ง่ายและงามอย่างลาว
แวง พลังวรรณ
ภูมิหลัง
ประวัติศาสตร์ของลาวเริ่มจากอาณาจักรน่านเจ้า มีตำนานขุนบรมและขุนลอ จนถึงรัชสมัยพระเจ้าฟ้างุ้ม ผู้รวบรวมอาณาจักรล้านช้างเป็นผลสำเร็จในช่วงสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๙และมีกษัตริย์ปกครอง ในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชถือเป็นยุคทองของราชอาณาจักรล้านช้าง แต่เมื่อพระองค์สวรรคต เชื้อพระวงศ์ก็แก่งแย่งราชสมบัติกัน จนอาณาจักรล้านช้างแตกแยกเป็น๓ อาณาจักร คือ อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์และอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ ต่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน และเพื่อชิงความเป็นใหญ่ต่างก็ขอสวามิภักดิ์ต่อเมืองเพื่อนบ้าน เช่น ไทยและพม่า เพื่อขอกำลังมาสยบอาณาจักรลาวด้วยกัน
ในที่สุดอาณาจักรลาวทั้งสามจึงตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรสยามในปี๒๓๒๑ในปี พ.ศ.๒๓๖๙อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์มีเจ้าอนุวงศ์เป็นกษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ได้พระราชทานเมืองจำปาสักให้ราชบุตรเจ้าอนุวงศ์ปกครอง ต่อมารัชกาลที่ ๒ เสด็จสวรรคต เจ้าอนุวงศ์ได้กอบกู้อิสรภาพ ฝ่ายไทยได้ส่งกองทัพนำโดยกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ และเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ไปปราบเจ้าอนุวงศ์ เจ้าอนุวงศ์สู้ไม่ได้จึงหลบหนีเข้าเวียดนาม ภายหลังจึงกลับมาสู้รบอีกครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้อีก และต้องหลบหนีอีกครั้ง และถูกเจ้าน้อยเมืองเชียงขวางจับตัวได้และส่งเข้ากรุงเทพฯ และถูกคุมขังจนสิ้นพระชนม์ที่กรุงเทพฯ
สภาพการปกครอง และการบริหารด้านเศรษฐกิจของลาวเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นในระยะหลังของทศวรรษ ๑๙๘๐ ต่อมาเมื่อเจ้าสุภานุวงศ์สละตำแหน่งจากประธาน ผู้ดำรงตำแหน่งประธานประเทศต่อจากเจ้าสุภานุวงศ์ คือ ท่านไกสอน พมวิหาน และเมื่อท่านไกสอนถึงแก่กรรม ท่านหนูฮัก พูมสะหวัน ก็ได้ดำรงตำแหน่งประธานประเทศต่อมา ยุคนี้ลาวกับไทยเปิดสะพานมิตรภาพ ไทย - ลาว ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ต่อมาท่านหนูฮักสละตำแหน่ง ท่านคำไต สีพันดอนก็รับตำแหน่งประธานประเทศต่อ จนถึงปี ๒๕๔๙ ท่านคำไตได้ลงจากตำแหน่ง ให้ท่านจูมมะลี ไซยะสอน เป็นประธานประเทศลาวจนปัจจุบัน
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวปกครองในระบอบสังคมนิยม โดยพรรคประชาชนปฏิวัติลาวมีอำนาจสูงสุด และได้กำหนดนโยบายและเป้าหมายการพัฒนาประเทศในการประชุมสมัชชาพรรคฯ ครั้งที่ ๘ เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๔๙ ให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดถือปฏิบัติ คือ ปี ค.ศ. ๒๐๒๐ (๒๕๖๓) ลาวต้องพ้นจากสถานะของประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด ต้องมีความมั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจต้องขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประชาชนต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากปัจจุบัน ๓ เท่าตัว
