สารลึบพะสูน:
วรรณคดีลุ่มน้ำโขงที่ไม่โปร่งใส
โดย ปราโมทย์ ในจิต
ในบรรดาวรรณคดีแห่งลุ่มแม่น้ำโขงทั้งมวลทั้งสิ้นนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกไม่โปร่งโล่งใจเป็นที่สุดกับวรรณคดีแห่งบรรพชนของเราเรื่องหนึ่ง ที่ดูเหมือนว่าพวกเราน่าจะให้ความสนใจเป็นอันดับต้น ๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่เท่าที่ผ่านมา กลับถูกละเลยในการชำระสะสางให้เกิดความชัดเจนอย่างเป็นเอกภาพทั้งชื่อเรื่อง การจัดประเภท การตีความเนื้อหา ผู้แต่ง รวมไปถึงยุคสมัยของการก่อเกิดก็ยังคลุมเครือมากทีเดียว ซึ่งวรรณคดีเรื่องนี้ก็คือ “สารลึบพระสูรย์” หรือ “สารลึปสูญ” หรือ “สารลึบบ่สูญ”หรือ ฯลฯ (และหรือชื่ออื่นอีกมาก)นี่เอง ถึงวันนี้ สมควรที่จะเป็นภารกิจของเราที่จะต้องมาสังคายนากันให้สิ้นสุด ให้ได้ข้อสรุปในประเด็นดังกล่าวดีไหม หรือเรายังจะปล่อยปละละเลยไปอีก โดยคิดว่าน่าจะเป็นภาระของชนรุ่นต่อ ๆ ไปดีกว่า แล้วคนรุ่นเรานี้ขาดไร้ภูมิปัญญาที่จะชำระเรื่องดังกล่าวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?
ข้าพเจ้าก็เพิ่งสนใจจริงจังประมาณสามเดือนมานี่เอง ที่สนใจเพราะสงสัยว่าทำไมวรรณคดีเรื่องนี้ชื่อถึงแปลก และเนื้อหานั้นว่าด้วยเรื่องอะไร พอไถ่ถามเพื่อนพ้องที่สอนในรั้วมหาวิทยาลัย และคนเคยเรียนในสถาบันแถวตักศิลามาก่อน ก็ไม่ได้ความแน่ชัด บอกว่ายังไม่ได้ศึกษาลงลึกเพียงพอเช่นกัน ข้าพเจ้าตัดสินใจเริ่มต้นโดยเข้าห้องสมุดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งหาหนังสือวรรณกรรมอีสานของอาจารย์ธวัช ปุณโณทกค้นดู ค้นอย่างไรก็ไม่พบชื่อของวรรณคดีเรื่องนี้ รู้สึกท่านจะสนใจวรรณคดีเรื่อง “พื้นเวียง” เป็นพิเศษ แต่แปลกมากที่ไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้เลย วันหนึ่งไปที่ศูนย์วิทยบริการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ถ่ายเอกสารหนังสือ “ลึปสูญ” ของคุณพรชัย ศรีสารคามตรวจแก้และเรียบเรียงใหม่ปี 2528 มา และหนังสือ“ลักษณะวรรณกรรมอีสาน” ของจารุวรรณ ธรรมวัตร ทั้งได้ค้นหนังสือเก่า ๆในตู้ที่บ้านเจอหนังสือภาษาลาวที่ซื้อเก็บ ๆไว้นานแล้วอีก 2 เล่มคือ “ประโหยดของวันนะคะดี” ของมหาสิลา วีระวงส์ กับ “สานลึบพะสูน” ของคณะค้นคว้าภาควิชาภาษาลาววรรณคดี คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติ(ลาว) จึงเข้าเค้ากระเตื้องขึ้นมาบ้าง
๐ สารลึบพะสูนเป็นภาพสะท้อนวิทยาการคลื่นลูกที่ ๑ แห่งอุษาคเนย์เป็นอย่างดี
