เรียนรู้นอกห้องเรียนที่ค่ายดนตรี กวี ศิลป์
บทความโดย: มหาสุรารินทร์
ลุล่วงไปเรียบร้อยแล้วสำหรับกิจรรม ค่ายเยาวชน ดนตรีกวี ศิลป์ สัญจร เมื่อวันเสาร์ – อาทิตย์ที่ผ่านมา ณ สวนวนเกษตร ตำบลลาดกระทิง อำเภอสนามชัยเขต ในบรรยากาศภายใต้ร่มเงาของแมกไม้และฝนที่โปรยฟ้า
ซึ่งได้รับเกียรติจาก ผู้ว่าราชารจังหวัดฉะเชิงเทรา คุณสุรพล พงษ์ทัตศิริกุล พร้อมด้วย คุณปริศนา พงษ์ทัตศิริกุล มาทั้งฐานะนายกเหลากาดชาดจังหวัดฉะเชิงเทรา และผู้อำนวยารสำนังานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย วธ.
กิจกรรมครั้งนี้ซึ่งจัดโดย สโมสรมิตรภาพวัฒนธรรมสากล ร่วมกับ สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย,มูลนิธิวนเกษตรเพื่อสังคม,บริษัทโตโยต้า ฉะเชิงเทรา จำกัด ,บริษัทสถาพรบุ๊คส์ จำกัด โดยได้รับงบสนับสนุนจาก สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
บรรยากาศในพิธีเปิดเป็นไปอย่างคึกคักเพราะท่านพ่อเมืองแปดริ้วให้บรรยากาศที่เป็นกันเองทั้งชวนคุยทักทายว่ากลอนสดราวนักกลอนมืออาชีพ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับของสำนักงานฯ ยังมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
กิจกรรมครั้งนี้ เป็นรูปแบบหนึ่งที่ในนาม 1 สมาคมฯ 1 สโมสรฯ ร่วมกันจัดขึ้นในลักษณะ “ตลาดวิชา” ที่มุ่งเน้นเรื่องภูมิสังคมวัฒนธรรมและศิลปศาสตร์เพื่อให้มีบรรยากาศที่ทำให้คนกล้าฝัน, กล้าคิดสะเปะสะปะ, กล้าคิดเอง, กล้าท้าทาย, กล้าเถียง กล้าแตกต่าง โดยสื่อผ่าน จินตนาการของเยาวชนเป็นการนำร่องเชิงสร้างสรรค์ การคิดสิ่งใหม่ การทำสิ่งใหม่ การคิดต่างทำต่างถึงไม่ได้รับผลตอบแทนทันที แต่กลับได้รับแรงจูงใจเพิ่มขึ้นให้ทำต่อไป
โดยใช้ศิลปะและปัจจัยรอบข้างทั้งสถานที่ ประวัติ นิทาน ตำนานและเรื่องเล่า เพื่อให้บุคคลมีความสมบูรณ์อย่างสุนทรีย์ เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศชาติ ผ่านการดำเนินกิจกรรมที่นำร่องสัญจรกระจายไปทั่วทุกทิศทั้งประเทศเกิดกระแสการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางศิลปะศาสตร์มากขึ้นโดยเด่นชัดมากยิ่งขึ้นในกระแสโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ทุกครั้งที่จัดค่ายคณะผู้จัดจะนำเรื่องชื่อบ้านนามเมืองของท้องถิ่นๆนั้นมาให้ได้เผยแพร่แบ่งปันกันเสมอๆ โดยเฉพาะค่ายนี้ ความเป็นมาของผู้คนและดินแดน จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นส่วนหนึ่งอย่างแยกไม่ได้จากประวัติศาสตร์ภูมิภาคอุษาคเนย์ ที่มีชื่อเรียกเก่าแก่ว่า สุวรรณภูมิ เพราะ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นส่วนหนึ่งของลุ่มน้ำบางประกง ริมอ่าวไทย ทางตะวันออของที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยาภาคกลางของประเทศไทยและประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์อย่างแยกออกจากกันไม่ได้
สำหรับในแต่ละฐานการ ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากรหลากหลายท่านโดยเฉพาะภาพของฉากบรรยากาศบริเวณอำเภอสนามชัยเขตในอดีตที่ วัธนา บุญยัง นักเขียนรุ่นใหญ่เลือดเนื้อเชื้อไขคนลุ่มน้ำบางประกงแถมยังรั้งตำแหน่ง ประธานสโมสรนักเขียนภาคตะวันออก บอกว่าฉากในนวนิยายของเขาหลายเรื่องเป็นฉากที่มาจากบริเวณป่าแถบนี้ที่เมื่อราวๆ 30 กว่าปีก่อนขึ้นไปแถบนี้ยังป่าขนาดใหญ่
