ย้อนรอยวัฒนธรรมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
สานิตย์ เพชรกาฬ
พื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นกลุ่มทางสังคมและนิเวศวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่มีเอกภาพและพัฒนาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีพื้นที่ครอบคลุมจังหวัดพัทลุงทั้งหมด พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดสงขลาและพื้นที่บางส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราช ทะเลสาบสงขลาจัดเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีเนื้อที่ประมาณ 1,040 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 616,750 ไร่ ส่วนกว้างจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกประมาณ 20 กิโลเมตร และความยาวจากทิศเหนือไปใต้ประมาณ 75 กิโลเมตร มีแม่น้ำหลายสายที่กำเนิดจากเทือกเขาบรรทัดไหลผ่านที่ราบลุ่มลงสู่ทะเลสาบ ทั้งยังได้รับอิทธิพลของน้ำทะเลอ่าวไทยไหลเข้าสู่ทะเลสาบตอนล่าง ยังผลให้ทะเลสาบสงขลามีทั้งน้ำจืด น้ำกร่อยและน้ำเค็ม ก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพและมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์วัฒนธรรมเพื่อการดำรงชีวิต การศึกษาวัฒนธรรมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงมิติแห่งกาลเวลาควบคู่กันไปด้วย เพราะลักษณะทางกายภาพรูปพรรณสัณฐานของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบ ได้มีความแปรเปลี่ยนพัฒนาการเป็นเวลาอันยาวนาน ภูมิประเทศที่เป็นพื้นดิน ที่ราบลุ่ม ภูเขา เนิน(ควน) แม่น้ำ ทะเลและหมู่เกาะที่ปรากฏให้เห็นสภาพอยู่ในปัจจุบันได้ผ่านการกระทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้ง ทั้งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปและความเปลี่ยนแปลงโดยฉับไวเมื่อมีภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ลักษณะในทำนองเดียวกันกับภาพมิติทางด้านวัฒนธรรมซึ่งเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ที่ได้ผ่านกระบวนการคิดสร้างสรรค์ สั่งสม บ่มเพาะ พัฒนาผ่านห้วงกาลเวลาอันยาวนาน แล้วนำไปถ่ายทอดประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องตอบสนองความต้องการของแต่ละชุมชน จนทำให้เกิดวัฒนธรรมย่อยที่ประพฤติปฏิบัติแตกต่างกันบ้างหรือเกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรม ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมธรรมชาติและอิทธิพลของการปฏิสัมพันธ์กับสังคมภายนอก เพราะวัฒนธรรมและภูมิปัญญาเป็นพฤติกรรมการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับโลก สิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช ธรรมชาติ ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ที่ร่วมกันในสังคมหรือชุมชน และความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ สิ่งที่ไม่สามารถสัมผัสได้ทั้งหลาย วัฒนธรรมจึงมีทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมหรือวัฒนธรรมที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ จากสภาพภูมิศาสตร์ของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาที่มีทั้งป่าเขา ที่ราบลุ่มและพื้นที่ชายฝั่ง สามารถแบ่งชุมชนออกเป็นสามลักษณะคือ กลุ่มแรกเป็นชุมชนที่ราบชายฝั่งทะเลหรือนิยมเรียกกันในภาษาถิ่นว่า “โหมเล” มีการประกอบอาชีพประมง ทำนา ค้าขาย กลุ่มที่สองอยู่ในพื้นที่ราบตอนกลางสภาพเป็นทุ่งกว้างเรียกว่า “โหมท่ง” พื้นที่ราบสลับด้วยภูเขาหินปูนและเนินเขาสูงหรือควนและกลุ่มที่สามคือกลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณเชิงเขาบรรทัดทางทิศตะวันตก เรียกว่า “โหมเหนือ” มีอาชีพทำสวน ทำไร่ หาของป่า วัฒนธรรมและภูมิปัญญาของผู้คนจึงแสดงออกในลักษณะที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับพื้นฐานของอาชีพและการดำรงชีวิต แต่ก็ยังมีพื้นฐานแนวความคิดในลักษณะเดียวกัน คือความเป็นวัฒนธรรมที่ผูกพันในลักษณะเครือญาติของโครงสร้างสังคมระบบอุปถัมภ์ และเป็นวัฒนธรรมของการแลกเปลี่ยนผลผลิต ดังปรากฏหลักฐานการแลกเปลี่ยนสินค้าในย่านชุมชน เมืองท่าและการสัญจรไปมาในทะเลสาบและแม่น้ำลำคลองทั้งยังมีกลอุบายการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลให้มีความเหนียวแน่นมั่นคงด้วยการ “ผูกเกลอ” ไว้สำหรับช่วยเหลือเกื้อกูลประหนึ่งญาติที่มีความใกล้ชิดอีกส่วนหนึ่งด้วย ชุมชนที่อยู่ริมทะเลและพื้นที่ราบลุ่มมีโอกาสได้รับอิทธิพลความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุและเทคโนโลยีได้เร็วกว่าชุมชนที่อยู่เชิงเขา เพราะความสะดวกด้านเส้นทางคมนาคมทางน้ำซึ่งสามารถได้รับสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภคได้เร็ว ทั้งยังสามารถติดต่อกับคนจีนและมุสลิมที่ได้เดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและวัฒนธรรมในเวลาต่อมา ในขณะที่ชุมชนเชิงเขายังอยู่ห่างไกลจากการได้รับอิทธิพลดังกล่าวจนทำให้คนที่ราบริมทะเลและที่ราบลุ่มมักจะเปรียบเปรยผู้ที่มีพฤติกรรมตามไม่ทันความเจริญดังกล่าวว่าเป็น “โหมเหนือ” อีกด้วย อิทธิพลของสภาพภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ยังเกื้อกูลต่อการประกอบอาชีพอันเป็นวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชุมชนที่เด่นชัดเป็นที่รู้จักและยอมรับกันในสังคม ซึ่งมักจะกล่าวถึงด้วยถ้อยคำคล้องจอง เช่น “สะทิ้งทำหม้อ เกาะยอทำอ่าง หัวเขาโพงพาง บ่อย่างขายเคย(กะปิ)” เช่นเดียวกับที่พัทลุงได้กล่าวถึงอาชีพที่เด่นของชุมชนได้แก่ “หนุมจีนตำหนาน(ขนมจีนตำนาน) น้ำตาลบ้านแร่ พลูท่าแค ปลาลำปำ” ข้อความตามสำนวนเหล่านี้เปรียบเสมือนสินค้าโอท็อปในปัจจุบัน ที่ได้รับการยอมรับในภูมิปัญญาและแสดงออกซึ่งวัฒนธรรมของชุมชนได้เป็นอย่างดี