วรรณคดีเป็นศิลปะประเภทหนึ่งที่ผู้สร้างและผู้เสพของเราในยุคที่มีความหมายตรงกับคำว่า “สิปปะ” ไม่ใช่ “ศิลปะ” อย่างความหมายของฝรั่งตะวันตก กล่าวคือ ไม่จำเป็นต้องระบุว่าใครเป็นคนแต่ง ไม่ต้องพะวงเรื่องลิขสิทธิ์อันมีผลประโยชน์เรื่องเงินทอง(ทุน)มาข้องเกี่ยว รวมทั้งเขียน(จาร)ลงใบลานเพียงฉบับเดียว ถ้าอยากอ่านกว้างขวางออกไปก็มาคัดลอกไปสิ(ไม่มีโรงพิมพ์) ซึ่งมีผลทำให้เกิดต้นฉบับที่หลากหลายและกระจายไปทั่วลุ่มแม่น้ำโขง พอเวลาล่วงเลยไปก็ไม่รู้ว่า “ฉบับใด” คือ “ต้นฉบับ”ดั้งเดิม แถมเนื้อหา และทั้งชื่อเรื่องก็เพี้ยนกันไปตามสติปัญญาของผู้คัดลอกเป็นลำดับตกเป็นทอด ๆมาอีกด้วย
พระราชบัญญัติประถมศึกษาแห่งชาติ ปี 2464 ฉบับแรกกว่าจะครอบคลุมพื้นที่ภาคอีสานได้เบ็ดเสร็จใช้เวลาประมาณหนึ่งทศวรรษทีเดียว1 จึงทำให้ตัวอักษรไทยมีอิทธิพลในการใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน ถึงกระนั้นก็ตามตัวอักษรไทยน้อย และอักษรธรรมอีสานก็ยังนิยมมาสืบเนื่องมาถึงสมัยกึ่งพุทธกาล(2500) จึงนิยมถอดจากหนังสือหนังหาใบลานไปเป็นอักษรไทย มาพิมพ์เป็นรูปเล่มในโรงพิมพ์ตามวิทยาการคลื่นลูกที่สอง
ชื่อเรื่องและความหมายที่ยังไม่เป็นหนึ่งเดียว
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ชื่อเรื่องนั้นมีหลากหลายชื่อที่สุด โดยเฉพาะของคนไทยฝั่งขวาของแม่น้ำโขงที่ใช้อักษรไทยเขียนนี้เขียนไว้มากมายเสียจริง ๆซึ่งเกี่ยวโยงถึงความหมายและเนื้อเรื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เท่าที่ศึกษาสามารถแยกออกได้เป็น 2 กลุ่มด้วยกัน ดังนี้
กลุ่มที่หนึ่งคือคนไทย ใช้ว่า ลึปสูญ (ฉบับพรชัย ศรีสารคาม เรียบเรียง 2528), ลึบบ่สูญ (หลายคนในเว็บไซค์ไทยปัจจุบัน และคำบอกเล่า), ลึบปสูญ(พจนานุกรมภาคอีสาน-ภาคกลาง ฉบับปณิธาน 2515) ลึบพระสูรย์และลึบปสูญ(สารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ ปรีชา พิณทอง 2532), ลึบปสูรย์ (อริยานุวัตร เขมจารี 2512), และมีทั้งลึปสูญตัวผู้กับลึปสูญตัวเมียที่อยู่จังหวัดนครพนมอีกด้วย (สุรมนตรี จักรชุม-ยืนยัน 2553), โสมใจคึด (หนังสือใบลานฉบับวัดหนองบัว จ.ขอนแก่น) และสมที่คึด(หนังสือใบลานเมืองด้านซ้าย) ก็มี ส่วนความหมายนั้นแปลว่า “ลบไม่หาย”และ ลึบพระสูรย์ หมายถึงลบหรือปิดบังดวงอาทิตย์
กลุ่มที่สองคือคนลาว ใช้ว่า ลึบบ่สูน (ส.เดชา 2518), ลึบพะสูน (สิลา วีระวงส์ 2503), ลึพสูน (คณะกรรมการวรรณคดี 2509), สมที่คึด (หนังสือใบลานบ้านหนองลำจันเหนือ เมืองจำพอน แขวงสะหวันนะเขด) ความหมายส่วนมากทางลาวจะเน้นที่หมายถึงการปิดบังแสงดวงอาทิตย์
๐ ใครแต่ง ?