นอกจากนี้ยังสีสันชุดใหญ่ของการเข้าร่วมค่ายจาก ครูเบิ้ม เติมศิลป์ หรือ ไพบูลย์ ธรรมเรืองฤทธิ์ ลูกศิษย์ก้นกุฏิครูสังคม ทองมี นอกกจากที่กิจกรรมหลักที่ครูเบิ้มเพียรทำคือ สัญจรสอนศิลป์ฟรีเพื่อคนดีของชุมชน ขึ้นเหนือล่องใต้มาเกือบทั่วประเทศ
ค่ายนี้ไม่พลาดที่พกพาความสนุกสนานและสาระความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับการเรียนรู้เรื่องศิลปะ ที่สนุกสนานเป็นพิเศษตรงหนังตะลุงที่ ครูเบิ้ม นำมาแสดงเรียกที่สีสันและการสั่งสมร่วมกันได้เป็นอย่างดี
แถมยังเสียงเพลงและบทกวีของ กุดจี่ – พรชัย แสนยะมูล จนทั้งคู่กลายเป็นขวัญใจของเยาวชนชาวค่ายเลยทีเดียว
ชื่อของค่ายมาจากคำพูดที่ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์ อนุญาตให้ ครูสังคม ทองมี จัดค่ายวรรณกรรมสัญจรที่ ศูนย์ศิลป์สิรินธร โรงเรียนศรีสงครามวิทยา อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เมื่อสิบว่าก่อนแล้วครูสังคม ทองมี ก็ใช้คำนี้เรื่อยมาทั้งสำหรับการบรรยายหรือจัดกิจรรมจนกลายเป็นชื่อรายการทางทีวีและแพร่หลาย
วิทยากรท่านอื่นๆที่มาช่วยให้ความรู้แก่น้องๆหนูกว่า 250 คนที่มีทั้งในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทราและมาจากถิ่นอื่น แม้กระทั่งไกลสุดจาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็น พินิจ นิลรัตน์ หรือ วรรณฤกษ์ ,ลำไม – อาจินต์ ศิริวรรณ,สมจิตร พรรณนา และ ยุทธ โตอดิเทพย์ นายกสมาคมนักกลอนฯ ที่มาแนะนำเรื่องการใช้ภาษาได้อย่างสนุกสนานเฮฮากับการเรียนรู้นอห้องเรียนแบบที่เรียกว่า “สั่งสม” ได้โดยไม่ต้อง “สั่งสอน” ก่อนจะบรรยายสรุปปิดค่ายโดย โชติช่วง นาดอน
การบูรณาการระหว่าง ศิลปะ และบทกวี จึงเป็นสื่อที่เชื่อมประสานระหว่างจินตนาที่รู้สึก ,นึก และ คิด ออกมาในรูปแบบภาพประกอบบทกวี ซึ่งไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นบทกวีแบบฉันทลักษณ์ หรือบทกวีไร้ฉันทลักษณ์
แม้ว่าเจ้าของพื้นที่ ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพไม่ได้ลงมาพูดคุยเรื่องวนเกษตร แต่ยังได้มอบหมายให้ คุณครรชิต เข็มเฉลิม ดูแลชาวคณะและชาวค่ายเป็นอย่างดีตลอดการอยู่ค่ายและการประสานงานทุกอย่างซึ่ง คุณครรชิต เข็มเฉลิม และเจ้าหน้าที่มูลนิธิวนเกษตรได้ในเรื่อง“ความรู้วิถีชาวบ้าน” ที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการคิดมากกว่าองค์ความรู้ ซึ่งหมายความว่าคนเราทุกคนสำคัญที่วิธีคิด เมื่อคิดเป็น องค์ความรู้จะตามมาภายหลังเพราะความรู้ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่แต่ละคนสามารถสรุปได้จากประสบการณ์ของตนเองจึงควรให้ความสำคัญกับกระบวนการคิดเพราะการรู้จักคิดและคิดอย่างรอบคอบจะเป็นตัวชักนำความรู้ทั้งหมด
ซึ่งเรื่องวนเกษตรทำให้คนมีความเชื่อมั่นในตัวเอง อันดับแรกเชื่อว่าเราจะพึ่งตัวเองได้ พอมีความเชื่อตรงนี้เราก็มีเสรีภาพทางความคิด เสรีภาพทางความคิดทำให้เราไม่กลัวจะถูกใครปฏิเสธ กล้าคิดกล้าตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองได้มากยิ่งขึ้น กล้าเลือกว่าชีวิตของตัวเองควรเป็นอย่างไร รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกมากขึ้น