ดังนั้น ระหว่างปี ๒๕๔๙-๒๕๕๓ จึงเป็นช่วงเสริมสร้างพื้นฐานเพื่อบรรลุเป้าหมายในปี ๒๕๖๓ โดยกำหนดให้เศรษฐกิจต้องมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ยุติการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย แก้ไขปัญหาความยากจนให้หมดสิ้นไป เตรียมพัฒนาบุคลากรรองรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรม ประชากรมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า ๘๐๐ เหรียญสหรัฐฯ ต่อปี
วิถีลาว-คนลาว
ชาติลาวถึงแม้ว่ามิใช่ชนชาติที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็มีความเป็นมาอันยาวนานหลายพันปี และก็ประกอบด้วยหลายชนชาติ ในปัจจุบันรัฐบาลลาวถือเอาว่าชนเผ่าในชาติมีทั้งสิ้น ๔ ชนเผ่า มาจาก ๔ ตะกูลภาษาได้แก่ ๑. ลาว-ไต ๒. มอญ-ขแมร์ ๓. จีน-ธิเบต ๔. ม้ง-อิวเมี่ยน และแม้ชนเผ่าต่างๆ จะมีภาษาพูด ฮีต-คอง ประเพณีและฐานะทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ก็มีมูลเชื้อความขยันขันแข็ง กอปรด้วยภูมิความรู้ และน้ำใจการต่อสู้อันพีระอาจหาญ ไม่ยอมก้มหัวให้ศัตรูใดๆ และทุกเผ่ามีความรักสมัครสมานสามัคคีดุจเป็นพี่น้องในครอบครัวเดียวกันมาแต่โบราณกาล ดังตำนาน “ขุนบรม” ที่กล่าวไว้ว่า “ทุกชนชาติชนเผ่าล้วนแต่กำเนิดมาจากน้ำเต้าปุงใบเดียวกัน”
การขับร้อง-ขับลำ
ความหลากหลายทางชนเผ่าที่มีภาษาพูด ฮีต-คอง วัฒนธรรมและความสวยสดงดงามรุ่มรวยทางธรรมชาติ ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจ เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการประดิษฐ์คิดแต่งทางด้านศิลปะ วรรณกรรม และเกิดเสียงขับ เสียงลำ เสียงเซิ้ง[1] ที่หลากหลลาย ทำให้ขุมสมบัติด้านนี้พอกพูนทวีขึ้นเป็นลำดับกล่าวเฉพาะการขับ การลำ การเซิ้งและแคน อันเครื่องดนตรีหลักที่เล่นประกอบแล้ว คงไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเอกลักษณ์ของชนชาติลาวมาช้านานบนผืนโลกใบนี้ คงไม่มีชนชาติใดขับ-ลำ-เซิ้ง ประกอบแคนได้เหมือนชนชาติลาวอีกแล้วประเทศลาวจึงอุดมรุ่มรวยด้วยการขับลำประเภทต่างๆ เช่น
ภาคเหนือ :ขับลื้อ ขับซำเหนือ ขับไทดำ ขับเจิม (ขมุ) ขับพวน ขับทุ้มหลวงพระบาง
ภาคกลาง (เวียงจันทน์) : ขับงึ่ม ลำล่องของ ลำเต้ย ลำตัด
แขวงคำม่วน : ลำมหาไซ
แขวงสะหวันนะเขต : ลำคอนสะหวัน ลำผู้ไท ลำตั่งหวาย ลำตำหลอย ลำบ้านซอก
ภาคใต้ :ลำสาละวัน ลำสีพันดอน (ลำใต้) ลำโสม และยังมีขับของเผ่าอื่นๆ
นอกจากการขับ ลำ เซิ้ง แบบพื้นเมืองของสามัญชนแล้ว ทางชนชั้นศักดินานับแต่ครั้งโบราณ ก็มีวงมโหรี ปี่พาทย์ ฆ้องวง ระนาด มีนาฏศิลป์ มีดนตรีลาวเดิม และเพลงลาวเดิมที่เป็นอมตะก็ได้แก่ ลาวดวงเดือน ลาวเสี่ยงเทียน ลาวเจริญศรี ลาวเจ้าชู้ ....
