50 ปีสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย
กับการก้าวสู่เวทีสากล

ทองแถม นาถจำนง
สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทยเกิดขึ้นจากการงรวมตัวของกลุ่มคนที่มีใจรักการประพันธ์ประเภทร้อยกรอง 15 คน เมื่อ พ.ศ. 2502 กลุ่มนักกลอนเรืองนามในยุคนั้น ได้แก่ ชยศรี(ชาลี) สุนทรพิพิธ , นลินี อินทรกำแหง , นรี นันวัทน์ , ศิริเพ็ญ ภิบาลกุล , รำภีร์ สอนอำไพ , พวงศรี สิงหเสนี , จันทร์เพ็ญ วิเชียรพันธ์ , วิจิตร ปิ่นจินดา , มะเนาะ ยูเด็น , ประยอม ซองทอง , โกวิท สีตลายัน , สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ , สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์ , วินัย ภู่ระหงษ์ และ กวี มานะวุฑฒ์ ประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ 2502 ที่โรงพยาบาลสงฆ์ ผลการประชุมจึงได้เกิดมี “ชมรมนักกลอน” ขึ้นมา ประธานคนแรกของชมรมคือคุณสำรอง สิทธิแพทย์
พ.ศ 2517 ชมรมนักกลอนได้ยื่นเรื่องขอจดทะเบียนเป็น “สมาคมนักกลอนแห่งกรุงสยาม” ซึ่งเจ้าอาวาสวัดเทพธิดารามอนุญาตให้จดทะเบียนกุฏิสุนทรภู่เป็นที่ตั้งสมาคม
ต่อมาใน พ.ศ 2521 ได้เปลี่ยนชื่อสมาคมเป็น “สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย” สถานที่ตั้งสมาคมยังคงใช้วัดเทพธิดาราม โดยมี ประสิทธิ์ โรหิตเสถียร เป็นนายกสมาคมฯ สมัยที่ 1 และอรุณศรี กระจ่างสาย ได้ออกแบบดวงตราสัญลักษณ์ของสมาคมเป็นรูปปากกาขนไก่พาดอยู่บนแผ่นกระดาษล้อมด้วยวงกลมสองชั้น ด้านบนเขียนข้อความเป็นตัวอักษรภาษาไทยว่า สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย วนด้านล่างเขียนข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า The poet’s association of Thailand
เมื่อนับตั้งแต่ยุค “ชมรมนักกลอน” สมาคมฯ ก็มีอายุครบ 50 ปี ในสมัยของนายกสมาคมฯสมัยที่ 16 (ยุทธ โตอดิเทพย์ เป็นนายกฯ) สมาคมได้จัดกิจกรรมในวาระ “50 ปี สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย” ไปแล้วหลายอย่าง ในปีนี้ (พ.ศ 2554) ทางสมาคมฯเห็นว่าควรจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวาระ 50 ปีสมาคมฯ ต่อไปอีกปีหนึ่ง โดยมุ่งเพิ่มเติมกิจกรรมให้ความรู้ต่อสังคม และผลักดันให้สมาคมฯก้าวสู่ความสากล
เมื่อปี พ.ศ 2553 สมาคมฯได้นำคณะสมาชิกสมาคมฯเดินทางไปเชื่อมสัมพันธ์กับ “สถาบันวัฒนธรรมจีนแห่งกวางสี” และบรรดาศิลปิน กวี นักเขียน กวางสี ในช่วงเดือนพฤษภาคม นับว่าได้บุกเบิกขยายความสัมพันธ์กับกวีจีน เขตปกครองตนเองชนชาติจ้วง-กวางสี ได้อย่างดียิ่ง
เดือนมกราคม สมาคมฯได้จัดงาน “ร่องรอยการเวลา” เสวนาวิชาการแบ่งปันความรู้ที่จังหวัดหนองคาย และได้นำคณะกวี นักเขียนไทย เดินทางไปสัมมนากับกวี นักเขียน สปป.ลาว ณ กำแพงนครเวียงจัน นับว่าได้ขยายสายสัมพันธ์อันงดงามกับกวีและนักเขียนชาวลาว
ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ทางสมาคมฯได้จัดโครงการ เยาวชนอาเซียนร่วมทัศนะศึกษาและสานสายสัมพันธ์วัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 1 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ระหว่างวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2554 โดยได้รับความสนับสนุนจากสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม , สยามรัฐ และสำนักพิมพ์แม่โพสพ
ทำไมสมาคมฯจึงต้องทำงานระดับสากล
ยุทธศาสตร์การพัฒนาสมาคมฯ ของคณะกรรมการสมาคมฯสมัยที่ 17 มุ่งขยายงานตามแนวทางเดิมที่สมาคมฯ เคยทำมาก่อนให้ขยายตัวกว้างขวางมากขึ้น และมุ่งยกระดับกิจกรรมและชื่อเสียงของสมาคมฯให้ยกระดับสู่เวทีสากล มีการแลกเปลี่ยนและมีกิจกรรมร่วมกับกวีนานาประเทศ ทั้งนี้จะเน้นกิจกรรมในภูมิภาคอาเซียนก่อน
ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน เป็นหนึ่งในสามเสาหลักความร่วมมือเพื่อสร้างประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 เป็นเป้าหมายการรวมตัวกันทางสังคมและวัฒนธรรมของอาเซียน เพื่อทำให้อาเซียนเป็นสังคมที่สมาชิกมีความเอื้อ-อาทรต่อกัน ประชากรมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี ได้รับการพัฒนาในทุกด้าน และมีความมั่นคงทางสังคม
