สบายดี...เวียงจันท์ 450 ปี กับ ครูกวีน้อยเมืองนครฯสัญจร
‘อย่าหม่อมฉันอันที่ดีและชั่ว ถึงลับตัวก็ชื่อเขาลือฉาว
เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว เขมร ลาว ลือเลื่องถึงเมืองนครฯ’
จากบทหนึ่งในเพลงยาวถวายโอวาทของมหากวีกระฎุมพีสุนทรภู่ เป็นเหตุผลหนึ่งที่กลุ่มกวีน้อยเมืองนครฯ นำโดย อ.บุญเสริม แก้วพรหม หรือ รัตนะ ธาดา ประธานภาคใต้ สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าคณะจัดกิจกรรมครูกวีน้อยเมืองนครสัญจร ‘นิราศเมืองลาว’ ระหว่าง 16-22 ตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา เพื่อเดินทางไปเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลอง 450 ปี นครเวียงจันท์ สปป.ลาว และจุดประกายไฟให้แก่ครูทั้งสองฝั่งซึ่งมีครูอาจารย์และผู้สนใจกว่า 40 ท่านร่วมเดินทางครั้ง โดยคณะออกเดินทางจากจังหวัดนครศรีธรรมราชมุ่งตรงไปยังจังหวัดหนองคายผ่าสายฝนและน้ำนองถึงค่ำของวันที่ 17 ตุลาคม มองมองโขงฟากฝั่งโน้นในยามค่ำ
นอกจากนี้ยังมีกำลังสำคัญให้เกิดกิจกรรมในนามของกลุ่มไม่ว่าจะเป็น อ.นิโรจน์ ทิศทองแก้ว,อ.โชติ พรมเช็ก,อ.พงศ์ กาญจนภักดิ์,อ.เจริญศรี บุญสว่าง,อ.นิภา นวลขาว รวมทั้ง อ.สงวน กลิ่นหอม นักกลอนดีเด่น ภาคใต้ของ สมาคมนักกลอนฯ ปี พ.ศ. 2552 ร่วมคณะเดินทางไปด้วย
เวียงจันท์ ไม่ใช่ดินแดนใหม่และไม่ใช่เมืองใหม่ แต่มีร่องรอยคูน้ำกำแพงดินขนาดใหญ่ของเมืองเวียงจันท์เดิมอยู่สองฝั่งแม่น้ำโขง คล้ายเมืองอกแตก มีพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมหลายพันปี พอๆ กับบริเวณ “แอ่งสกลนคร” ในเขต “อีสานเหนือ” ที่มี “วัฒนธรรมบ้านเชียง”
รุ่งเช้าพบกันที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเชิงสะพานมิตรภาพไทย –ลาว การเดินทางครั้งนี้มี ชินวัฒน์ ตั้งสุทธิจิต หรือ มหา สุรารินทร์ ผู้สนใจเรื่องภูมิสังคมวัฒนธรรมอุษาคเนย์ เป็นหัวหน้าคณะมัคคุเทศก์ร่วมกับไกด์สาวลาว ดาวเวียง ขาวผันนำชมสถานที่ต่างๆในเวียงจันท์ และ อ.วิทยา วุฒิไธสง จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นผู้ประสานงานร่วมกับ ทองแถม นาถจำนง อุปนายสมาคมนักกลอนฯ และ อ.สมพาวัน แก้วบุดตา อาจารย์ภาควิชาลาว จาก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ดูแลคณะตอลดการเดินทางใน สปป.ลาว