อาจกล่าวได้ว่า ด้วยขับลำ เซิ้งพื้นเมืองของชนเผ่าและท้องถิ่นต่างๆ นั้นเอง ที่เป็นพื้นฐาน เป็นรากเหง้าของเพลงแนวลาวสะไหม (ลาวทันสมัย/ลาวร่วมสมัย)
แนวเพลงลาวสะไหม ถือกำเนิดขึ้นระหว่างต้นทศวรรษ ๑๙๔๐ อันเป็นระยะต้นของสงครามโลก ครั้งที่ ๒ หากจะนับเป็นเวลากว่ากึ่งศตวรรษแล้ว ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ฝรั่งเศสได้ครอบครองเมืองลาว และตลอดห้วงเวลาดังกล่าว ฝรั่งเศสได้จำกัดสิทธิ์และควบคุมด้านการศึกษา ศิลปะ วรรณกรรม และฮีต-คอง วัฒนธรรมทั้งปวงไว้ในกำมือ และการที่ฝรั่งเศสอนุญาตให้ปัญญาชนคนลาวออกจดหมายเหตุ ฉบับปฐมฤกษ์ ที่มีชื่อว่า “ลาวใหญ่” ด้านหนึ่งก็เพื่อเผยแพร่ให้คนลาวได้รับรู้บทบาทและ “บุญคุณ” ของฝรั่งเศส ที่ได้นำความเจริญศิวิไลซ์มาให้คนลาว และอีกด้านหนึ่ง ก็เพื่อปลุกจิตสำนึกความรักชาติ รักบ้านเกิดเมืองนอนของลาว ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับลัทธิฟาสซิสม์ (Fascism) และลัทธิ “ไทยใหญ่” (ของญี่ปุ่นและจอมพล ป. พิบูลสงคราม) ขบวนการปลุกกระแสรักชาติลาว อันเป็นอาณานิคมแห่งหนึ่งของฝรั่งเศสดังกล่าว ได้แผ่ขยายไปในหลายภาคส่วนภายในสังคมลาว ทั้งสื่อโฆษณา คณะอักษรศาสตร์ คณะละคร คณะดนตรี- ขับร้อง คณะสตรี คณะเยาวชน ฯลฯ
เพลงชาติลาว (ประพันธ์โดย ท่านหมอทองดี) ก็เกิดขึ้นในระยะนี้ ติดตามด้วยเพลง “แมลงภู่(ภูมรินทร์)” ศิลปินนักประพันธ์เพลงในยุคต้น ได้แก่ ท่านอุดตะมะ จุนละมะนี ท่านพูมี ที่แต่เพลง “จำปาเมืองลาว” หรือ “ดวงจำปา”ท่านคำอ้วน รัดตะนะวง ท่านบุนคง ปะดีจิด แต่งเพลง“แข้น้อย”“ลาวยี่”“เปิดส่อง”“สวัสดีน้องสาว”นอกจากยังมี ท่านบุนทะมาลี เจ้าของผลงานเพลงอมตะหลายเพลง เช่น สายลมเย็น กุหลาบปากเซ
เพลงลาวสมัยส่วนใหญ่จะเป็นจังหวะรำวง เนื่องจากว่า รำวงเป็นการเต้นรำที่ให้ความสนุกสนานแบบชาวบ้าน โดยมักจัดให้มีขึ้นตามพิธีต่างๆ เช่น บุญบ้าน (บุญเฮือน) บุญบ้าน (บุญหมู่บ้าน) บุญวัดและบุญประเพณีต่างๆ ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสผู้ปกครองก็เผยแพร่วัฒนธรรมตะวันตกด้วยการตั้งบาร์ สถานบันเทิง เวทีลีลาศ ซึ่งมีเฉพาะจังหวะและเพลงสากลล้วนๆ บรรดานักดนตรีและเครื่องดนตรีก็ล้วนนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ไทย พม่า เป็นต้น
ภาษิต-ภาษา