นับว่าเป็นวรรณคดีที่มีผู้สันนิษฐานถึงผู้ประพันธ์ไว้หลากหลายมากที่สุดเช่นกัน จึงขอยกมาพิจารณาดังต่อไปนี้
1. ท้าวปางคำ เป็นผู้ประพันธ์ ในหนังสือลึปสูญ ฉบับพรชัย ศรีสารคาม เรียบเรียง ได้บันทึกในคำปรารภว่า “ท่านหลวงพ่อพระอริยานุวัตร ได้กล่าวว่า เรื่องนี้ท้าวปางคำ ผู้ครองเมืองหนองบัวลำภู(ลางท่านว่า หนองบัวลำภู) ได้แต่งขึ้นเมื่อ 600 กว่าปีมาแล้ว แสดงความรักความคิดถึงที่มีต่อนางเภานางแพง” และมีนักเขียนลาวอีกคนหนึ่งที่สนับสนุนว่าท้าวปางคำแต่ง คือ ดวงไซ หลวงพะสี แต่ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียด
2. พระเจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์แห่งเวียงจันองค์สุดท้าย(ครองราชย์ปี 2347-2369) คนลาวส่วนมากจะพูดเช่นนี้ตามความสันนิษฐานของ มหาสิลา วีระวงส์ ได้ให้เหตุผลว่า “พระเจ้าอนุวงศ์คงมีความเจ็บแค้นแน่นพระทัยในการที่ประเทศของพระองค์เสียอิสรภาพ และพระองค์ก็คิดจะกู้ชาติอยู่เสมอ ซึ่งสันนิษฐานได้จากข้อความที่กล่าวไว้ในหนังสือลึบพะสูนที่ว่า : ดวงนี้ ชื่อว่า บุแผ่นธรณีดั้นกุมพระกรกำโฮบ และตอนที่ว่า ครุฑอ้าปากขึ้นขำเมฆเฮืองฤทธิ์ จันโทเมามัว มุดมึดแสงสูญอ้ำ นี้หมายความว่า อาณาจักรไทยถือตราครุฑ ลาวถือนาค หรือพระจันทร์ เวลานั้นครุฑมีอำนาจ พระจันทร์ คืออาณาจักรลาวเวียงจัน จึ่งมึดมัวลง” และคณะวิจัยสานลึบพะสูน ในโครงการค้นคว้าวรรณคดีสมัยอาณาจักรลาวล้านช้างเสื่อมโทรม คณะค้นคว้าภาควิชาภาษาลาววรรณคดี คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ค.ศ. 2002 ก็สันนิษฐานไว้เช่นนี้เหมือนกัน
3. พระมหาสมณพราหมาจารย์สิบสองกวี ซึ่งเป็นพระสังฆราชองค์สุดท้ายของอาณาจักรล้านช้าง และเป็นที่ปรึกษาราชสำนัก(ของพระเจ้าอนุวงศ์) ผู้ที่สันนิษฐานคือคนลาวชื่อท่านมหาบุนยก แสนสูนทอน ที่ปรึกษาคณะวิจัยสานลึบพะสูน ในโครงการค้นคว้าวรรณคดีสมัยอาณาจักรลาวล้านช้างเสื่อมโทรม คณะค้นคว้าภาควิชาภาษาลาววรรณคดี คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติ และคนลาวอีกคนหนึ่งที่สันนิษฐานว่านักปราชญ์ในราชสำนักของพระเจ้าอนุวงศ์แต่งคือ บุนทะนอง ชมไชผน นักเขียนอีสระผู้โดดเด่นของลาวยุคปัจจุบัน
4. นักปราชญ์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงยุคหลังพระเจ้าอนุวงศ์ คำสันนิษฐานนี้เป็นของท่านมหาสวิง บุญเจิม ที่กรุณาให้สัมภาษณ์วันที่ 22 ธันวาคม 2553 เวลา 15.00 น. ณ สำนักพิมพ์มรดกอีสาน เลขที่ 229-231 ถนนแจ้งสนิท ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ว่าเป็นนักปราชญ์ลาว(เป็นใครนั้นยังไม่ชัดเจน) อันมีจุดประสงค์แต่งขึ้นเพื่อเตือนคนลาวให้ระวังคนไทย