วันแรกของการเดินทางท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายตลอดช่วงเช้าจึงชุ่มฉ่ำเป็นอย่างยิ่งที่ พระธาตุหลวง ซึ่งมีอนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ผู้สถาปนานครหลวงเวียงจันท์เป็นราชธานีเมื่อ 450 ปี ที่แล้วตั้งตระหง่านอยู่หน้าองค์พระธาตุพระเจ้าไชยเษฐาธิราช ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงทองหรือเมืองหลวงพระบางมาตั้งศูนย์กลางพระราชอาณาจักรบริเวณเมืองเวียงจันท์ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2103 ตามหลักฐานที่ ดร.สุเนด โพทิสาน อ้างอิง ซึ่งพระนครแห่งนี้มีอายุ 450 ปี ในปี พ.ศ. 2553 นี้
เวียงจันท์ มีความสำคัญมากขึ้น เมื่อท้าวฟ้างุ้มจากหลวงพระบางมาครอบครอง มีหลักฐานทั้งศิลาจารึก ตำนาน พงศาวดารว่า เป็นเครือญาติกับอาณาจักรขอมแห่งกัมพูชา กรุงศรีอยุธยา แคว้นสุโขทัย จนถึงดินแดนโยนก –ล้านนา ความยิ่งใหญ่ของเวียงจันท์เป็นถึงระดับมหานครหนึ่งของภูมิภาคนี้ มีอยู่ในเอกสารชาวตะวันตกที่เดินทางจากปากแม่น้ำโขงผ่านกัมพูชาขึ้นไปเจริญทางพระราชไมตรีกับเจ้ามหาชีวิตเวียงจันท์ เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 22 (ราว พ.ศ. 2183 หลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก)
พระธาตุหลวงแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศลาวเครือญาติชาติพันธุ์ เครือญาติชาติภาษากับสยามฝั่งไทย ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนจะมีประเพณีไหว้พระธาตุผู้คนจากทั่วสารทิศใน สปป.ลาวมาร่วมกัน ณ สถานที่แห่งนี้จนเต็มท้องสนามหลวงหน้าองค์พระธาตุ ขณะที่ถนนเลียมแม่น้ำโขงมีร้างรวงมาออกร้านเต็มไปหมดเนื่องอยู่ในเทศกาลบุญแข่งเรือประเพณีวันออกพรรษาที่จะมาถึงในอีกมากี่วัน
หลังจากนมัสการองค์พระธาตุหลวงเราจะต้องเดินทางไปชมภูมิทัศน์รอบนครหลวงเวียงจันท์บนประตูชัยกลางถนนล้านช้าง ถนนสายหลักที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ ก่อนจะไปศึกษาดูงานที่ หอสมุดแห่งชาติ สปป.ลาว โดยมี ผอ. บุญเลิด ทำมะจัก ให้การต้อนรับคณะไม่ว่าจะเป็นการปริวัตรอักษรจากใบลานหรือห้องสมุดสำหรับคนพิเศษหรือห้องสมุดเคลื่อนที่ในการส่งเสริมการอ่านกับเยาวชน
หอสมุดแห่งนี้มีห้องสมุดอาเซียนประเทศต่างๆ เช่น เวียดนาม ,กัมพูชา เป็นอาทิ โดยเฉพาะโซนห้องของประเทศไทยนั้นหนังสือส่วนใหญ่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีฯ พระราชทานหนังสือให้แก่หอสมุดแห่งนี้ ซึ่งเป็นส่วนใหญ่จากหนังสือทั้งหมดในโซนหนังสือไทย