พลังอันทรงอิทธิพลอย่างสูงต่อการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมทางวัฒนธรรม ที่เป็นปทัสถานของสังคมได้แก่ความเชื่อ ความศรัทธาในลัทธิ ศาสนา การเคารพบูชาจิตวิญญาณบรรพบุรุษและอิทธิพลอำนาจเร้นลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่นอกเหนือคำอธิบายที่มนุษย์ไม่สามารถล่วงรู้ได้ กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวงจรชีวิตและปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ เป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งในการคิดค้นสร้างสรรค์นำไปสู่การปฏิบัติเพื่อบำบัดความกลัวและความทุกข์ พร้อมกับแสวงหาความสุขทางกายและใจด้วยการหาสิ่งยึดเหนี่ยวให้กับชีวิต ในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลยสาบสงขลาสันนิษฐานว่ามนุษย์ได้มาอาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากการค้นพบเครื่องมือหินกะเทาะ
ขวานหิน ร่องรอยในการประกอบพิธีกรรมฝังศพตามความเชื่อของมนุษย์ในยุคนั้น ต่อมาในยุคประวัติศาสตร์มนุษย์ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำลำคลอง รู้จักการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ได้สร้างสรรค์วัฒนธรรมเพื่อการดำรงชีวิต รับอิทธิพลความเชื่อของศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธนิกายมหายาน นิกายเถรวาท และศาสนาอิสลาม วัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชุมชนจึงผูกพันอยู่กับความเชื่อความศรัทธาของศาสนาดังกล่าว ทั้งยังมีการประยุกต์ผสมผสานจนกลายเป็นวัฒนธรรมของผู้คนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ความเชื่อความศรัทธาในลัทธิศาสนา การเคารพบูชาในจิตวิญญาณบรรพบุรุษ และความเชื่อในอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย นับได้ว่าเป็นพลังอันสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของผู้คนในชุมชนให้อยู่ร่วมกันได้ในลักษณะความสัมพันธ์ระบบเครือญาติ มีความเรียบง่ายเคร่งครัดในศาสนาและศีลธรรม โดยเฉพาะพุทธศาสนาซึ่งผู้คนส่วนใหญ่นับถือได้มีอิทธิพลอันทรงพลังมาช้านาน มีการอุทิศแรงกายแรงใจให้กับพระพุทธศาสนา ด้วยการปฏิบัติธรรมและสร้างสรรค์จรรโลงศาสนสถานให้มีความวิจิตรงดงาม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้ทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสือจดหมายระยะทางไปตรวจราชการแหลมมลายู ร.ศ.121 ขณะที่เสด็จไปชมอุโบสถวัดวิหารเบิกเมืองพัทลุง วันอาทิตย์ ที่ 8 มิ.ย. 121 ความว่า
“.......มาแวะดูวัดเบิก อยู่เคียงข้างถนนซีกซ้ายมือ มีโบสถ์ก่อช่อฟ้าใบระกาไม้ทรงพอดูได้หน้าบรรณเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑปั้นด้วยปูน มีกนกหว่านล้อมผูกเป็นอย่างใหม่ขั้นอาจารย์แดง (อาจารย์แดงวัดหงส์) ข้างในอุโบสถมีพระประธานปั้นดูค่อยยังชั่วสักหน่อย ฝีมือผนังเขียนสิบชาติข้างบนด้านอุดหน้ามารประจญ ด้านข้างเทพชุมนุม ด้านหลังเรือนแก้วมีพิทยาธรเหาะแลยักษ์ยั่น ฝีมือเขียนเห็นเข้าชื่นใจ เก่าด้วยค่อนข้างดีด้วย เอาที่บางกอกไล่ทันน้อยแห่งเป็นฝีมือช่างแผ่นดินพระนั่งเกล้า มีความสงสัยได้ถามเขาว่าช่างอะไรเขียน หลวงบุรี(หลวงบุรีบริบาล เดิมชื่อสว่าง ณ พัทลุง ภายหลังเป็นพระยาโสภณพัทลุงกุล) ว่าช่างเมืองนี้ชื่อ “สุ่น” เป็นหลวงเทพบัณฑิตกรมการเมืองนี้ แต่ได้ไปหัดกรุงเทพเคยไปเขียนแข่งขันกับอาจารย์แดงวัดพระแก้วก็ได้เขียน ได้เขียนที่นี้ประมาณ 30 ปี เลยแล้ว คราวเดียวกับวัดวัง เดี๋ยวนี้ตัวก็ตายแล้ว พิจารณาดูสอบถามเขาว่าเป็นจริงด้วย....”