เพราะช่วงเวลานั้นลาวอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม มีเหตุการณ์ที่ถูกเจ้านายไทยข่มเหงรังแก เช่น ถ้ากำลังเลี้ยงไก่ชนอยู่ใต้ถุนบ้านอย่างปกติสุข เมื่อเจ้านายคนไทยมาพบเข้าเกิดชอบก็ขอไปดื้อ ๆ แม้ลูกสาวสวยก็ขอไปเป็นคนรับใช้ที่บ้านและกลายเป็นเมียเก็บในที่สุด ต่อมาจึงนิยมทำสวนหลังบ้าน เลี้ยงไก่ และให้ลูก ๆอยู่ในสวนไม่ต้องอยู่ใต้ถุนหรือหน้าบ้านเพื่อหลบสายตาคนไทย มหาสวิง บุญเจิมเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความประสงค์ให้เกิดมีการจัดสัมมนาสะสางวรรณคดีเรื่อง “สาส์นลึบบ่สูญ” นี้ขึ้น ท่านเคยมีผลงานชำระเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาแล้วตั้งแต่ปี 2539 ใช้ชื่อว่า “กาละนับมื้อส่วย” จากต้นฉบับอันเลอะเลือนที่มีใครคนหนึ่งถ่ายเป็นเอกสารมาให้ในปี 2505 ที่เลอะเลือนก็แต่งเพิ่มเติมไปด้วย
เกี่ยวกับผู้แต่งจึงยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน และยังเป็นข้อสันนิษฐานในสี่บุคคลนี้ต่อไป ซึ่งมีความสัมพันธ์โยงถึงข้อสันนิษฐานว่า วรรณคดีเรื่องนี้เกิดขึ้นในยุคใดด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้ จึงขอยกข้อสรุปของคณะวิจัยสานลึบพะสูน ในโครงการค้นคว้าวรรณคดีสมัยอาณาจักรลาวล้านช้างเสื่อมโทรม คณะค้นคว้าภาควิชาภาษาลาววรรณคดี คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ค.ศ. 2002 มาให้ท่านผู้อ่านพิเคราะห์ดังนี้ “มหาสิลา วีระวงส์ และอาจารย์บุนยก แสนสูนทอน แม้ว่ามีความเห็นแตกต่างกันเรื่องผู้แต่ง แต่ก็เป็นมีเอกภาพในเรื่องของยุคสมัยการแต่ง คือ สารนี้แต่งขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าอนุวงศ์ สำหรับความเห็นของพระอริยานุวัตรนั้น มีความสับสนด้านประวัติศาสตร์ ช่วงเวลาที่อ้าง (600 ปี)กับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ (ยุคท้าวปางคำเป็นช่วงท้ายคริสต์ศตวรรษที่ 17 –ซึ่งไม่ถึง 600 ปี) ไม่ตรงกันประการหนึ่ง นอกจากอ้างอิงเนื้อเรื่องในสารกล่าวถึงความรัก และความเป็นเอกด้านบทกวีแล้ว ไม่มีเหตุการณ์อื่นที่จะช่วยสนับสนุนให้เป็นที่เชื่อถือได้ ความเห็นของมหาสิลา วีระวงส์และอาจารย์บุนยก แสนสูนทอนมีเหตุผลที่ควรได้รับการศึกษา เมื่อศึกษาจากสาร มีตอนได้กล่าวถึงความคิดที่จะไปขอความช่วยเหลือจากต่างอาณาจักรหรือต่างประเทศ ดู
- ฉบับถนุพล ไชยสินธุ์ (สมที่คึด) เขียนว่า
ยังอยากหาฝูงพี่น้อง ทางหงสามาอยู่ จิคือลือ
ทังหมู่ห้อ เชิญพร้อมพ่ำซวา (หน้า 1)
- ฉบับคณะกรรมการวรรณคดี เขียนว่า