บ่ายคล้อยหลังมื้อเที่ยงคณะเราเดินทางต่อไปยังวัดองค์ตื้อซึ่งไม่ไกลจากริมโขงทีตรงข้ามอำเภอศรีเชียงใหม่ถัดจากวัดจันทบุรีที่อยู่ริมฝั่งโขง สร้างขึ้นรัชสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช วัดแห่งนี้อยู่ถนนสายหลักที่นักเดินทางจะมาตั้งหลักท่องเที่ยวเวียงจันท์จึงคราคร่ำไปด้วยรถราพาหนะและผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ เมื่อถึงวัดเราไปกราบนมัสการพระประธานในอุโบสถที่เรียกว่า พระองค์ตื้อ พระประธานขนาดใหญ่ซึ่งสร้างก่อน ‘พระสุก’ ซึ่งจมอยู่ใต้แม่น้ำโขง ‘พระใส’ ที่ฝั่งหนองคาย และ ‘พระเสริม’ พระประธานในพระอุโบสถวัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ นอกจากนี้วัดองค์ตื้อนั้นยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสงฆ์อีกด้วยภายในวัดจึงมีร้านหนังสือเคลื่อนที่มาจำหน่ายให้กับพระนักศึกษา
หลังจากออกจากวัดองค์ตื้อเราไปกับต่อที่‘ร้านหนังสือดอกเกด’ ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอนุสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้ม มหาราชองค์สำคัญของลาว ผู้รวบรวมอาณาจักรลาวให้เป็นเอกภาพ
ร้านดอกเกด นั้นเจ้าของร้านหนังสือคือคุณดวงเดือน บุนยาวง นักเขียนซีไรต์ให้การต้อนรับพร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องการเรียนการสอนวรรณกรรมและตลาดหนังสือใน สปป.ลาว นอกจากนี้เรายังได้พบกับ ฮุ่งอรุณ แดนวิไล หรือ โอทอง คำอินซู นักเขียนซีไรต์ อีกท่านหนึ่งร่วมเสวนาฉันทลักษณ์ของลาวและบรรยากาศการเรียนในห้องเรียนของ สปป.ลาว
รวมทั้งกวีซีไรต์คนล่าสุดของ สปป.ลาว คือ คุณดาลา กัลยา มาให้การต้อนรับคณะในครั้งนี้ด้วย และ อ.วิกกี้ กัลยา ผู้ที่นำสินไซมานำเสนอสร้างความสนใจเรื่องวรรณกรรมให้หนุ่งสาวรุ่นใหม่ คณะเราใช้เวลาที่ร้านหนังสือนานพอสมควรเลือกซื้อหนังสือทั้งที่เป็นงานใหม่ งานค้นคว้าของ มหาสิลา วีระวงศ์ ปราชญ์คนสำคัญด้าน ประวัติศาสตร์และวรรณกรรม รวมทั้งนิตยสารต่างๆ และวรรณกรรมร่วมสมัยพร้อมกับแบบเรียนของ สปป.ลาว โดยเฉพาะวงการนักประพันธ์ลาวปีนี้จะคึกคักเป็นพิเศษกับการเฉลิมฉลองเมืองหลวงแห่งนี้ อีกทั้งครบ 20 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างนักเขียนลาวและไทยโดย สโมสรนักเขียนภาคอีสาน เมื่อ ตุลาคม 2533 ในการก่อตั้งสมาคมนักประพันธ์ สปป.ลาว
คณะเราจะค้างแรมที่โรงแรมเจริญฮุ่ง ในค่ำนี้เจ้าของโรงแรมได้เตรียมหมอพรพร้อมกับบายศรีสู่ขวัญไว้ต้อนรับคณะเราอย่างเรียบง่ายและภาคบันเทิงยังมีการรำวงเต้นบัติสะลบโดย อ.วิกกี้ กัลยา ได้มาร่วมแจมในครั้งซึ่งทางคณะครูกวีน้อยฯ ได้เตรียมกับรำโนราห์มาสาธิตให้ดูด้วย