จากข้อมูลหลักฐานดังกล่าว ได้สะท้อนให้เห็นภาพมิติทางวัฒนธรรมชุมชนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยเฉพาะความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของประชาชนร่วมสมัย ที่ได้อาศัยพระศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวการดำรงชีวิต พร้อมทั้งการใช้ภูมิปัญญาด้านศิลปกรรมเป็นกลวิธีในการเผยแพร่ความรู้และสร้างความศรัทธาในพุทธศาสนา นอกจากนั้นยังพบว่าภาพประกอบท้องเรื่องของจิตรกรรมฝาผนังโดยทั่วไป ศิลปินมักจะสอดแทรกสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนในยุคสมัยนั้นไว้ด้วย ซึ่งสามารถใช้เป็นข้อมูลในการศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี
การดำรงชีวิตของผู้คนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา มีลักษณะเดียวกับชุมชนเกษตรกรรมทั่วไปโดยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา และมีบางส่วนประกอบอาชีพอื่นบ้างก็ตาม แต่การทำนาถือว่าเป็นอาชีพหลัก วัฒนธรรมชาวนาและวัฒนธรรมในกระบวนการผลิตข้าวจึงเป็นวงจรชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองนครศรีธรรมราชและเมืองพัทลุง จัดได้ว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของภาคใต้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสเมืองพัทลุง ร.ศ. 108 (พ.ศ.2432) ทรงมีพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้ว่า ข้าวที่เมืองพัทลุงสามารถใช้เลี้ยงคนสงขลาได้ทั้งเมือง และปรากฏหลักฐานจดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 จ.ศ.1200-1201 ได้เกณฑ์ทัพเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองพัทลุง พร้อมด้วยข้าวและเสบียงอาหารอื่นๆ ไปทำสงครามในหัวเมืองมลายู คือเมืองไทรบุรี สตูน ละงู นอกจากนั้นยังเกณฑ์กำลังไพร่พลไปทำนาหาเสบียงไว้ล่วงหน้าก่อนทำสงคราม จากหลักฐานดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นความสำคัญของพื้นลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาทั้งในทางเศรษฐกิจ และการรักษาความมั่นคงในหัวเมือง
ปักษ์ใต้ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตชาวนาดำรงอยู่เป็นเวลาอันยาวนาน เพราะมีคติความเชื่อว่าข้าวเป็นธัญพืชที่มีพระคุณแก่มนุษย์ การทำนาเป็นอาชีพดั้งเดิมของบรรพบุรุษที่ได้หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนมาทุกยุคทุกสมัย จึงมีวัฒนธรรมปฏิบัติในกระบวนการผลิตข้าวและการบริโภคด้วยความเคารพศรัทธาและสำนึกในบุญคุณ ได้แสดงออกในประเพณีปฏิบัติต่างๆ ที่เป็นบุญกุศลเกี่ยวเนื่องกับลัทธิความเชื่อศาสนา เช่น การไหว้แม่โพสพ การทำขวัญข้าว ประเพณีลาซัง ประเพณีทำบุญกองข้าวเลียง นอกจากนั้นการทำนายังทำให้เกิดความรักความผูกพันกับท้องถิ่นและความสามัคคีของชุมชนให้มีความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน การประกอบอาชีพการทำนาจึงมีอิทธิพลอย่างสำคัญยิ่งต่อการสร้างสรรค์สังคมชุมชนลุ่มน้ำทะเลสาบให้ดำรงอยู่อย่างมีพลัง
วัฒนธรรมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ในมิติของกาลเวลาที่เปลี่ยนผ่านจากอดีตสู่ปัจจุบันยังมีพฤติกรรมอีกหลายด้านทั้งของผู้คนชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ที่ราบลุ่มตอนกลางและพื้นที่เชิงเขาด้านตะวันตก ซึ่งมีทั้งวัฒนธรรมของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมทางด้านการเมืองที่ควรแก่การศึกษาค้นคว้า เพื่อหาบทพิสูจน์ในสมมุติฐานต่างๆ ให้มีความคมชัดมากขึ้น ภาพแห่งอดีตจะมีคุณค่าที่สมบูรณ์ควรแก่การภาคภูมิใจ ก็ด้วยการสืบเสาะแสวงหามาบอกเล่าและบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เพื่อเชื่อมโยงบทเรียนและเป็นกระจกเงาสะท้อนภาพวัฒนธรรมที่แปรเปลี่ยนในปัจจุบัน รวมทั้งสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ลุ่มแม่น้ำทะเลสาบสงขลาได้ถูกทิศทาง สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนอีกด้วย