“สุนทรคึก” เขียนถึง “สุนทรภู่” (1)
ตามรอยคึกฤทธิ์ / ทองแถม นาถจำนง
1. วิจารณ์ “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”
มีผู้อ่านสยามรัฐใช้นามแฝงว่า “ปุริม รัตนวิจิตร” เขียนกลอนมาถามปัญหา ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช โดยเรียกท่านว่า “สุนทรคึก” ดังคำกลอนว่า
๐ เชิงโคลงฉันท์กาพย์กลอน “สุนทรคึก” ท่านช่างนึกรอบคอบตอบได้เหมาะ
ทำลำนำคำกวีที่พริ้งเพราะ ฟังเสนาะสำเนียงเพียงเพลงพิณ
ผมเฉาโฉดโปรดด้วยช่วยชี้ช่อง ตามครรลองลักษณะกวีถวิล
เป็นประทีปนำทางกลางดวงจินตน์ ได้สืบศิลปะศรีกวีการ
ขอมอบกายหมายจิตเป็นศิษย์รัก มาสมัครศึกษาวิชาฉาน
หวังพึ่งบุญปัญญาหม่อมอาจารย์ จะประทานหรือไม่สงสัยเอย ๐
ปุริม รัตนวิจิตร
อาจารย์หม่อมตอบว่า
๐น้อยหรือวาจาช่างน่ารัก เสนาะนักน้ำคำพร่ำสรรเสริญ
อ่านแล้วช่วยชูกำลังฟังเพลิดเพลิน เกือบจะเหิรเวหาวาจาคุณ
สำนวนกลอนคุณก็เพราะเสนาะยิ่ง ไยจะวิ่งหาครูดูว้าวุ่น
กวีเกิดอยู่กับใจได้เป็นทุน ไม่ต้องดุนก็ยังเด่นเห็นปานนี้
ครั้นจะรับเป็นอาจารย์พาลติดขัด ด้วยคุณจัดเจนเชิงกวีศรี
เพียงเพื่อนเล่นปราศรัยผูกไมตรี คงจะดีกว่าเป็นศิษย์สนิทเอย ๐
(คอลัมน์ปัญหาประจำวัน 9 พ.ย 2493)
ข้าพเจ้าออกจะก็ชอบคำว่า “สุนทรคึก” อยู่เหมือนกัน แต่คำนี้ก็ไม่เห็นใครเอาไปใช้เรียกท่านที่ไหนอีก
แล้ว “สุนทรคึก” เขียนถึง “สุนทรภู่” ไว้อย่างไรบ้าง ?
ก็มีเขียนถึงหลายครั้ง เช่น เขียนเรื่องพระอภัยมณี แต่วันนี้จะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับสุภาษิต “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”
แฟนสยามรัฐท่านหนึ่ง ใช้นาม “นายประภาศ ลาวัณย์ธร” ถามมาว่า
1. ในหนังสือพระอภัยมณี มีข้อความตอนหนึ่งว่า
“รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”
เฉพาะวรรคหลัง ผมขอถามว่า
ก.โดยที่หนังสือพระอภัยมณีตอนนี้ กระทรวงศึกษาธิการเคยให้ใช้เป็นแบบเรียนของเด็กมาจนถึงปัจจุบัน ผมเห็นว่าข้อความดังกล่าวสอนให้เด็กพยายามเอาตัวรอดแต่เพียงคนเดียว หรือสอนให้เป็นคนเห็นแก่ตัว การที่คนเราไม่ว่าใครทำผลร้ายหรือผลเสียหายให้แก่ประโยชน์ส่วนรวม เมื่อถึงเวลาที่จะต้องรับผิด คน ๆ นั้นก็เอาตัวรอดเสียคนเดียวเช่นนี้ ย่อมเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งและดูกระไรอยู่ ในฐานะที่เด็กเป็นคนอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ง่าย ฉะนั้นข้อความดังกล่าวหม่อมเห็นว่าจะเป็นผลร้ายเกี่ยวแก่จิตใจเด็กหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?
ข. การที่ผู้แต่งได้เขียนข้อความเช่นนี้ ขอทราบความเห็นหม่อมว่า ผู้แต่ง ๆ ขึ้นโดยมีความมุ่งหมายอันแท้จริงไปในทางใด คือหมายความว่าให้ผู้อ่านหรือผู้เขียนและผู้เรียนนึกตีความไปในทางใด ?