ผลกระทบที่เกิดจากกระแสโลกาภิวัตน์และการขยายจำนวนสมาชิกของอาเซียนจนครบสิบประเทศในปัจจุบัน นำมาซึ่งความแตกต่างหรือความเหลื่อมล้ำของระดับการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้กำหนดนโยบายของประเทศสมาชิกอาเซียนริเริ่มจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ข้อริเริ่มว่าด้วยการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน เป็นหนึ่งในความพยายามครั้งล่าสุดที่จะแก้ไขและรับมือกับผลกระทบทางสังคมที่เกิดจากการรวมตัวทางกันของอาเซียน และกระแสโลกาภิวัตน์ ซึ่งทำให้อาเซียนต้องเผชิญทั้งภัยคุกคามความมั่นคงแบบดั้งเดิมและภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น ปัญหาโลกร้อน และโรคระบาด
ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 14 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ 2552 ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนจะให้การรับรองแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งจะกำหนดกรอบและกิจกรรมที่จะทำให้อาเซียนบรรลุเป้าหมายการเป็นประชาคมสังคมและวัฒนธรรมภายในปีเป้าหมาย 2558 โดยแผนงานฯ จะเน้นให้เกิดการส่งเสริมความร่วมมือกันของประเทศสมาชิกในด้านต่างๆ
รวมถึงการส่งเสริมความเป็นตัวตนหรือที่เรียกว่า ‘อัตลักษณ์’ ของอาเซียน ผ่านกระบวนการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียน อาทิ การมีกิจกรรมที่จะช่วยให้พลเมืองในประเทศสมาชิกอาเซียนเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกันและกัน ดังเช่น การกำหนดให้มีรางวัลซีโรต์ หรือ “รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (S.E.A. Write หรือ South East Asian Writers Awards) ซึ่งเป็นรางวัลประจำปีที่มอบให้แก่นักเขียนของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและสัมพันธภาพอันดีในหมู่นักเขียนและประชาชนทั่วไปในกลุ่มประเทศอาเซียน
เป็นที่คาดว่า ผลลัพธ์ประการสำคัญที่จะเกิดขึ้นจากการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ก็คือ การที่ประเทศสมาชิกอาเซียนจะมีกลไกและเครื่องมืออย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างความร่วมมือกันในด้านสังคมและวัฒนธรรม เพื่อทำให้ประชาชนของประเทศสมาชิกอาเซียนมีความกินดีอยู่ดีขึ้น และประเทศสมาชิกอาเซียนมีฐานะทางสังคมที่ทัดเทียมกันมากยิ่งขึ้น
การที่จะบรรลุเป้าหมายข้างต้นนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคประชาชนจะต้องช่วยกันสนับสนุน ผลักดัน สร้างสรรค์กิจกรรมต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายของสมาคมอาเซียน สำหรับกิจกรรมในประเทศไทยนั้น องค์กรเอกชนยังริเริ่มกำเนินการกันไม่มากและไม่กว้างขวางนัก
ในการนี้สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย และสโมสรมิตรภาพวัฒนธรรมสากล เห็นความจำเป็นที่จะต้องริเริ่มบุกเบิกขยายงานด้านนี้โดยเร่งด่วน เนื่องจากเป้าระยะเวลาปี พ.ศ 2558 ใกล้เข้ามาทุกขณะ สมาคมฯ จึงจัดโครงการ “เยาวชนอาเซียนทัศนะศึกษาและสานสายสัมพันธ์วัฒนธรรมอาเซียน” ขึ้นเพื่อเป็นอีกพลังหนึ่งในการช่วยให้สมาคมอาเซียนบรรลุเป้าหมาย โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเขียน นักคิดและศิลปินในภูมิภาค รวมถึงการส่งเสริมความเป็นตัวตนหรือที่เรียกว่า ‘อัตลักษณ์’ ของอาเซียน ผ่านกระบวนการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียน อาทิ การมีกิจกรรมที่จะช่วยให้พลเมืองในประเทศสมาชิกอาเซียนเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกันและกัน
ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นงานที่เริ่มต้นเป็นครั้งแรก จึงจะเริ่มจัดให้เยาวชนอาเซียนเพียง 4 ชาติก่อน คือไทย , สปป.ลาว , กัมพูชา และเวียดนาม จำนวน 100 คนเข้าร่วมกิจกรรม ส่วนเยาวชนอาเซียนชาติอื่น ๆ นั้นจะดำเนินการในวาระโครงการดำเนินการระยะต่อไป
ทั้งนี้ ทางสมาคมฯยังต้องการแรงช่วยเหลือสนับสนุนอีกมาก เพื่อจัดกิจกรรมนี้ให้มีต่อเนื่องต่อไป เพื่อปุทางไปสู่กิจกรรมระดับสากลที่ส่งผลสะเทือนมากกว่านี้