ความเป็นชนชาติเก่าแก่สะท้อนให้เห็นทางภาษิต-ภาษา สังคมลาวอุดมไปด้วยหลักคุณค่า ที่เป็นกรอบให้ปัจเจกชนและสังคมโดยรวมมีแนวทางที่จะดำเนินไป โดยประดิษฐ์แปลงกรอบอันเคร่งขรึมให้อยู่ในรูปของฉันลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งในรูปของกลอนและกาพย์ และแตกแขนงออกจากภาษิต (ผญา) เป็นสร้อย หรือโตงโตย และญาบเว้า ตัวอย่าง ผญา (กลอน) เดือนสามคล้อย ฝิงไฟสังมาอุ่น บาดเดือนห้ามาฮอดแล้ว กรายใกล้ก็ว่าควันโตงโตย(กาพย์) กินความโตโสความเพิ่น หมาหลายเจ้า กินเข้าหลายเฮือน เป็นต้น
ภาษิตลาว หรือเป็นเสาหลักและแก่นแกนของศิลปวัฒนธรรมลาว หลักแห่งคุณค่านี้ผสานแทรกอยู่ในทุกอณูของงานศิลปะทุกแขนง
ภาษาลาว ภาษาถือเป็นความยิ่งใหญ่ของชนชาติลาว เป็นแก้วที่ไม่เคยร้าวหรือแผ้วพานแม้คลีผง ภาษาลาวจึงบริสุทธิ์ กี่ร้อยกี่พันปีก็ยังคงภาษาเดิม ไม่ถูกผสมหรือสำส่อน ซึ่งเรียกเสียเพราะพริ้งว่า “มีพลวัต” เหมือนภาษาอื่น และแม้ สปป.ลาวจะเคร่งครัดทางการเมือง แต่ด้านภาษากลับมีอิสระอย่างยิ่ง คนจากทุกภาคส่วน ทุกชนเผ่า สามารถสื่อสารกับคนต่างพรรณ ด้วยภาษาของตน และสามารถออกสื่อของรัฐได้ด้วย ไม่ต้องคิดประดิษฐ์คำในภาษาอื่นที่แปลกแยก ก่อนพ่นเป็นภาษากลาง ความไม่จำกัดหรือเกณฑ์ในทุกคนในชาติต้องใช้ภาษากลาง หรือภาษาราชการ จึงเป็นความง่ายประการหนึ่ง และความง่ายก็นำมาซึ่งความงดงาม ดังจะเห็นได้จากบรรยากาศการประชุมสภา ซึ่งสมาชิกมาจากหลากหลายเชื้อพันธุ์ และเมื่อทุกคนต่างก็ภาษาของตน การประชุมในเรื่องระดับชาติจึงอบอุ่นและผ่อนคลายเมื่อสมาชิกจากต่างแขวงต่างเมืองลุกขึ้นอภิปราย
ศิลปวัฒนธรรม-ฮีตคองลาว
ศิลปวัฒนธรรมของชาวลาวถือเป็นเพชรเม็ดเอกที่ประดับบนมงกุฎของชาติลาว แม้โลกจะหมุนเปลี่ยน แม้อิทธิพลภายนอกจะถาโถมสู่แดนจำปา กระทั่ง ตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติหลายชาติร่วม ๒๐๐ ปี แม้ลาวจะเป็นสนามเด็กเล่นให้มหาอำนาจจากทุกค่ายได้เข้าละเลงอำนาจผ่านยุคผ่านกาลแห่งความเป็นความตาย แต่บรรดาศิลปวัฒนธรรมลาวกลับไม่เคยแหว่งวิ่นเสียหายแม้แต่กระผีกริ้น ปัจจุบัน แม้สื่อโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมจะแทรกซึมเข้าสู่ทุกครัวเรือน เพราะดาวเทียมจากจีนราคาถูกพอๆ กับข้าวสารเหนียวเพียงไม่กี่ถัง และจานดาวเทียมผุดขึ้นบนหลังคาเรือนลาวราวดอกเห็นหน้าฝน แต่... ศิลปวัฒนธรรมลาวยังอยู่ดี แม้จะมีสาวลาวที่ข้ามฝั่งโขงแล้วติดกางเกงยีนส์นุ่งกลับบ้าน แต่ก็ทนสายตาถากถาง ในที่สุด ก็ต้องสลัดทิ้ง ที่สำคัญ หญิงสาวที่นุ่งกางเกงยีนส์ถือเป็นสัญลักษณ์ของความสำส่อน
ความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมของลาว และการไม่เปลี่ยนแปลงตามโลกของชาวลาวมาจากฮีต-คอง ประเพณีที่สั่งสม จนกลายเป็นกรอบที่ทุกคนน้อมรับและไม่ฝ่าฝืน เช่นเดียวกับชาติเก่าแก่ มั่นคงและยิ่งใหญ่และเป็นต้นธารแห่งวัฒนธรรมอย่าง อินเดีย ที่ไม่เปลี่ยนเพราะถูกบังคับ หรือการรณรงค์ หากมาจากข้างใน และเมื่อลาวเปลี่ยนแปลงเป็น สปป. ลาว พรรคและรัฐยุคใหม่ ยุคที่ใช้ทัศนะวัตถุนิยมสัจจวิพากษ์ ได้ใช้ศิลปวัฒนธรรมเป็นหลักชัย ส่งเสริมให้มี “ลักษณะชาติ” ถึงขนาดตราเป็นรัฐบัญญัติ เป็นกรอบเพื่อเป็นไม้บรรทัดวัด วัฒนธรรมประเพณีของลาวจึงเข้มแข็ง เข้มแข็งจากจิตสำนึกมิใช่เข้มแข็งจากคำบงการ
เมื่อยึดมั่นยึดเหนี่ยวในวัฒนธรรมประเพณีโดยจิตสำนึก การปฏิบัติตนและการดำเนินชีวิตก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ฝืดฝืน เป็นความง่ายที่สายตามนุษย์ในโลกนี้ได้เห็นต้องชมว่า งาม
วรรณกรรม-การใช้ชีวิต
สถาปัตยกรรมลาว
แม้ตึกทรงโคโลเนียลจะดาษดื่นในนครหลวงและแขวงสำคัญๆ กระทั่ง ในเมือง (อำเภอ) บางเมือง อันบ่งบอกถึงการเคยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกอย่างฝรั่งเศส แต่ในวัดวาอารามของลาวยังคงเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ลาวได้อย่างมั่นคง
สถาปัตยกรรมในศาสนสถานของลาว เป็นอีกหนึ่งความงามและง่ายของวิถีลาว ที่โดดเด่นที่สุด คือ สิม หรือพระอุโบสถ สิมลาวทั่วไป ยกเว้น วัดสำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับอาณาจักร และได้รับราชูปถัมภ์ มักมีขนาดไม่ใหญ่ หรือมีขนาดตามแรงศรัทธาของญาติโยมในชุมชนนั้นๆ โดยไม่ต้องพึ่งพิงพึ่งพาจากวัตถุและศรัทธาจากภายนอกเลย
สิมลาวเป็นสิมที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์จะเป็นที่ประกอบสังฆกิจและพิธีกรรมทางศาสนาโดยแท้ มิใช่ที่ๆ จะอวดแสดงความมั่งคั่งหรืออวดความยิ่งใหญ่ อวดศักดาของผู้สร้าง สิมลาวจึงเรียบง่าย และใช้ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด หลายแห่งไม่มีฝาผนัง เป็นเพียงสิมโล่ง จุดรวมความสนใจอยู่ที่ “พระเจ้าใหญ่” หรือพระประธานเท่านั้น ที่ตั้งเด่นเป็นสง่ารอการกราบไหว้