ค ถ้าหม่อมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หม่อมเห็นว่าควรเปลี่ยนแปลงแบบเรียนวรรณคดีไทยตอนนี้หรือไม่ (กรุณาอย่าตอบว่า หม่อมยังไม่ได้เป็นนี่ จึงยังตอบไม่ได้)”
อาจารย์หม่อม ตอบปัญหาสามข้อข้างต้นดังนี้
“ก.การนำหนังสือพระอภัยมณีมาใช้เป็นแบบเรียนนั้น ผมเข้าใจว่า เพื่อให้เด็กได้เรียนถึงสำนวนกลอนชั้นเยี่ยมของสุนทรภู่มากกว่าที่จะให้ถือว่า สุนทรภู่กล่าวสิ่งใดถูกไปหมด ข้อความที่ว่า “รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” นั้น เด็กจะเข้าใจว่าอย่างไรก็สุดแล้วแต่ครูผู้สอนจะชี้แจง ถ้าครูผู้สอนชี้แจงเสียให้ถูกต้อง ก็ไม่น่าจะมีผลเสียอย่างไร
ข. สุนทรภู่เขียนความข้อนี้ไว้ อาจเป็นด้วยเหคุใดเหตุหนึ่งในสองข้อต่อไปนี้ คือหนึ่ง สุนทรภู่อาจเขียนประชดประชันสังคมในสมัยนั้น ซึ่งอาจเต็มไปด้วยคนเอาตัวรอดก็ได้ หรือสอง สุนทรภู่อาจพูดไปโดยซื่อ เพราะในสมัยนั้นอาจถือสุภาษิตนั้นว่าเป็นของดีจริง ๆ ก็ได้ และสุนทรภู่ซึ่งเป็นคนสมัยนั้นก็ถือสุภาษิตไปตามกาลสมัย
แต่ถ้าจะดูประวัติสุนทรภู่ซึ่งปรากฏว่าเอาตัวไม่ค่อยรอด ผมออกจะเห็นว่าสุนทรภู่เขียนด้วยเหตุที่หนึ่งมากกว่า
ค. เห็นไม่ควรเปลี่ยน เพราะวรรณคดีนั้นเป็นวรรณคดีด้วยเหตุต่าง ๆ มากมายหลายประการ มิใช่ว่ากวีผู้แต่งพูดอะไรไม่ถูกนิดเดียวก็ถือเป็นเหตุเปลี่ยนเอาเสียเลย ความวรรคที่กล่าวถึงนี้ อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์ให้กุลบุตรได้รู้ว่า ในสมัยหนึ่งคือสมัยสุนทรภู่คนมีความคิดเห็นอย่างไร จะถูกหรือผิด เชื่อได้หรือไม่ ก็เป็นหน้าที่ของคนสมัยนี้จะต้องพิจารณาเอาเอง และถ้าจะพูดกันไปจริง ๆ แล้ว คำกล่าวของสุนทรภู่ที่คุณเห็นว่าไม่สมควรนั้น ก็ยังมีคนถือเอาไปเป็นหลักปฏิบัติอยู่ในสมัยนี้มากมายมิใช่หรือ”
นอกจากคำว่า “สุนทรคึก” แล้ว ยังมีแฟนนักอ่านสยามรัฐอีกท่านหนึ่ง เขียนมาชม “คึกฤทธิ์ ปราโมช” ว่า เป็น “กวีเอกเฉกภู่...”
“คุณปั๋น ทิพย์เนตร” (คอลัมน์ ตอบปัญหาประจำวัน) เขียนชม “คึกฤทธิ์ ปราโมช” ว่าเป็น
“กวีเอกเฉกภู่ตู้วิชา”
ถาม “ประดักประเดิดเกิดปัญหาไม่น่าถาม แต่ก็ห้ามความสงสัยไว้ไม่อยู่
ช้างพระอินทร์ปิ่นสวรรค์ครานั้นดู ซุ้มประตูรับเสด็จฯเกินเจ็ดงา
อะไรแน่แก้ปมให้ผมหน่อย จะนั่งคอยอ่านพจน์บทกังขา
กวีเอกเฉก “ภู่” ตู้วิขา ไขปัญหากระจิริดที่ติดใจ”
ปั๋น ทิพย์เนตร
วรจักร พระนคร
“คึกฤทธิ์ ปราโมช” ตอบว่า
“อันช้างพระอินทร์ปิ่นสวรรค์ คือเอราวัณตัวกล้า
สามสิบสามเศียรอลงการ์ เศียรหนึ่งเจ็ดงางามงอน
เอาสามสิบสามคูณเจ็ด ได้สองร้อยสามสิบเอ็ดงาสลอน
เห็นเกินเจ็ดงาแน่นอน คุณอย่าเดือดร้อนไปเลยครับ”