เฮียม อยากไปวานฝูงพี่น้อง วงศ์วานให้มาซ่อย ซิคือลือ
ทังหมู่ห้อ กะเลิงพร้อมพ่ำแกว (หน้า 17)
การกล่าวถึงซวา(หลวงพระบาง)ก็ดี การกล่าวถึง แกว(เวียดนาม) ก็ดี นั้นได้ชี้ช่องให้พวกเราสันนิษฐานว่า สารเกิดขึ้นหลังอาณาจักรล้านช้างเสียความเป็นเอกราช และแตกแยกเป็นหลายอาณาจักร ในการเตรียมการต่อสู้กู้เอาเอกราช อาณาจักรล้านช้างเวียงจันเคยได้ขอความร่วมมือจากหลวงพระบาง พร้อมกันนั้น ก็มีแต่อาณาจักรล้านช้างเวียงจันเท่านั้นที่มีสัมพันธไมตรีกับเวียดนาม (แกว) หลังจากประเทศชาติแตกแยก ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว มันไม่เพียงแต่บ่งบอกให้รู้ว่าสารนี้แต่งขึ้นในยุคหลังประเทศชาติแตกแยกซึ่งก็ยังรู้ได้ว่า แต่งขึ้นในเขตอาณาจักรเวียงจันล้านช้างอีกด้วย”
๐ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร ?
ในหนังสือลึปสูญ ฉบับพรชัย ศรีสารคาม เรียบเรียง ได้บันทึกในคำปรารภเกี่ยวกับเนื้อเรื่องว่า “เมื่อพิจารณาตามเนื้อหาแล้ว เรื่อง”ลึปสูญ” มีลักษณะเหมือนจดหมายระบายความในใจของชายคนหนึ่งซึ่งมีต่อหญิงคนรัก” และจารุวรรณ ธรรมวัตรได้แบ่งวรรณกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามลักษณะเนื้อเรื่อง โดยจัดให้ “สารสึปสูรย์” เป็นวรรณกรรมนิราศ (ระบุว่ามีเพียงเรื่องเดียว) และแบ่งวรรณกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามลักษณะสำคัญของเนื้อเรื่องของ นาร์ธรอป ไพรเออร์ บอกว่าเป็นประเภทที่ 2 คือ External Fiction หรือ Thermatic หมายถึงวรรณกรรมที่จุดสนใจของเรื่องอยู่ที่ความคิดเห็นหรือแนวความคิดของผู้แต่งซึ่งเกี่ยวพันกับสิ่งแวดล้อมและสังคมของผู้แต่งเอง เช่น ท้าวคำสอน อินทิญาณสอนลูก กาพย์ปู่สอนหลาน กาพย์หลานสอนปู่ สารสึปสูรย์ กาพย์พระมุนี ฯลฯ ซึ่งไม่มีรายละเอียดมากไปกว่านี้
เนื้อหาของเรื่องทั้งคุณพรชัย ศรีสารคามที่อ้างถึงหลวงพ่อพระอริยานุวัตร และจารุวรรณ ธรรมวัตร มีความเห็นในแนวเดียวกันคือ เป็นวรรณคดีนิราศ มีลักษณะเหมือนจดหมายระบายความในใจของชายคนหนึ่งซึ่งมีต่อหญิงคนรัก
ส่วนมหาสวิง บุญเจิม มหาสิลา วีระวงส์ และคณะวิจัยสานลึบพะสูน ในโครงการค้นคว้าวรรณคดีสมัยอาณาจักรลาวล้านช้างเสื่อมโทรม คณะค้นคว้าภาควิชาภาษาลาววรรณคดี คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติ มีความเห็นว่า เป็นวรรณกรรมหรือวรรณคดีการเมือง ที่ซ่อนเนื้อหาใช้รูปแบบการ-เขียนสารถึงคนรัก มีเนื้อหาเป็นรหัสลับที่ต้องตีความ โดยเฉพาะคณะวิจัยสานลึบพะสูน มีข้อสรุปว่า “ได้ผ่านการวิเคราะห์ สารได้ยกให้เห็นความสัมพันธ์ของเนื้อหา ในแต่ละบั้น(ตอน) ดังนี้