รุ่งเช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง แรกเริ่มเดิมทีเรามีจุดหมายในการเดินทางไป มหาวิทยาลัยแห่งชาติ สปป.ลาว หรือทีดงโดก เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การเรียนการสอนกับคณะคณาจารย์คณะอักษสาสตร์ แต่เนื่องจากวันนั้นมีประชุมเราจึงเปลี่ยนสถานที่เป็นโรงเรียนประถมสมบูรณ์สว่าง ที่บ้านสว่าง เมืองจันทบุรี โดย ผอ.โรงเรียน อ.พวงมณี แสงจันทวงศ์ ให้การต้อนรับ โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ในวัดสมบูรณ์สว่าง บรรยากาศร่มรื่น คณะเราดูบรรยากาศในห้องเรียนที่มีทั้งหญิงและชายรวมทั้งสามเณรน้อยนั่งเรียนร่วมกับที่แห่งนี้ได้นั่งพูดคุยกับครูในแต่ละชั้นเรียนเมื่อครูกับครูมาเจอกกันเรื่องราวพูดคุยจึงยาวยืดอย่างออกรสออกชาติเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษาในเมืองไทยและการศึกษาในเมืองลาว ขณะที่น้องๆหนูๆนักเรียนก็ดูจะสนใจเป็นพิเศษกับการมาเยือนของคณะจากเมืองไทยคณะนี้
ก่อนมื้อเที่ยงเรายังมีรายการสำคัญอีกรายการหนึ่งคือไปเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ไกรสร พรหมวิหาร ที่ตั้งอยู่นอกเมืองมีรูปปั้น นายไกรสร พรหมวิหาร อดีตประธานประเทศเด่นสง่าโบกมือพร้อมกับอนุสารีย์ผู้คนในแต่เผ่าพันธุ์อาชีพที่สร้างความเป็น สปป.ลาว อยู่ด้านหน้า
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นแหล่งศึกษาประวัติศาสตร์วิวัฒนาการสังคมวัฒนธรรมและการขบวนการต่อสู้ปลดปล่อยประเทศลาวภายใต้การนำของบุคคลสำคัญไม่ว่าจะเป็น เจ้าสุภานุวงศ์ หรือที่เรารู้จักกันในนาม ‘เจ้าชายแดง’ และนายไกรส พรหมวิหาร ตลอดจนภาพบุคคลต่างในประวัติศาสตร์ลาวสมัยใหม่ ซึ่งพิพิธภัณฑ์แบ่งเป็นโซนๆ สองฝั่งของตัวอาคาร ซึ่งภัทรรักษ์และเจ้าหน้าที่ได้นำชมจนครบที่โซน
ก่อนมื้อเที่ยงวันนี้เราทานกันริมน้ำโขง มีนักท่องเที่ยวเต็มร้านรวงไปหมดส่วนใหญ่ข้ามมาจากฝั่งไทยแทบทั้งสิ้นก่อนหน้าจะมาทานมื้อเที่ยวได้พาแวะซื้อเครื่องเงิน โดยภาคบ่ายเลือกซื้อสินค้าที่ตลาดเช้าซึ่งขณะได้ก่อสร้างปรับปรุงเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่ไหลบ่ามาเที่ยว สปป.ลาว เริ่มบริษัททุนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจมาขึ้น
แต่ก่อนจะไปตลาดเช้าในภาคบ่ายยังมีโปรแกรมของการเดินทางไปยัง พระอุโบสถพระแก้วเดิมที่ตั้งอยู่ติดกับ หอคำ หรือทำเนียบประธานประเทศ ชมโบราณสถานตรงกันข้ามเป็นวัดสีสะเกด วัดแห่งเดียวในเวียงจันท์ที่ไม่ถูกเผาในศึกสงครามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มี พระยาบดินทร์เดชา เป็นแม่ทัพใหญ่ ศึกครั้งได้เกิดวรรณกรรมนิราศเรื่องสำคัญที่บรรยายความงดงามของนครหลวงแห่งนี้ นิราศทัพเวียงจันท์ ของ หม่อมเจ้าทับ ในกรมหลวงเสนียบริรักษ์ กวีวังหลังร่วมสมัยกับสุนทรภู่ ซึ่งพรรณาความงดงาม ความรุ่งเรือง และความองอาจของพระมหานครเวียงจันท์ว่า “งามสถานปานศรีอยุธยา”
ล่วงทวารด่านโดยทักษิณทิศ พี่เปลี่ยวจิตเปล่าใจอาลัยหา
