็บไซต์น่าสนใจ
bulletส่งบทสักวา น.ส.พ. สยามรัฐ
bulletวารสารวิทยาจารย์ รับต้นฉบับ
bulletส่งข้อเขียนครูในดวงใจ
dot
แนะนำหนังสือ
dot
bulletหน้ารวมหนังสือ
bulletคู่มือเรียนเขียนกลอน
bulletกาสรคำฉันท์ - สมคิด สิงสง
bulletหนังสือสุรินทร์สโมสร
bulletฝากโลกนี้ไว้ในหัวใจเธอ - กอนกูย
bulletเลือน - อติภพ
bulletธาร ธรรมโฆษณ์
bulletนายทิวา
bulletกลอนเกียรติยศ
bulletอ้อมกอดแห่งท้องทุ่ง
bulletทองแถม นาถจำนง
bulletพงศาวดารพิภพ
bulletโป๊ยเซียน คะนองฤทธิ์
dot
โครงการประกวดต่างๆ
dot
bulletนายอินทร์อะวอร์ด ๒๕๕๖
bulletประกวดรางวัลซีไรท์ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลพานแว่นฟ้า ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลวรรณกรรมรามคำแหง ๒๕๕๖
dot
ผลตัดสินรางวัลต่างๆ
dot
bulletรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletผลรางวัลซีไรต์ ๒๕๕๗
bulletผลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ๒๕๕๗
bulletผลรางวัลแว่นแก้ว ๗ (๒๕๕๓)
bulletผลกลอนวิถีคนกับควาย
bulletผลร้อยกรอง “ผมจะเป็นคนดี”
bulletรางวัลนราธิป ๒๕๕๓
bulletนักเขียนอมตะ คนที่ ๖ (๒๕๕๕)
bulletนักเขียนรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletศิลปินมรดกอีสาน ๒๕๕๔
bulletผลรางวัลพานแว่นฟ้า ๒๕๕๕
bulletผลรางวัลรามคำแหง ๒๕๕๖
bulletศิลปินแห่งชาติ ๒๕๕๕
bulletผลประกวดหนังสือ ชีวิตใหม่ 2
dot
ข่าวคราวของลมหายใจ
dot
dot
Weblink
dot
bulletอ่านกลอนประกวด 2556

หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก
สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาภาษาไทย มศว
เว็บรวมกระทู้ อาศรมชาวโคลง ใน pantip.com
หนังสืออีศาน


Copyright © 2010 All Rights Reserved.
ติดต่อ นายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ทองแถม นาถจำนง
โทรศัพท์ ๐๘๙-๑๒๓๔๗๕๔ อีเมล์ tongtham.n@hotmail.com

สำนักพิมพ์แม่โพสพ