มองบทกวี* (ทรรศนะวิจารณ์การเขียนกลอน) ๒
โดย: คล้ายเดือน
@อุ่นไอ-ใดเล่าจักเท่าไออุ่นแม่
รักใด-ใครให้แท้เท่าแม่รัก
ห่วงใด-ใครให้ได้อย่างพร้อมพรัก
ใยใด-ใครทอถักเหนียวกว่าไป่มีฯ
@อุ่นรัก ห่วงใย-จากแม่
ดุจแสงดาวพริ้มพรายรัศมี
ที่แผดชุ่มอุ่นค่าบารมี
ที่แม่นี้มีให้กับลูกเอยฯ
บทกวีที่คัดมานี้เพื่อแสดงทรรศนะการมองบทกวี ชื่ออุ่นรัก-ห่วงใย ของ ฐิติวัฒน์ อุณาตระการ ผมไม่ได้ขออนุญาตผู้เขียนเป็นการส่วนตัว แต่งานชิ้นใดเมื่อปรากฎเผยแพร่ต่อสาธารณะ งานชิ้นนั้นย่อมนำมาวิจารณ์ได้**
บทกวีชิ้นนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เซคชั่นจุดประกายวรรณกรรม ฉบับที่ 732 วันอาทิตย์ 15 สิงหาคม 2553 หน้า 7 (ประกายกวี)
เหตุผลที่ผมหยิบยกมาแสดงทรรศนะ เพราะเห็นว่าบทกวีชิ้นนี้มีแง่มุมที่จะกล่าวถึงในข้อดีและข้อด้อยได้
ผมอ่านบทกวีชิ้นนี้รอบแรกแบบผ่านๆและอ่านรอบที่สองอย่างพินิจ สะดุดครับ สะดุดใจว่างานชิ้นนี้เขียนด้วยคำประพันธ์ประเภทใด ลองอ่านแบบออกเสียงอีกรอบก็ยังสงสัย เหตุผลรองรับคือคำว่าไป่มีและเอย หากงานชิ้นนี้ไม่มีข้อผิดพลาดจากการเรียงพิมพ์ ผมว่าเขียนแบบกลอนสุภาพหรือกลอนแปด
มาดูบทแรกกันครับ
‘อุ่นไอ-ใดเล่าจักเท่าไออุ่นแม่’อ่านแล้วเริ่มมองเห็นภาพและรู้สึกตามถ้อยคำในวรรคแรกเลยนะครับ ผู้เขียนเปิดบทกวีชิ้นนี้ได้ดีพอสมควร ‘รักใด-ใครให้แท้เท่าแม่รัก’วรรคสองก็รับกับวรรคแรกได้ดี พอถึงวรรคสามคำว่าพร้อมพรัก เสียงไม่ได้ ไม่รื่นหู หากเปลี่ยนเป็น ‘ห่วงใด-ใครให้ได้ใจประจักษ์’น่าจะไปได้และฟังดูดีกว่า พอถึงวรรคท้าย ‘ใยใด-ใครทอถักเหนียวกว่าไป่มี’พอกลับไปอ่านวรรคสามเพื่อต่อวรรคท้ายกลับไม่เกี่ยวร้อยกลมกลืนกัน ทำให้ความหมายวรรคท้ายเปลี่ยนไป
คำว่า ห่วงใย ถ้าอยู่รวมกันเป็นความรู้สึก พอแยกกันกับคำว่า ห่วง นอกจากมีความหมายเป็นอย่างอื่นได้อีก แต่ยังให้ความรู้สึกเป็นห่วงได้ ส่วนคำว่า ใย พอแยกกันอยู่ ไม่เหลือความรู้สึกเลยครับ ออกจะมีความหมายเป็นอย่างอื่น เป็นใยไหม ใยแมงมุมไป ฉะนั้นห่วงในวรรคสามจึงไม่อาจโยงมาถึงใยในวรรคท้ายของบทแรกได้ เสียความไปเลยครับ
บทสองต่อ...