งามสถานปานศรีอยุธยา ช่างเทียบทำทีทำไม่ผิดทรง
ความงดงามมของเวียงจันท์สำนวนโวหารของ หม่อมเจ้าทับ เขียนนิราศเชิงขนบเปรียบเทียบ แต่ยังพรรณนาภูมิสถานพระราชวังเวียงจันท์ในอดีตไว้อย่างวิจิตรพิสดารละเอียดละอออีกด้วย
กราบพระที่อุโบสถวัดสีสะเกดที่กำลังปรับปรุงซ่อมแซมเพื่อให้ทันกับงานเฉลิมฉลองพระนครพร้อมๆกับไม่ใกล้ไม่ไกลจากหอคำนักกำลังมีการก่อสร้างพระอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ เจ้ามหาชีวิตองค์สำคัญที่คนลาวให้การเคารพนับถือไม่ด้อยไปกว่า เจ้าฟ้างุ้ม,พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช และเจ้าสุริยะวงษา ไปเลย
เมื่อเสร็จธุระการเดินชมตลาดสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งคือวัดสีเมือง ซึ่งเป็นสำคัญคือเสาหลักเมืองนครหลวงเวียงจันท์ที่มีแม่ศรีเมืองปกปักรักษาเมืองแห่งนี้เป็นสถานที่สุดท้ายของวันในการเยี่ยมยามเวียงจันท์มาสองวันเต็มๆ ก่อนจะไปรับประทานอาหารมื้อค่ำและนั่งรถชมเวียงจันท์ยามราตรีและเข้าที่พักก่อนจะอำลาเวียงจันท์ในรุ่งอรุณเพื่อกลับฝั่งหนองคายเดินทางต่อไปยังจังหวัดกาฬสินธุ์และถึงนครศรีธรรมราชในวันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม ตามกำหนดไว้ในเส้นทางของครูกวีน้อยเมืองนครฯ
3 วันในเวียงจันท์หลายคนประทับใจเพราความง่ายงามในความเป็นลาวนี่แหละที่ทอดสายสัมพันธ์กันได้โดยไม่มีภาษามาขวางกั้นสายสัมพันธ์จึงบ่กั้นขวางแว่วๆว่า โครงการครูกวีน้อยเมืองนครฯ จะกลับมาชื่นชม สปป.ลาว อีกในคราหน้าที่เมืองมรดกโลก
พบกันใหม่ฉบับหน้า สบายดี...
สะบายดีเวียงจัน
ขัวข้ามเขตข้ามของโยงสองฝั่ง
เชื่อมความหวังสัมพันธ์ที่มั่นหมาย
ส่งตายิ้มปริ่มฮักมาทักทาย
ฝากกับสายน้ำโขงอยู่โยงใย
สะบายดีเวียงจัน...วันเยี่ยมยาม
แม่โขงถามเบาเบา..เจ้าไปใส
ตอบคำแม่คำหลายไม่อายใคร
ว่า-ไปตามหัวใจในเมืองลาว
หัวใจแห่งวิถีที่อบอุ่น
หอมละมุนชื่นฉ่ำดังคำกล่าว
หัวใจแห่งสัมพันธ์อันยืนยาว
ร่วมผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน
หัวใจแห่งรักร้อยที่รวมใจ
รากร่วมในภาษาที่สื่อสาร
หัวใจแห่งวัฒนธรรมแต่เบาราณ
ที่สืบย่านเครือญาติมาด้วยกัน
มาเวียงจันทน์จึงเหมือนมาเยือนญาติ
อบอุ่นในเชื้อชาติไม่หวาดหวั่น
สนิทใจในวิถีที่ผูกพัน
จนคงมั่นเหมือนดั่งโขงที่โยงใย
จากเวียงจันทน์..ทั้งที่ใจไม่อยากจาก
เว้าคำฝากคำมั่นมิหวั่นไหว
ถึงแม้กายระยะทางจะห่างไกล
แต่หัวใจเราใกล้กันอยู่มั่นคงฯ
รัตนธาดา แก้วพรหม
สำนักกวีน้อยเมืองนคร นครศรีธรรมราช
ในรถระหว่างเส้นทางเวียงจันทน์-หนองคาย
เช้า ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๓