ความเรียบง่ายของสิมลาว มีประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ แน่นอนว่า สิมลาวใช้งบประมาณในการสร้างน้อยกว่าน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับโบสถ์พุทธในไทย การใช้งบประมาณต่ำ หมายถึง การจัดการด้วยแรงของชุมชนเอง ไม่ต้องพึ่งกฐิน ผ้าป่าฯ จากแดนไกล หรือสร้างคาค้างเติ่ง เป็นเหมือนตัวประกัน รอรับเม็ดเงินจากคนร่ำรวยและผู้มีอำนาจทางการเมือง ทำตัวเป็นขอทานในนามของศาสนา
ความเรียบง่ายของสิมลาวทำให้เสียงสวดสาธยายของพระสงฆ์แผ่ซ่านสู่ชุมชนได้โดยง่าย เพราะไม่มีฝาปูนคอยกั้น คนที่ไม่เคยเข้าวัดเข้าโบสถ์ก็พลอยซึมซับวันแล้ววันเล่า จะทำผิดบาปก็ได้สำนึก ความเรียบง่ายของสิมยังช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่าย ไม่ใช่ที่ซุกปลากระป๋อง กองขี้ค้างคาว หรือรังนักพิราบอย่างโบสถ์ที่มีฝาปูนมิดชิด ที่สำคัญ สิมลาวทำให้ชาวบ้านเข้าถึงได้ง่าย เนื่องจากชาวพุทธถือว่าการจะเข้ากราบพระประธานในโบสถ์ต้องสำรวม ต้องถอดปลดเครื่องมือทำกิน เช่น มีดพร้ากระท้าขวาน เสียก่อน แต่เมื่อสิมไม่มีฝากั้น ชาวบ้านชาวไร่-ชาวนาก็สามารถยกมือไหว้พระเจ้าใหญ่ในสิมได้ โดยไม่ต้องหมอบคลานเข้าโบสถ์ หรือรอให้พระที่ถือกุญแจมาไขประตูโบสถ์
คุณค่าและคุณประโยชน์จากความงดงามแต่เรียบง่ายของสิมลาวยิ่งเด่นชัดขึ้น เมื่อเห็นโบสถ์อันโอ่อ่าราคาแพงผุดขึ้นทดแทนสิมลาวที่เคยมีอยู่เต็มพื้นที่ของภาคอีสาน ปัจจุบัน คนอีสานจึงมีโบสถ์เพียงเพื่อจะได้ไม่น้อยหน้าบ้านอื่นวัดอื่นเขาเท่านั้น น่าเสียดาย
ความง่ายและงามประดามีที่บรรยาย หาได้เป็นทั้งหมดของความง่ายและงามอย่างลาวไม่ ในดินแดนที่กรุ่นกลิ่นจำปายังโชยชายยังมีความเรียบง่ายและความงดงามอยู่อีกเป็นอันมาก ขึ้นอยู่กับผัสสะและภูมิรู้ของผู้เสพ และการค้นพบความเรียบง่ายและความงดงามจากวิถีลาว ก็เป็นเครื่องวัดภูมิรู้ของผู้คนได้อีกทางหนึ่ง
อยากเชิญชวนท่านเข้าใช้เครื่องมือของท่านในแผ่นดินล้านช้างสักครั้งหนึ่ง
[1]ขับ-ลำ-เซิ้ง รูปแบบการแสดง-ขับร้องพื้นเมืองประเภทหนึ่งของของประชาชนลาวทั้งมวลที่มีมาแต่โบราณกาล