อุ่นรัก ห่วงใย-จากแม่ เป็นทั้งชื่อของงานชิ้นนี้และคล้ายจะขมวดคำที่อยู่หน้าขีด(-) ในบทแรกให้เหลือเพียง ‘อุ่นรัก ห่วงใย’ใครให้และได้จากใคร คำถามของผู้เขียนที่ทิ้งไว้ในบทแรกมาเฉลยในวรรคแรกของบทสองว่า-จากแม่และมีให้กับลูกในวรรคจบ
‘ดุจแสงดาวพริ้มพรายรัศมี’ดาวส่องแสงพริ้มพรายไม่รับกับวรรคแรกเลยครับ ไปกันคนละทาง และคำว่า ดุจ ยิ่งทำให้ความหมายของ อุ่นรัก ห่วงใย-จากแม่ ลดค่าลงเหลือเพียงแค่แสงดาวพริ้มพราย ซึ่งผมไม่เห็นดีด้วยนะครับ ‘ที่แผดชุ่มอุ่นค่าบารมี’คำบางคำในวรรคสามยิ่งเสียความไปใหญ่ ที่แผด คำว่า แผด ความหมายคือฉายแสงกว่า(ใช้แก่แดด) ดาวมีแสงระยิบระยับ ไม่อาจแผดได้หรอกครับ และคำว่า ชุ่ม(เปียก)ที่ต่อจากแผดก็ไม่รับกัน ยิ่งต่อด้วยคำว่า อุ่น อีกคำ ชุ่มแล้วอุ่น เห็นจะไม่มีนะครับ พอถึงวรรคจบในวรรคท้าย ‘ที่แม่นี้มีให้กับลูกเอย’ จบได้ดีครับ แต่ก่อนวรรคจบเสียความไปถึงสองวรรค และเป็นสองวรรค ถ้าถูกตัดไปก็ยังรู้ได้ว่าผู้เขียนต้องการสื่ออะไร
บทกวีชิ้นนี้มีข้อด้อยที่ คำ สื่อความผิดความหมาย ไม่ตรงใจ ทำให้เสียรสความไป อ่านแล้วรู้สึกตะกุกตะกัก ไม่รื่นหูในบทแรก เพราะอุ่นไอ-รักใด-ห่วงใด-ใยใด เสียจังหวะกลอนครับ การส่งสัมผัสยังไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นระหว่างบทระหว่างวรรค ใช้คำเดียวกัน (ไป่มี-รัศมี-บารมี)เรียกว่า สัมผัสซ้ำ และสัมผัสรับในวรรคท้ายหรือวรรคจบของบทกวีชิ้นนี้ ‘ที่แม่นี้มีให้กับลูกเอย’ มีคำรับสัมผัสถึง 3 คำ ที่-นี้-มีทำให้เสียงของกลอนพร่าไป เรียกว่า สัมผัสเลือน (ข้อสังเกต:เมื่อใช้คำเสียงใดเป็นสัมผัสรับแล้ว ไม่ควรให้สัมผัสกับคำอื่นๆในวรรคนั้นอีกครับ) ซึ่งผู้เขียนพึงระมัดระวังในการเขียนกลอน
บทกวีชิ้นนี้ไม่ได้มีแต่ข้อด้อยอย่างเดียวหรอกครับ ยังมีข้อดีที่ผู้เขียนสื่อถึงแม่ ‘อุ่นรัก ห่วงใย-จากแม่...นี้มีให้กับลูก’(เอย) กลอนบทไหนเขียนถึงแม่ ผมว่าดีทั้งนั้นครับ
ใครเห็นด้วย เห็นต่างเป็นอย่างอื่นก็แสดงทรรศนะมาได้ เชิญครับ
*มองบทกวี เป็นชื่อเรื่อง/บทความของวาณิช จรุงกิจอนันต์ ที่เขียนไว้ในคอลัมภ์ กวีฤาแล้งแหล่งสยาม นิตยสารสู่อนาคต (ปี2527-2528) ก่อนรวมเล่มเป็นเรียงร้อยถ้อยคำ
**บทความชิ้นนี้เขียนเพื่อต่อยอดและรำลึกถึง วาณิช จรุงกิจอนันต์ (นักเลงกลอน) ผู้เป็นแรงบันดาลใจ