- บั้นที่หนึ่ง (บั้นบังรหัส) ได้สะท้อนถึงการดิ้นรนของนักชาตินิยม ที่อยากปลุกระดมปวงชนทั้งชาติให้ลุกขึ้นต่อสู้กับศัตรู ในเงื่อนไขที่ประเทศชาติถูกต่างชาติที่มีกำลังแข็งแกร่งกว่าครอบครอง และจิตใจของคนลาวบางกลุ่มแตกแยก ประชาชนตกอยู่ในสภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด ซึ่งเป็นปัญหาหนักในการปลุกระดม ถ้าจะกล่าวตรง ๆก็กลัวจะเสียความลับนั่นเอง ถ้าจะไม่พูดกลับมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้เห็นสภาพความเป็นไปที่ควรจะแก้ไข อย่างไรก็ตาม ผู้แต่งได้สอดแทรกแนวคิดความรักชาติ โดยผ่านการเปรียบเทียบ สุดท้ายผู้แต่งยังเน้นย้ำว่า ถ้าต้องการเอกราชกลับมา มีแต่ร่วมแรงร่วมใจกันลุกขึ้นต่อสู้ด้วยอาวุธเท่านั้น
- บั้นที่สอง (บั้นสมที่คึด) ซึ่งเป็นตอนกลางของสารนั้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ ยุทโธบาย ยุทธวิธี และการจัดตั้งกลุ่มหัวหอก เพื่อต่อสู้แย่งเอาเอกราชแห่งชาติจากศักดินาสยาม การดำเนินการต่อสู้นั้น ต้องโน้มน้าวให้มีการนำที่เข้มแข็ง และปวงชนจะต้องมีความสมัครสมานสามัคคีอย่างแน่นแฟ้น หน้าที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของปวงชนลาวทั้งมวล ทุกคนต้องได้ขบคิด และร่วมพันธกิจ
- บั้นสุดท้าย (บั้นสุดที่อ่าว) กล่าวถึงความมุ่งมาดปรารถนาที่ต้องการปลดปล่อยชาติ ช่วงชิงเอาเอกราชกลับคืนมา ซึ่งเป็นความปรารถนาอันแรงกล้า จนทำให้ผู้แต่งไม่เป็นสุขกินไม่ได้นอนไม่หลับ มีความกระวนกระวายใจ และคลั่งแค้น เพราะไม่พอใจ ไม่ชอบการใช้ชีวิตในภาวะที่ประเทศชาติเสียเอกราชและเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่นเช่นนี้ ในที่สุด ผู้แต่งได้ตัดสินใจ ขอเอาชีวิตมาแลกกับความเป็นเอกราช นี่คือจุดยืน คืออุดมการณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
เนื่องจากสารลึบพะสูน เขียนในรูปแบบวรรณคดีเริงรมย์ โดยยืมวิธีการนำเสนอความรักระหว่างหนุ่มสาว มาใช้ในการเสนอถึงความรักชาติ ซึ่งกลวิธีการประพันธ์เช่นนี้ เป็นรูปแบบวิธีการแต่งของวรรณคดีการเมืองอีกประเภทหนึ่งที่อยู่ภายใต้ระบอบศักดินาเผด็จการ ฉะนั้น เนื้อหาของ “สารลึบพะสูน” ได้ทำให้เกิดหลายแนวคิด หลายประเด็นพิจารณา และการตีความ การดำเนินการวิจัยค้นคว้าครั้งนี้ เป็นการจะช่วยให้พวกเราได้รับรู้ในอีกหลายแง่มุมที่เป็นประโยชน์ ที่ยังไม่ได้ขุดค้นออกมาให้หมดสิ้นได้”