การพึ่งตนเองเป็นสภาวะอิสระ หมายถึงความสามารถของคนที่จะช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด โดยไม่เป็นภาระคนอื่นมากเกินไป มีความสมดุล ความพอดีในชีวิต เป็นสภาวะทางกายที่สอดคล้องกับสภาวะทางจิตที่เป็นอิสระ มีความพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่ มีสิ่งจำเป็นปัจจัยสี่พอเพียง เป็นความพร้อมของชีวิตทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ
การร่วมกิจกรรมอาจมีอุปสรรคบ้างเพราะมีฝนตกแต่ด้วยผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นเด็กมุมมองของพวกเขาไม่ได้ถือว่าเป็นอุปสรรคเลย กลับรู้สึกว่าฝนตกลงมาก็สนุก
(สังเกตได้จากท่าทางที่ตื่นเต้นและรอยยิ้มจากเด็ก หรืออาจเป็นเพราะที่นี่ไม่มีฝนตกมานานมากจากการบอกเล่าของผู้หลักผู้ใหญ่ในท้องที่เป็นผู้บอกกล่าว)
พอเช้ามาก็ตื่นกันซะแต่เช้าผู้ใหญ่บางคนยังอายไปเลย แถมด้วยการเดินล่าลายเซ็นจากผู้ทรงความรู้ด้านดนตรี-กวี-ศิลป์ เรียกว่าขะมักเขม้นในการขอลายเซ็นกันเลยทีเดียว
กิจกรรมครั้งนี้ต้องขอบคุณผู้ที่มีส่วนร่วมในการจัดกิจรรมทุกท่านทุกองค์กรโดยเฉพาะหน่วยงานที่เล็งเห็นความสำคัญเรื่องการเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะโดยเฉพาะเรื่อง ศิลปะเด็ก เพราะสิ่งที่ได้นั้นคือ โอกาส และการแบ่งปันความรู้ในการสร้างแรงบันดาลใจที่งดงามแก่กันและกัน
สิ่งเหล่านี้นอกจากโอกาสแล้วยังเป็นแนวทางความรู้ทางเลือกที่ค้นหาได้ตัวเองที่ไม่มีในห้องเรียนทั่วๆไป
….
มอบให้น้องๆในค่าย..
๐ แปดเปื้อน ความสนุก
ที่รอปลุก ความคิดที่ลึกเร้น
เรียบง่าย ไร้ระเบียบคือประเด็น
รอเป็น ตัวตนที่เต็มวัย...
อาจไม่เจอแวววาวที่เจิดจ้า
รังสี แกล้วกล้าหามีไม่
มีแต่ ความสุขช่างปะไร
แต่ก็เริ่มมีใจในคราวนี้
ทุกสิ่งอาจเริ่มในครั้งนี้..
ที่เธออาจ ยิ่งใหญ่ในวันหน้า
และฉัน ไม่รู้ค่า ว่าแค่ไหน
น้อยมากหรือไม่มีช่างปะไร
ความยิ่งใหญ่ในใจไร้กฎเกณฑ์
.......................จากพี่หนึ่งครับ
บรรยากาศภายในสวน - และห้องสมุด
ลงทะเบียน - น้องๆรอฟังบรรยาย
ท่านประธาน รองประธาน ผู้สนับสนุน พร้อมแล้ว
ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเล่นเกม ทายคำกลอนกับน้องๆ รางวัลงามซะด้วยครับ
มอบรางวัลแก่ผู้สนับสนุนที่ให้โอกาสกับน้องๆ โดย ท่านนายกสมาคมนักกลอนฯ
พิธีกรรมเช่นไหว้สาระและความสนุกให้ผู้ร่วมงานครับ ^ ^
เริ่มฐาน ดนตรีกวี โดย อ.ยุทธ และ พี่กุดจี่
ฐานตัดสติ๊กเกอร์ กับ อ.สมจิตร และ อ.ตึ๋ง
ฐานนักเขียน กับ อ.วัธนา พี่พินิจ พี่อาจินต์
ฐานศิลปะ ครูเบิ้มกับครูโจ้ เด็กๆแบ่งฐานเท่าๆกัน แต่คุณครูที่มากับเด็กเยอะเป็นพิเศษครับ
ช่วงหัวค่ำชมการแสดง ดนตรี จากพี่กุดจี่ และหนังตะลุงประยุกต์ โดยครูเบิ้ม
สร้างเสียงหัวเราะ สนุกปนสาระให้แก่ผู้ชมไปพร้อมๆกัน
ท่านเจ้าของวนเกษตร เสื้อเหลือง (ขวา)ท่านแม่ (ซ้าย) ลูกชาย ที่เป็นพิธีกรร่วมกับพี่มหาสุรารินทร์
พี่มหาสุรารินทร์ กับ สามหนุ่มส่งตรงมาจาก ม.เชียงใหม่
สรุปปิดค่าย โดยอุปนายกสามาคมฯ ทองแถม นาถจำนง
ประกาศงานของน้องๆแต่ละกลุ่มและมอบรางวัล
อ.ยุทธ มอบหนังสือของพี่กุดที่นำมาแจกน้อง และ อ.วัธนา มอบหบังสือที่ท่านเขียนเองให้น้องๆ
น้องๆ ล่าลายเซ็น วิทยากร และภาพรถของครูเบิ้ม ที่ขับตะเวนเติมศิลป์ให้น้องๆมาแล้ว ค่อนประเทศ
ปิดค่าย