ข้าพเจ้าได้ข่าวแว่ว ๆว่าทางเอื้อยดวงเดือน บุนยาวง แห่งสำนักพิมพ์ดอกเกด สปป.ลาวต้องการจะจัดสัมมนาเรื่องนี้ด้วย ไม่ทราบข่าวนี้เป็นจริงเพียงใด รวมทั้งมหาสวิง บุญเจิมแห่งเมืองนักปราชญ์ลุ่มน้ำมูลก็ประสงค์จะเข้าร่วมการสัมมนาเรื่องนี้ทุกที่ทุกแห่ง ปรากฎการณ์ดังกล่าว ข้าพเจ้าถือเป็นข่าวดี เป็นนิมิตหมายที่เปี่ยมด้วยคุณค่ายิ่ง แต่จะเกิดการสัมมนาเรื่องนี้ขึ้นได้ ณ ที่ใด และเวลาใดหนอ ? ยังเป็นคำถามค้างคาหัวใจไม่ยอมเหือดหาย
และทั้งหมดทั้งสิ้นที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ข้าพเจ้ายังไม่ขอสรุปในทัศนะส่วนตัว แต่ขอเป็นเพียงไม้ขีดไฟเล็ก ๆอีกก้านหนึ่ง เพื่อส่งทอดไปถึงผู้คนแห่งลุ่มน้ำโขง คณะบุคคลแห่งภาคภาษาตะวันออกในสถาบันการศึกษาทั้งมวล ได้เห็นความจำเป็นและความสำคัญที่จะร่วมมือกันจัดสัมมนาวรรณคดีเรื่อง “สารลึบพะสูน” ให้ได้ข้อยุติในสิ่งที่ยังคลุมเครือไม่ชัดเจนดังกล่าว ข้าพเจ้าสละเวลาอันน้อยนิดในการสืบค้นมานำเสนอให้เห็นภาพรวมในวาระนี้ เพื่อพวกเราทั้งมวลจะได้ต่อยอดภูมิปัญญา และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แห่งคุณค่าอันหาที่เปรียบมิได้นั้นร่วมกันในอนาคต.
1 สัมภาษณ์นายสวิง บุญเจิม วันที่ 22 ธันวาคม 2553 เวลา 15.00 น. ที่สำนักพิมพ์มรดกอีสาน เลขที่ 229-231 ถนนแจ้งสนิท ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมถิ่นอีสาน. พจนานุกรมภาคอีสาน-ภาคกลางฉบับปณิธานสมเด็จพระมหา-
วีรวงศ์(ติสฺสมหาเถระ). พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2515.
จารุวรรณ ธรรมวัตร. ลักษณะวรรณกรรมอีสาน. พิมพ์ครั้งที่ 1. มหาสารคาม : ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรม-
อีสาน มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ, 2521.
ธวัช ปุณโณทก. วรรณกรรมอีสาน. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2522.
ปรีชา พิณทอง, ดร. สารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ. พิมพ์ครั้งที่ 1. อุบลราชธานี : โรงพิมพ์ศิริธรรม,
2532.
พรชัย ศรีสารคาม. ลึปสูญ. พิมพ์ครั้งที่ 1. มหาสารคาม : ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดมหาสารคาม, 2528.
สวิง บุญเจิม. กาละนับมื้อส่วย. พิมพ์ครั้งที่ 1. อุบลราชธานี : มรดกอีสาน, 2539.
ภาษาลาว
คนะกัมมะกานวันนะคดี. สานลึพสูน. พิมพ์ครั้งที่ 2. เวียงจัน : กมวันนะคดี, 2509.
คะนะค้นคว้าพากวิชาพาสาลาว-วันนะคดี คะนะอักสอนสาด มะหาวิทยาไลแห่งชาด. สานลึบพะสูน. พิมพ์-
ครั้งที่ 1. เวียงจัน : วิสาหะกิดโฮงพิมสึกสา, 2002.
สิลา วีระวงส์. ประโหยดของวันนะคดี. พิมพ์ครั้งที่ 2. เวียงจัน : ไผ่หนามการพิม, 1996.
บทความ
สุชาติ สวัสดิ์ศรี. “ศิลปะทั้งผองพี่น้องกัน.” ช่อการะเกด 54 : ตุลาคม-ธันวาคม 2553: 275-290.
เว็บไซค์
www.laopoetscorner.blogspot.com